คราบสกปรกบนที่นอน คราบเลอะเทอะบนโซฟา และคราบเครื่องดื่มบนเฟอร์นิเจอร์แสนรัก ย่อมทำให้คุณแม่บ้านพ่อบ้านหงุดหงิดใจไม่น้อย แต่ยังดีที่ปัจจุบันมีวิธีทำความสะอาดมากมาย ที่สามารถช่วยขจัดคราบเปื้อน ที่นอน และเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ให้ออกได้อย่างง่ายดายด้วยตัวคุณเอง

1. ทำความรู้จักคราบ ! ก่อนขจัดคราบเปื้อน ที่นอนและโซฟา

1.1 คราบสีน้ำตาล

หากที่นอน หรือโซฟาผ้าเป็นคราบสีน้ำตาลอมเหลือง ให้สันนิษฐานว่า อาจเกิดจากสารสกัดจากธรรมชาติกลุ่มแทนนิน เช่น ยางไม้, ชา, กาแฟ, เบียร์, ไวน์แดง, น้ำผลไม้

1.2 คราบโปรตีน

ส่วนใหญ่เป็นสารคัดหลั่งของคนหรือสัตว์เลี้ยง เช่น คราบเลือดประจำเดือน, คราบน้ำมูก, รอยอาเจียน รวมถึงอาหารและเครื่องดื่มบางชนิด เช่น นม, โยเกิร์ต, ช็อกโกแลตปั่น ซึ่งการขจัดคราบเปื้อน เลือด หรือสารคัดหลั่งต่าง ๆ เหล่านี้ ต้องใช้น้ำเย็นเป็นหลัก

1.3 คราบเหลือง

อีกหนึ่งคราบกวนใจที่พบได้ประจำ คือคราบเหลือง จากเหงื่อไคล, ฝุ่นละออง, รอยบุหรี่, ปัสสาวะของลูกน้อย, ฉี่หมา ฉี่แมว, คราบดิน หรือคราบโคลน ซึ่งควรรีบทำความสะอาดตั้งแต่แรกที่พบ

1.4 คราบเชื้อรา

หากที่นอนหรือโซฟามีกลิ่นเหม็น อับชื้น และตั้งอยู่ในบริเวณที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก แสงแดดส่องไม่ถึง ให้สงสัยไว้ก่อนว่า อาจจะเกิดเชื้อราตามมุมต่าง ๆ พยายามสังเกตรอยเขียว รอยดำจากเชื้อรา ซึ่งพบได้ทั้งแบบที่เป็นปื้น และเป็นจุดด่างดำเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วไปบนพื้นผิว

1.5 คราบน้ำมัน

น้ำมันเป็นสารประกอบที่พบได้หลายรูปแบบ เช่น ในอาหาร, น้ำมันใส่ผม, ออยล์ทาผิว, ครีมบำรุงผิว, ขี้ผึ้ง, เครื่องสำอาง ซึ่งหากต้องการขจัดคราบเปื้อน ที่นอนและโซฟา ควรเริ่มจากการตรวจสอบป้ายสัญลักษณ์ก่อนว่า เฟอร์นิเจอร์ตัวนั้น สามารถทำความสะอาดด้วยวิธีใดได้บ้าง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วจึงค่อยเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ให้เหมาะสมกับชนิดของคราบ ซึ่งหากภาระนี้สร้างความยุ่งยากให้กับคุณ iCleanbed ยินดีดูแลแทนให้ทุกขั้นตอน

เคยสงสัยไหมว่า ผ้าของลูกที่ซักเสร็จแล้วทำไมยังดูไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็นอับ พอแห้งแล้วผ้าสี หมองคล้ำ หรือมีคราบสกปรกอยู่ โดยเฉพาะเดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก ทำให้การซักผ้ามีกลิ่นอับชื้นได้ง่าย สาเหตุอาจจะเกิดจากเวลาซักผ้ารวมกันเยอะๆ แล้วเลือกผลิตภัณฑ์ซักผ้าไม่เหมาะสม คราบสกปรกที่ออกจากเสื้อผ้ามาผสมกับน้ำ ก็จะย้อนกลับไปติดเสื้อผ้าอีก ทำให้ไม่ได้เสื้อผ้าที่สะอาดหมดจดจริงๆ มาดูเคล็ดลับที่ทำให้ซักผ้าลูกได้อย่างสะอาดหมดจด คราบสกปรกไม่ไหลย้อนกลับ และยังปลอดภัยกับลูกด้วย

• ไม่แช่ผ้าทิ้งไว้นานเกินไป

คุณแม่ที่ไม่มีเวลาอาจจะเอาเสื้อผ้าของลูกแช่น้ำทิ้งไว้ โดยที่ไม่ได้ซักทันที ซึ่งทำให้คราบสกปรกออกมาและไหลย้อนกลับไปที่เสื้อผ้าลูกได้ หากเสื้อผ้าลูกเลอะ โดยเฉพาะคราบอึ คราบฉี่ ควรรีบซักออกทันที

• ล้างเครื่องซักผ้าเป็นประจำ

เครื่องซักผ้าที่ใช้ไปสักพัก จะมีเศษคราบไขมัน ผงซักฟอก เศษด้ายใยผ้า ติดอยู่ในเครื่องซักผ้า ซึ่งคราบสกปรกเหล่านี้อาจจะติดและปนเปื้อน ย้อนกลับไปที่เสื้อผ้าที่เราซัก ดังนั้นควรล้างเครื่องซักผ้าเป็นประจำ ซึ่งเครื่องซักผ้าส่วนใหญ่จะมี โหมดล้างถังซักผ้าอยู่แล้ว

• เลือกผลิตภัณฑ์ซักผ้า ปรับผ้านุ่มที่ปลอดภัย สะอาด อ่อนโยน

เลือกผลิตภัณฑ์ซักผ้าสำหรับเด็กโดยเฉพาะที่เป็นสูตรอ่อนโยนจากธรรมชาติ ดูที่ขวดผลิตภัณฑ์ว่ามีสัญลักษณ์ว่าผ่านการทดสอบ Dermatologically Tested ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือไม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้คนเป็นแม่ได้ว่าปลอดภัยใช้ได้กับเด็กที่ผิวบอบบาง แพ้ง่าย

• เลือกผลิตภัณฑ์ซักผ้า ปรับผ้านุ่มที่ป้องกันคราบสกปรกไหลย้อนกลับ

เลือกผลิตภัณฑ์ซักผ้าและปรับผ้านุ่มที่มีสารป้องกันคราบสกปรกไหลย้อนกลับสู่เนื้อผ้า ทำให้ซักผ้าได้อย่างมั่นใจว่าสะอาดหมดจด อย่างเช่น เบบี้มายด์ อัลตร้ามายด์ ผลิตภัณฑ์ซักผ้าและปรับผ้านุ่มสูตรใหม่ สูตรเพียว แนชเชอรัล และ ไวท์ ซากุระ นอกจากจะป้องกันคราบสกปรกไหลย้อนกลับสู่เนื้อผ้าแล้ว ยังมียูวีโปรเทคชั่น ช่วยถนอมผ้าให้สีสดใส ถึงแม้จะเจอแดดแรง ๆ แบบเมืองไทย ก็ไม่ทำให้ผ้าหมอง

หาซื้อได้แล้ววันนี้ที่ห้างสรรพสินค้าชั่นนำทั่วประเทศ หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ Shopee : https://shopee.co.th/babimild_officialshop

ซักผ้าด้วยน้ำร้อน น้ำอุ่น และน้ำเย็น ช่วยให้เสื้อตัวโปรดอยู่กับเราไปนานๆ ร้านซักผ้าหยอดเหรียญ WashXpress มีระบบปรับอุณหภูมิให้ถึง 3 ระดับ คุณจึงสามารถเลือกอุณหภูมิน้ำให้เหมาะสมกับเสื้อผ้าของคุณได้ ช่วยยืดการใช้งานเดรสตัวโปรดให้อยู่กับเราไปนานๆ

พ่อบ้าน แม่บ้านหลายคนมักมองว่าการซักผ้านั้นเป็นเรื่องง๊าย ง่าย แค่แยกผ้าขาวกับผ้าสีออกจากกัน จากนั้นก็นำผ้าลงเครื่องปั่นก็เสร็จเรียบร้อย ยิ่งในปัจจุบันมีเครื่องอบผ้าเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาตากผ้าเอง ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง เราก็จะได้เสื้อผ้าสะอาดพร้อมสวมใส่

Photo Credit:

แต่ทุกคนเชื่อหรือไม่ว่า หากเราแยกผ้าสีออกจากผ้าขาวและนำไปซักเลยนั้น อาจส่งผลเสียต่อเนื้อผ้าของเราโดยไม่รู้ตัว ถ้าเราอยากให้เสื้อผ้าของเรามีสภาพดี สามารถสวมใส่ได้นานๆ WashXpress มี Tricks ดีๆมาฝากกันค่ะ ซึ่งวิธีนั้น คือการเลือกอุณหภูมิน้ำซักผ้า ให้เหมาะสมกับผ้าแต่ละชนิดนั่นเอง ไม่ว่าจะซักผ้าด้วยน้ำร้อน น้ำอุ่น และน้ำเย็น ก็ล้วนช่วยมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เนื้อผ้าที่เรานำมาสร้างเป็นเสื้อผ้า เครื่องนุ่มห่ม ผ้าขนหนูและผ้าอีกหลายประเภทนั้น มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่าง ผ้าฝ้าย ผ้าไนลอน ผ้าใยสังเคราะห์ ผ้าไหม ผ้ายีนส์ เป็นต้น ด้วยองค์ประกอบและเส้นใยของผ้าที่แตกต่างกันนี้เอง ส่งผลให้เวลาซักจะต้องเลือก อุณหภูมิน้ำซักผ้าที่เหมาะกับผ้าด้วย

ซักผ้าด้วยน้ำร้อน น้ำอุ่น และน้ำเย็น มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ถ้าหากเราเลือกอุณหภูมิน้ำซักผ้าได้เหมาะสมกับเสื้อผ้านั้น จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่ฝังบนผ้าได้อย่างล้ำลึก และเป็นอีกวิธีในการช่วยป้องกันการทำลายเนื้อผ้าได้อีกด้วย

ทีนี้ WashXpress จะพาสาวๆ มาดูกันว่า การ ซักผ้าด้วยน้ำร้อน น้ำอุ่น และน้ำเย็น ส่งผลต่อเสื้อผ้าของเราอย่างไรบ้าง

การ ซักผ้าด้วยน้ำร้อน น้ำอุ่น น้ำเย็น ส่งผลเสื้อผ้าของเราอย่างไรบ้าง

1. ทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่มองไม่เห็นได้ดียิ่งกว่า

Photo Credit:

เนื่องจากเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ รวมถึงผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนที่เราใช้อยู่ในทุก ๆ วันนั้น นอกจากจะมีร่องรอยเหงื่อไคล หรือคราบสกปรกที่เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแล้ว ลึกลงไปในเนื้อผ้านั้นยังแฝงไปด้วย แบคทีเรีย ไวรัส ไรฝุ่นที่มีชีวิต ซึ่งประกอบไปด้วยไข่ รวมไปถึงทั้งตัวอ่อนตัวแก่ต่าง ๆ ที่ปกติเรามองไม่เห็น

WashXpress บอกเลยค่ะว่าการซักผ้าด้วยอุณหภูมิน้ำซักผ้า ที่สูง ๆ (น้ำร้อน) จึงมีส่วนช่วยอย่างมากในการทำลายแบคทีเรีย ไรฝุ่น รวมถึงบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้รับเชิญเหล่านี้ออกไปจากเสื้อผ้าแสนรักของเรา

ซึ่งหลายคนอาจมองว่าเวลาซักผ้าเนี่ย เราก็ใส่ผงซักผ้าไปเพื่อทำความสะอาดแล้ว ทำไมต้องใช้น้ำร้อนด้วย ต้องบอกแบบนี้ค่ะว่าผงซักผ้าสามารถทำความสะอาดเสื้อผ้าของเราได้ก็จริง แต่มีข้อจำกัดตรงที่เจ้าเชื้อแบคทีเรียบางชนิดจะถูกทำลายด้วยอุณหภูมิสูง ๆ เท่านั้น ทำให้ต้องผสานทั้งพลังของผงซักผ้าและน้ำร้อนเข้าด้วยกันนั่นเอง

2. อายุการใช้งานของผ้า

Photo Credit:

การซักผ้าด้วยน้ำร้อน น้ำอุ่น และน้ำเย็น ให้เหมาะสมกับการเนื้อผ้าแต่ละชนิด จะช่วยให้อายุการใช้งานของเสื้อผ้าของเราอยู่ได้นานขึ้น แล้วก็ลดการชำรุดของเสื้อผ้าลงได้อีกด้วย

3. เพิ่มประสิทธิภาพให้กับผงซักผ้า

Photo Credit:

น้ำร้อน น้ำอุ่น และน้ำเย็น ส่งผลต่อประสิทธิภาพของผงซักผ้าไม่เหมือนกัน เพราะน้ำร้อนจะทำให้ผงซักผ้าละลายในน้ำได้ง่ายกว่า และสามารถแทรกซึมเข้าไปทำความสะอาดภายในเนื้อผ้าได้ดีกว่า ดังนั้นจึงเหมาะกับการซักผ้าขาวให้สะอาดเหมือนใหม่อีกครั้ง

อุณหภูมิน้ำซักผ้า น้ำร้อน น้ำอุ่น และน้ำเย็น มีผลต่อผ้าแตกต่างกันอย่างไร?

Photo Credit:

ก่อนการเลือกซักผ้าทุกครั้ง เราควรพลิกไปดูที่ป้ายสัญลักษณ์ของผ้าชนิดนั้นเสียก่อน จะได้เลือกอุณหภูมิน้ำซักผ้าได้อย่างถูกต้อง และช่วยให้ไม่ทำร้ายเนื้อผ้าของเรา

น้ำร้อน คือ การซักผ้าที่อุณหภูมิประมาณ 55 องศาเซลเซียส

น้ำอุ่น คือ การซักผ้าที่อุณหภูมิประมาณ 40 องศาเซลเซียส

น้ำเย็น คือ การซักผ้าที่อุณหภูมิปกติ

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวอุณหภูมิได้ที่ ซักผ้าด้วยน้ำร้อน น้ำอุ่น น้ำเย็น

1. ผ้าที่สามารถซักด้วยน้ำร้อน

ประเภทของผ้า

ส่วนใหญ่ต้องเป็นผ้าที่สามารถทานต่อความร้อนได้ดี เช่น ผ้าขนหนู ผ้าห่ม ชุดที่นอน พรมปูพื้น รวมถึงตุ๊กตา เป็นต้น

ซึ่งการซักผ้าด้วยน้ำร้อนไม่เหมาะกับผ้าที่มีความบาง เช่น ผ้าที่ทำจากใยสังเคราะห์ โพลีเอสเตอร์ ผ้าฝ้าย เป็นต้น เพราะมีโอกาสที่น้ำร้อนจะทำให้ผ้าหดตัวได้ ที่สำคัญคือน้ำร้อนทำให้เราสามารถขจัดรอยเปื้อนที่ฝังแน่นได้อย่างล้ำลึก

น้ำร้อนเหมาะกับการซักคราบหมึกปากกา คราบกาแฟ คราบช็อกโกแลต โกโก้ต่าง ๆ เป็นต้น

Photo Credit:

ข้อดี

1. ฆ่าเชื้อโรค ไรฝุ่นต่าง ๆ ได้ดีกว่า

2. ทำให้ผงซักผ้าละลายได้ดีกว่า

3. ขจัดคราบฝังลึกได้ดีกว่า

4. ช่วยคงความอ่อนนุ่มของผ้าได้ดีกว่าน้ำเย็น

5. ช่วยรักษากลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มให้คงทนนานกว่า

ข้อควรระวัง

1.ความร้อนอาจทำให้ผ้าบางชนิดหดได้

2. เปลืองพลังงานมากกว่า ค่าใช้จ่ายสูงกว่า

3. ถ้าเผลอใช้ความร้อนที่สูงเกินไปอาจทำลายเนื้อผ้าได้

4. ไม่แนะนำให้ซักผ้าสีเข้ม เพราะอาจทำลายสีของผ้าได้ข้อแนะนำ หากจำเป็นต้องซักผ้าสีเข้มให้แยกผ้าสีอ่อนออกก่อน เพื่อป้องกันสีของผ้าที่อาจจะตกได้

2. ผ้าที่สามารถซักด้วยน้ำอุ่น

ประเภทของผ้า

ควรเป็นผ้าที่มีความแข็งแรงหน่อย เช่น ยีนส์ ผ้าสำลี ผ้าขนหนู ผ้าสังเคราะห์ 100 % เป็นต้น ไม่เหมาะกับผ้าที่บางมากนัก ดังนั้น น้ำอุ่นจึงเหมาะกับผ้าที่มีคราบสกปรกระดับปานกลาง ไม่ฝังลึก ไม่เปื้อนมากและเหมาะกับผ้าสีอ่อน

Photo Credit:

ข้อดี

1. ลดโอกาสผ้าหดตัวเพราะว่าไม่ได้ใช้ความร้อนสูง

ข้อควรระวัง

1. ขจัดคราบที่ฝังลึกได้ไม่ดีเท่าน้ำร้อน

3. ผ้าที่สามารถซักด้วยน้ำเย็น

ประเภทของผ้า

เหมาะกับผ้าที่ไม่เปื้อนมากและมีความบอบบาง เช่น ผ้าไหม ผ้าไนลอน ผ้าถักอะคริลิก เสื้อผ้าขนแกะ ผ้ามัดย้อม ผ้าชีฟอง ผ้าซาตินและผ้าสี รวมถึงชุดชั้นใน เป็นต้น ซึ่งต่อให้ผ้าดังกล่าวนี้จะเลอะมากขนาดไหน WashXpress ขอเตือนเลยว่า อย่าใช้น้ำร้อนซักเด็ดขาด ถ้าไม่อยากทำลายเนื้อผ้าของเรา เพราะผ้าเหล่านี้ส่วนมากจะทนความร้อนได้ค่อนข้างต่ำนั่นเองค่ะ

น้ำเย็นเหมาะกับคราบหรือร่องรอยสกปรกอันเกิดจากโปรตีน เช่น คราบเลือด คราบครีม นม คราบไข่ คราบซอสมะเขือเทศ เป็นต้น

Photo Credit:

ข้อดี

1. ช่วยรักษารูปทรงของเสื้อผ้าได้ดี

2. ช่วยให้สีของผ้าไม่ถูกทำลาย

3. น้ำเย็นช่วยให้ผ้าดูไม่ยับมาก

4. น้ำเย็นไม่เปลืองพลังงาน ไม่เปลืองค่าไฟ

ข้อควรระวัง

1. ไม่สามารถทำลายเชื้อโรค ไรฝุ่นต่าง ๆ ได้

จบไปแล้วนะคะกับวิธีการ ซักผ้าด้วยน้ำร้อน น้ำอุ่น และน้ำเย็น ให้ตรงกับเสื้อผ้าแต่ประเภท ซึ่งจะเห็นกันแล้วนะคะว่า การเลือกใช้อุณหภูมิน้ำซักผ้าให้เหมาะสม มีความจำเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องของการกำจัดคราบสกปรกและการถนอมเนื้อผ้า

หากใครกังวลว่าถ้าต้องใช้น้ำร้อนซักบ่อย ๆ ค่าไฟต้องพุ่งปรี๊ดแล้วละก็ ขอบอกเลยว่า เพียงเลือก ซักผ้าด้วยน้ำร้อน น้ำอุ่น น้ำเย็นกับ WashXpress รับรองว่าหายกังวลไปได้เลย เพราะจ่ายได้ในราคาเดียว ไม่ว่าจะต้องใช้พลังงานหนักหน่วงขนาดไหนก็จบได้ในราคาเดียว

ร้านซักผ้าหยอดเหรียญ WashXpress เปิดให้บริการแล้ว ใกล้บ้านคุณ

ค้นหาสาขาใกล้บ้าน ได้ที่: http://bit.ly/2NXdK1H

ติดตามข่าวสาร หรือสอบถามเพิ่มเติมทาง:

Facebook Page: https://www.facebook.com/WashXpressTH/

Line Official: http://bit.ly/3sXRuDp

WashXpress #ร้านซักผ้าหยอดเหรียญ #อุณหภูมิน้ำซักผ้า #ซักผ้าน้ำร้อน #ซักผ้าน้ำเย็น #ซักผ้าแต่ละชนิด