การป้องกันภัยจากความรุนแรง ปัจจุบันข่าวความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยที่พบเห็นในสื่อต่างๆ นั้น นับวันจะมีจำนวนมากขึ้น อีกทั้งยังมีรูปแบบที่ซับซ้อนหลากหลาย ซึ่งความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ตั้งแต่ในบ้าน ในโรงเรียน ในชุมชน และมีรูปแบบแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่การด่าทอ ทุบตี ไปจนถึงการทำร้ายร่างกายให้ได้รับบาดเจ็บหรือทำร้ายจิตใจให้สูญเสียสุขภาพจิต ซึ่งจะส่งผลให้สังคมขาดความปลอดภัยขาดการคุ้มครองสวัสดิภาพในชีวิตประจำวัน ดังนั้น การเรียนรู้ถึงสาเหตุ ผลกระทบ และการป้องกันปัญหาความรุนแรงในสังคม จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยขจัดหรือลดความรุนแรงของปัญหาดังกล่าว ภาพที่ 7.18 ความรุนแรงในสังคม ที่มา : http://www.deja-suthikant.com/TH/contentDetail.php?co_id=17 7.5.1 ความหมายของความรุนแรงในสังคม ความรุนแรงในสังคม หมายถึง พฤติกรรมและการกระทำใดๆ ที่เป็นการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทั้งทางวาจา ทางร่ายกาย ทางจิตใจ หรือทางเพศ ซึ่งเป็นผลหรืออาจจะเป็นผลให้เกิดความทุกข์ทรมานทั้งด้านร่างกายหรือจิตใจแก่ผู้ถูกกระทำ 7.5.2 สาเหตุการเกิดปัญหาความรุนแรงในสังคม เมื่อเกิดความรุนแรงขึ้นในสังคม จะส่งผลกระทบได้ ดังนี้ 1. ทำให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะกับเด็กและสตรี 2. ขาดความสงบสุขเนื่องจากการทะเลาะเบาะแว้ง การด่าทอทุบตีทำร้ายกันในครอบครัว ซึ่งก่อความรำคาญต่อเพื่อนบ้าน 3. ครอบครัวบางครอบครัวเป็นหน่วยผลิตทางเศรษฐกิจโดยตรง ดังนั้นเมื่อเกิดความรุนแรงขึ้น สามารถส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อมได้ 4. ปัญหาสังคมจะเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากสถาบันครอบครัวไม่สามารถรวมตัวกันเป็นกลุ่มหรือชุนชน เพื่อพัฒนาหรือบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมได้ 5. ปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิง เป็นอุปสรรคในการพัฒนาศักยภาพของสตรี การพัฒนาความเจริญก้าวหน้าของประเทศ การประกอบอาชีพ และเป็นการทำลายเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคม 7.5.4สื่อกับความรุนแรง ภาพที่ 7.19 การที่สื่อนำเสนอสิ่งไม่สร้างสรรค์ ที่มา : http://www.oknation.net/blog/recon/2009/02/25/entry-17.5.5 การป้องกันปัญหาความรุนแรงในสังคม การป้องกันปัญหาความรุนแรงในสังคม จะให้บังเกิดผลอย่างสมบูรณ์และยั่งยืนได้นั้น ทุกระดับของสังคมต้องร่วมมือกัน โดยมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้ 1. ระดับบุคคลและครอบครัว 1) การเลี้ยงดูอบรมลูกชายและหญิงต้องมีความเสมอภาค สอนให้ช่วยเหลือเกื้อกูล เคารพสิทธิซึ่งกันและกันไม่ใช้อำนาจ ไม่เอาเปรียบ ผู้เป็นพ่อแม่ต้องฟังความเห็นของลูก และสอนทักษะระงับอารมณ์โกรธที่เหมาะสมด้วย 2) ดำรงชีวิตเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อตามกระแสวัตถุนิยม ครองตนอยู่ในศีลธรรมอันดี ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขซื่อสัตย์ต่อคู่ครอง รับผิดชอบในหน้าที่ของตน 2. ระดับสังคม 1) รัฐควรจัดให้มีหน่วยงานบริการแนะแนว และคำปรึกษาปัญหาชีวิตสมรส ปัญหาครอบครัวกระจายไปสู่ชุมชนมากขึ้น 2) รัฐต้องส่งเสริมให้ประชาชนทุกคนเกิดความรู้ความเข้าใจ และจิตสำนึก เรื่องสิทธิเด็ก สิทธิสตรี และสิทธิมนุษยชน 3) มีการแก้ไขกฎหมายให้มีความทันสมัยโดยเฉพาะกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว กฎหมายที่ก่อให้เกิดช่องว่างในเรื่องความไม่เสมอภาค และทำให้สตรีต้องตกอยู่ในภาวะจำยอมควรได้รับการแก้ไข และควรมีการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเผยแพร่กฎหมายดังกล่าวให้ประชาชนทราบ 4) องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนต้องมีมาตรการในการป้องกันและควบคุมสื่อให้เสนอข้อมูลที่ถูกต้องเหมาะสม และผู้ผลิตสื่อต้องแสดงความรับผิดชอบในการนำเสนอสื่อทุกรูปแบบ 5) ระบบการศึกษา ต้องให้ความสำคัญในการบรรจุหลักสูตรการเรียนการสอนเรื่องจริยธรรมทางเพศ การเป็นพ่อแม่ที่ดี สิทธิสตรี สิทธิเด็ก และสิทธิมนุษยชน รวมไปถึงการสอนทักษะการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยเหตุผลและสันติวิธี 7.5.6 การป้องกันจากธรณีพิบัติภัย ตาราง : แสดงจำนวนผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และสูญหายจากเหตุการณ์การเกิดคลื่นสึนามิ เรื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2547 ใน 6 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย หมายเหตุ : ข้อมูลกรณีรับแจ้งสูญหายได้ผ่านการตรวจสอบเบื้องต้น ครั้งที่ 81 ณ วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2548 โดยตัดรายชื่อแจ้งซ้ำซ้อน/กลับภูมิลำเนา/บาดเจ็บ/เสียชีวิต/พบตัวออกแล้ว ที่มา : ศูนย์ข้อมูลสารสนเทศผู้ประสบภัย กระทรวงมหาดไทย นอกจากมีผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้สูญหายอย่างมากมายแล้ว ยังพบว่า การเกิดภัยพิบัติในครั้งนี้ยังก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งทางด้านเศรษฐกิจและผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชน และเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้คนไทยได้ตระหนักถึงภัยที่เกิดขึ้น จนเกิดคำที่ใช้เรียกภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นครั้งนี้ว่าเป็น ธรณีพิบัติ และคลื่นยักษ์ที่สร้างความเสียหายในครั้งนี้ว่า คลื่นสึนามิ ภาพที่ 7.20 คลื่นสึนามิ ที่มา : http://www.amulet.in.th/forums/view_topic.php?t=905 |