การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน (PROJECT-BASED LEARNING) Show ภาพที่ 1 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานอาชีพเรื่องการออกแบบเครื่องกดเจลล้างมือจากไม้ไผ่ จาก facebook : Janejira Pochai สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2543 อ้างถึงใน วัฒนา มังคสมัน, 2551) ได้ให้ความหมายของการสอนแบบโครงงานไว้ว่า เป็นการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้เลือกและสร้างกระบวนการเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลุ่มลึกด้วยตนเองโดยใช้วิธีการและแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลายและสามารถนำผลการเรียนรู้ไปใช้ในชีวิตได้ รูปธรรม (ดุษฎี โยเหลาและคณะ, 2557: 19-20) การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่มีครูเป็นผู้กระตุ้นเพื่อนำความสนใจที่เกิดจากตัวนักเรียนมาใช้ในการทำกิจกรรมค้นคว้าหาความรู้ด้วยตัวนักเรียนเอง นำไปสู่การเพิ่มความรู้ที่ได้จากการลงมือปฏิบัติ การฟังและการสังเกตุจากผู้เชี่ยวชาญ โดยนักเรียนมีการเรียนรู้ผ่านกระบวนการทำงานเป็นกลุ่ม ที่จะนำมาสู่การสรุปความรู้ใหม่ มีการเขียนกระบวนการจัดทำโครงงานและได้ผลการจัดกิจกรรมเป็นผลงานแบบ ทิศนา แขมมณี (2560) ให้ความหมายของการจัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงการเป็นหลักไว้ว่า เป็นการจัดสภาพการณ์ของการเรียนการสอน โดยให้ผู้เรียนได้ร่วมกันเลือกทำโครงการที่ตนสนใจ โดยร่วมกันสำรวจ สังเกต และกำหนดเรื่องที่ตนสนใจ วางแผนในการทำโครงการร่วมกัน ศึกษาหาข้อมูลความรู้ที่จำเป็น และลงมือปฏิบัติงานตามแผนงานที่วางไว้จนได้ข้อค้นพบหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ แล้วจึงเขียนรายงานและนำเสนอต่อสาธารณชน เก็บข้อมูล แล้วนำผลงานประสบการณ์ทั้งหมดมาอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดกัน และสรุปผลการเรียนรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์ที่ได้รับทั้งหมด สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน คือ กิจกรรมที่ให้ นักเรียนรู้จักวิธีการทำโครงงานวิจัยเล็กๆ ผู้เรียนลง มือปฏิบัติเพื่อพัฒนาความรู้ทักษะ และสร้าง ผลผลิตที่มีคุณภาพ ระเบียบวิธีดำเนินการเป็นระบบ ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์จุดประสงค์หลักของการ สอนแบบโครงงานต้องการกระตุ้นให้นักเรียนรู้จัก สังเกต รู้จักตั้งคำถาม รู้จักตั้งสมมติฐาน รู้จักวิธี แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เพื่อตอบคำถามที่ตน อยากรู้ รู้จักสรุป และทำความเข้าใจกับสิ่งที่ค้นพบ โครงงานอาจจัดในเวลาเรียน หรือนอกเวลาเรียนก็ ได้โดยไม่จำกัดสถานที่อาจทำเป็นรายบุคคลหรือ เป็นกลุ่มได้หากเนื้อหาหรือข้อสงสัยเป็นไปตาม รายวิชาใดหรือสาระใด จะเรียกว่าโครงงานใน รายวิชานั้น ๆ เช่น โครงงานวิทยาศาสตร์โครงงาน คณิตศาสตร์โครงงานคุณธรรมจริยธรรม เป็นต้น
ภาพที่ 2 การแข่งโครงงานคอมพิวเตอร์ศิลปหัตถกรรมนักเรียน ระดับ สพป.เพชรบูรณ์ เขต 3 จาก facebook : Janejira Pochai 2. ลักษณะของโครงงาน สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2541 อ้างถึงใน อังคณา ตุงคะสมิต, 2559)
ได้กำหนดลักษณะสำคัญของโครงงาน 1. เป็นวิธีการเรียนรู้ที่บูรณาการหลักสูตรกับการจัดการเรียนรู้ได้อย่างกลมกลืนกัน 2. เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากความสนใจใคร่รู้คำตอบของตัวผู้เรียนเอง 3. เป็นวิธีการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ (Construct) ด้วยตนเอง 4. เป็นวิธีการเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลึกซึ้งลุ่มลึกด้วยวิธีการ มีระบบ เป็นขั้นตอน และต่อเนื่อง 5. เป็นวิธีการเรียนรู้ที่แสวงหาความรู้และสรุปความรู้ด้วยตนเอง 6. เป็นวิธีการที่นำเสนอผลการศึกษาค้าคว้าด้วยวิธีการที่เหมาะสม กระบวนการผลงานที่พบ 7. สำหรับข้อค้นพบ สิ่งที่ค้นพบสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ “เป็นการหาคำตอบข้อสงสัยโดยใช้ทักษะการเรียนรู้และ ปัญญาหลาย ๆ ด้าน” ภาพที่ 3 การแข่งโครงงานคอมพิวเตอร์ศิลปหัตถกรรมนักเรียน ระดับ สพป.เพชรบูรณ์ เขต 3 จาก facebook : Janejira Pochai 3. วัตถุประสงค์จากการจัดการเรียน วัฒนา มังคสมัน (2551) กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานไว้ 4 หลักการ คือเมื่อใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานแล้ว ผู้เรียนมีลักษณะสำคัญดังนี้ 1. สามารถพัฒนากระบวนการคิดของตนเอง ภาพที่ 4 การสอนแบบโครงาน ที่มา https://www.kruachieve.com/-project-based-learning- 4. ประเภทของโครงงาน ปราชญ์ รัตนานันท์ (2553) ได้แบ่งประเภทของโครงงานเป็น 4 ประเภท ดังนี้ 1. โครงงานสำรวจ เป็นโครงงานที่ศึกษาโดยการสำรวจและรวบรวมข้อมูลเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ภายใต้ประเด็นหัวข้อที่ศึกษา แล้วนำความรู้ที่ได้มาทำการวิเคราะห์เพื่อให้ทราบถึงผลการศึกษา
และการนำเสนอโครงงานประเภทนี้อาจนำเสนอในรูปแบบของตาราง แผนภูมิ แผนผัง หรือกราฟ o โครงงานการสำรวจแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของภาคใต้
ภาพที่ 5 การสอนโครงงานแบบสำรวจจากโครงานบ้านวิทยาศาสตร์น้อย เรื่องสำรวจสัตว์สิ่งมีชีวิต
2. โครงงานศึกษา ค้นคว้า ทดลอง เป็นโครงงานที่ศึกษาและค้นคว้าเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ผู้เรียนสนใจและต้องการรู้เรื่องราวรายละเอียด
o โครงงานสุสานโจโฉมีจริงหรือไม่ ? ภาพที่ 6 การแข่งขันประกวดโครงงานประเภทศึกษาค้นคว้า ทดลอง 3. โครงงานสิ่งประดิษฐ์เป็นโครงงานที่สร้างหรือประดิษฐ์สิ่งใหม่ โดยนำองค์ความรู้ที่มีอยู่เป็นพื้นฐาน มาผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์ที่มีและยังไม่มีใครเคยคิดประดิษฐ์มาก่อน อาจจะได้มาจากการสำรวจ ศึกษาและค้นคว้าจากทฤษฎีที่มีมาก่อน หรือพัฒนาขึ้นจากสิ่งประดิษฐ์ที่มีมาก่อน ตัวอย่างโครงงานสิ่งประดิษฐ์
o โครงงานสมุดภาพประวัติศาสตร์ไทยสมัยสุโขทัย ภาพที่ 7 โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ เครื่องกดเจลล้างมือกระบอกไม้ไผ่ ที่มา https://www.facebook.com/Janejira Pochai 4. โครงงานทฤษฎี เป็นโครงงานที่สร้างทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่สนใจ หรือเป็นการขยายแนวคิด หรือพิสูจน์ทฤษฎีเดิมเพื่อหาข้อเท็จจริง โดยทฤษฎีใหม่ที่เสนอนี้ผู้เสนอต้องมีความรู้ในทฤษฎีนั้น ๆ อย่างลึกซึ้ง และต้องผ่านการพิสูจน์ด้วยกฎเกณฑ์ที่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป o โครงงานแคว้นสุวรรณภูมิคืออาณาจักรไทยใช่หรือไม่
ภาพที่ 8 โครงงานจำลองทฤษฏี เรื่องการไหลของเหลว ที่มา https://kroomaneewan.wordpress.com/ 5. ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน อังคณา ตุงคะสมิต (2559) กล่าวถึงขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานไว้ดังนี้ (1) ก่อนดำเนินการสอน ขั้นที่ 2 ขั้นกำหนดปัญหา เป็นการเลือกกำหนดปัญหาที่จะศึกษา ซึ่งต้องเริ่มจากความสนใจของนักเรียน ครูพยายามให้นักเรียนได้เลือกศึกษาปัญหาที่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของนักเรียน และมีแนวทางที่สามารถพิสูจน์ ทดสอบ หาคำตอบได้ ครูควรกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความกระตือรือร้นในการกำหนดปัญหาด้วยวิธีการที่หลากหลายดังนี้ v การตั้งคำถามจากเรื่องใกล้ตัว v ใช้การสำรวจ โดยการมอบหมายให้นักเรียนไปสำรวจในท้องถิ่น v ใช้การศึกษานอกสถานที่ เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศในห้องเรียนและนักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงที่ v การสร้างบรรยากาศที่เอื้อให้เกิดปัญหาและความสงสัยกับตัวผู้เรียน เช่น การจัดสภาพห้องเรียน สื่อ ป้าย ขั้นเลือกหรือกำหนดปัญหานี้เป็นขั้นที่ครูต้องใช้ความพยายามในการกระตุ้นนักเรียน แม้ปัญหาที่นักเรียนร่วมกันกำหนดจะมีความหลายหลาย ครูต้องพยายามตะล่อมให้นักเรียนเลือกปัญหาที่สอดคล้องกับหน่วยการเรียนรู้ที่วิเคราะห์ไว้ ขั้นที่ 3 ขั้นวางแผน เป็นขั้นที่ครูให้นักเรียนร่วมกันเขียนโครงร่างของโครงงาน โดยผู้สอนใช้การสนทนาประกอบที่แสดงขั้นตอนของโครงงาน เพื่อให้เกิดความชัดเจนในภาพรวมของโครงงานแต่ละขั้นอย่างต่อเนื่องด้วยการเริ่มทีละขั้นตอนดังนี้ 3.1 การกำหนดปัญหา แต่ละกลุ่มเขียนปัญหาหรือความสำคัญของปัญหาให้ชัดเจนถึง 1) สาเหตุของปัญหา 3.2 การตั้งสมมติฐาน เป็นการหาแนวโน้มและคาดคะเนคำตอบไว้ล่วงหน้า เป็นการกระตุ้นนักเรียนให้ต้องการทราบถึงผลลัพธ์ที่ได้ว่าตรงกับสมมติฐานที่ตั้งไว้หรือไม่ 3.3
วางแผนการรวบรวมข้อมูล เป็นการวางแผน กำหนดหน้าที่ของสมาชิกในการศึกษาข้อมูล ความรู้ และกำหนดวิธีการศึกษาที่หลากหลายเพื่อเป็นหนทางสู่คำตอบ เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การทดลอง การค้นคว้าจากอินเทอร์เน็ต การศึกษานอกสถานที่ เป็นต้น โดยนักเรียนควรเลือกตามความถนัดหรือความเหมาะสม 3.5 วางแผนการนำเสนอข้องมูล โดยครูอาจนำรูปเล่มและแผงโครงงานได้ศึกษาเป็นตัวอย่าง เพื่อให้นักเรียนเกิดความเข้าใจวิธีการนำเสนอและนำเสนอได้อย่างถูกต้อง ขั้นที่ 4 ขั้นลงมือปฏิบัติ เป็นขั้นที่มีความสำคัญมาก คือการดำเนินการ หรือลงมือปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ในขั้นที่ 3 ครูต้องใช้การเสริมแรงและสนับสนุนให้นักเรียนเลือกวิธีการตามที่นักเรียนต้องการ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของการนำข้อมูลมาจัดหมวดหมู่ วิเคราะห์ สังเคราะห์ และเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ขั้นที่ 5 ขั้นสรุปและนำเสนอ เป็นการให้นักเรียนสรุปข้อมูลจากการวิเคราะห์ และสังเคราะห์เป็นผลงาน นำเสนอข้อมูลและเผยแพร่ข้อมูล โดยนักเรียนสามารถนำเสนอในส่วนที่เป็นกระบวนการ วิธีการ ขั้นตอนและผลลัพธ์หรือผลที่ได้จากการศึกษา ครูควรให้คำแนะนำ กระตุ้นให้เกิดการซักถามภายในชั้นเรียน และควรมีการนำเสนอผลงานต่อโรงเรียน ชุมชน เขตพื้นที่การศึกษา หรือในระดับอื่น ๆ ขั้นที่ 6 การประเมินผล เป็นการประเมินจากการปฏิบัติของนักเรียนสามารถประเมินได้เป็นสองส่วน คือ 1) ส่วนของนักเรียนที่ประเมินการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยดูที่คุณภาพเป็นเกณฑ์ ลักษณะและวิธีการที่ใช้ในการประเมินใช้การอภิปรายจากการทำงานและชิ้นงาน ซึ่งในส่วนนี้นักเรียนจะเป็นผู้มีบทบาทในการแสดงความคิดเห็นพร้อมให้ค่าคะแนนตามเกณฑ์ที่ตกลงร่วมกัน และ 2) ส่วนที่ครูประเมินการทำโครงงาน ซึ่งครูจะประเมินในด้านของเนื้อหาสาระของโครงงาน กระบวนการทำงาน การนำเสนอโครงงาน โดยใช้วิธีให้คะแนนตามเกณฑ์ที่สร้างขึ้น และควรให้ผู้เรียนรับทราบเกณฑ์ดังกล่าวด้วยเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน 6. การนำเสนอโครงงานโดยแผงโครงงาน สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย (2527 อ้างถึงใน อังคณา ตุงคะสมิต, 2559) ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดแผงโครงงานวิทยาศาสตร์ต้องประกอบด้วย 3 ด้าน คือด้านกลางและด้านข้าง 2 ด้าน ด้านหน้าเปิดให้ผู้ชมสามารถชมผลงานได้สะดวก แผงโครงงานทั้ง 3 ด้าน ใช้ติดแผนภาพ แผนภูมิ หรือคำอธิบายแสดงถึงรูปแบบโครงงาน ควรมีขนาดกว้าง 220 เซนติเมตร สูง 120 เซนติเมตร โดยปีกซ้ายและขวากว้างด้านละ 50 เซนติเมตร ส่วนด้านกลางกว้าง 120 เซนติเมตร เพื่อให้สามารถพับเก็บได้และสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย ภาพที่ 9 ตัวอย่างแผงโครงการ (อังคณา ตุงคะสมิต, 2559) ทั้งนี้เป็นเพียงแนวทางในการจัดแผงโครงงานโดยสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ครูผู้สอนสามารถกำหนดขนาดคร่าว ๆ ได้ด้วยตนเอง เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันแต่ไม่ควรจำกัดรูปแบบที่ตายตัวหรืออาจให้ผู้เรียนออกแบบขนาดของผังโครงงานได้ด้วยตนเอง เพื่อให้นักเรียนแสดงความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ 7. การนำเสนอโครงงานด้วยวาจา พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และคณะ (2553)
กล่าวถึงการนำเสนอโครงงานหรือการพูดต่อที่ชุมชนโดยการใช้ศาสตร์วาทศาสตร์ หรือวาทศิลป์ ซึ่งได้กล่าวถึงหลักการนำเสนอและบุคลิกภาพของผู้นำเสนอไว้ดังนี้ 1.
ขั้นต้นควรให้ตื่นเต้นเร้าความสนใจผู้ฟัง 5-10% ภาพที่ 10 โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ โครงงานอาชีพ ที่มา https://www.facebook.com/Janejira Pochai 8. บทบาทครูและนักเรียนในการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ลัดดา ศิลาน้อย และอังคณา ตุงคะสมิต (2556) ได้กล่าวถึงบทบาทครูและนักเรียนในการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานในแต่ละขั้นตอนของการทำโครงงานไว้ดังนี้
ตารางที่ 1 บทบาทครูและนักเรียนในการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน 9. การประประเมินผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน บุญเลี้ยง ทุมทอง (2548) กล่าวถึงการวัดและการประเมินผลการเรียนรู้โครงงาน โดยใช้การประเมินผลตามสภาพจริง ดังนี้ 1. ประเมินผลในขณะผู้เรียนแสวงหาความรู้ อังคณา ตุงคะสมิต (2559) กล่าวถึงการประเมินโครงงานที่ใช้เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนสามารถประเมินได้ 2 ส่วนคือ 1) ส่วนของนักเรียนที่ปะเมินตนเอง และ 2) ส่วนที่ครูใช้ประเมินคุณภาพของโครงงาน การทำงานของนักเรียน ประเมินความก้าวหน้าในระหว่างการทำงานและเมื่อโครงงานสิ้นสุด โดยมีข้อคำนึงในการประเมิน ดังนี้ 1. ต้องให้นักเรียนเป็นผู้ประเมินหลัก 10. ประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ลัดดา ศิลาน้อย และอังคณา ตุงคะสมิต (2556) ได้กล่าวถึงคุณค่าของการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานต่อการเรียนรู้ของนักเรียนไว้ดังนี้ 1. การเรียนรู้มิได้เกิดจากการสอนของครูอย่างเดียว แต่เกิดจากตัวของนักเรียนเอง 2. นักเรียนได้เรียนรู้จากการเชื่อมโยงความรู้เดิมกับประสบการณ์ใหม่ 3. การเรียนอย่างต่อเนื่องจากการทำโครงงาน ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้จากรูปธรรมเป็นนามธรรมได้ 4. การเรียนรู้เกิดจากการลงมือปฏิบัติของนักเรียนเอง โดยผ่านขั้นตอนการทำงานที่เป็นกระบวนการซึ่งจะช่วยสร้าง 5.
เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ เพราะการทำงานของนักเรียนต้องมีการติชม วิพากษ์วิจารณ์ และให้ข้อมูล 6. ความคาดหวังของนักเรียนที่มีต่อผลงาน เพราะในกระบวนการของการทำโครงงาน นักเรียนจะต้องมีการ 7. นักเรียนได้พัฒนาความสามารถที่มองสะท้อนตัวเองได้
(Self-reflection) โดยฝึกการติดตามความคิด ตรวจสอบ เอกสารอ้างอิง ทิศนา แขมมณี. (2560). ศาสตร์การสอน องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ บุญเลี้ยง ทุมทอง. (2548). แนวการออกแบบการจัดการเรียนรู้โครงงานคณิตศาสตร์.ในประมวลองค์ความรู้และ พิพัฒน์ คุณวงค์.(2561).การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-based Learning).สืบค้นเมื่อ
15 มีนาคม 2564.จาก http://pipatkhunwong2.blogspot.com/2018/02/project-based-learning.html การเรียนรู้โดยการใช้ Project Based Learning มีลักษณะอย่างไรการจัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงงานเป็นฐาน เป็นกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่มุ่งให้ ผู้เรียนได้เชื่อมโยงประสบการณ์จากชีวิตจริงสู่การเรียนรู้ค้นหาคาตอบด้วยการลงมือ ค้นคว้า ปฏิบัติจริง หลายคนอาจจะคุ้นกับการเรียนการสอนโครงงานวิทยาศาสตร์ในห้องเรียน แต่ PBL ไม่ใช่การ ทดลองในห้องปฏิบัติการ PBL เน้นประสบการณ์ในการปฏิบัติงานให้ ...
การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project Based Learning PBL) มีลักษณะอย่างไรProject-based Learning (PBL) หรือการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน เป็นกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่มุ่งให้ ผู้เรียนได้เชื่อมโยงเหตุการณ์จาก ชีวิตจริงสู่การเรียนรู้ ค้นหาคำตอบด้วยการคิด ค้นคว้า ปฏิบัติจริง อย่างเป็น ระบบ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์ตรง ได้เรียนรู้จากการค้นคว้า สำรวจ ทดลอง แก้ปัญหา ...
Project Base Learning สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ใดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem based Learning หรือ PBL) เป็นรูป แบบการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นตามแนวคิดตามทฤษฎีการเรียนรู้แบบสร้างสรรคนิยม (Constructivism) โดย ให้ผู้เรียนสร้างความรู้ใหม่จากการใช้ปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงเป็นบริบทของการเรียนรู้ เป็นการค้นคว้าด้วยตนเองโดยให้นักเรียนช่วยกันคิดแก้ปัญหา ผู้ ...
Problem Based Learning มีลักษณะอย่างไรรูปแบบของการจัดการเรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน หรือ PBL มีลักษณะสาคัญดังนี้ 1. ให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้อย่างแท้จริง (student-centered learning) 2. จัดผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อย ๆ ให้มีจานวนกลุ่มละประมาณ 5–8 คน 3. ผู้สอนทาหน้าที่เป็นผู้อานวยความสะดวก (facilitator) หรือผู้ให้คาแนะนา (guide) 4. ใช้ปัญหาเป็นตัว ...
|