วัฒนธรรมองค์กรมีความหมายอย่างไร

วัฒนธรรมองค์กร คือ วัฒธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะกลุ่มภายในแต่ละองค์กร โดยสิ่งที่นับว่าเป็น วัฒนธรรมองค์กร (Corporate Culture) ได้แก่ ค่านิยม แนวคิด แนวทาง หรือวิธีปฏิบัติที่เกิดขึ้นภายในแต่ละองค์กร ทำให้วัฒนธรรมองค์กรจะมีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละองค์กร

สำหรับคำว่า วัฒนธรรม คือ สิ่งที่เป็นรากฐานและเป็นตัวกำหนดทัศนคติและพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคมนั้น ๆ ซึ่งในส่วนของ วัฒนธรรมองค์กร ก็เช่นกัน เพียงแต่วัฒนธรรมองค์กรจะมีขอบเขตที่เล็กลงมาเหลือแค่ในสังคมขององค์กรเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมองค์กร (Corporate Culture) คือ สิ่งที่มักจะมีความใกล้เคียงกับวัฒนธรรมของประเทศที่บริษัทนั้นตั้งอยู่ แต่ในกรณีที่เป็นบรรษัทข้ามชาติอาจจะมีความเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ได้รับอิทธิพลจากทั้งวัฒนธรรมจากประเทศแม่และวัฒนธรรมของประเทศที่เข้าไปลงทุน

Corporate Culture หรือ วัฒนธรรมองค์กร ที่เห็นได้บ่อย ๆ ในไทย คือ วัฒนธรรมองค์กรแบบญี่ปุ่นที่ติดมาพร้อมกับบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย ซึ่งก็คือ การทำงานล่วงเวลาจนดึกที่วัฒนธรรมองค์กรแบบญี่ปุ่นจะมองว่าเป็นความขยัน ในทางกลับกันการกลับก่อนเวลาถึงแม้ว่างานเสร็จแล้วก็จะถูกมองว่าขี้เกียจอยู่ดี

ความสำคัญของ Corporate Culture หรือ วัฒนธรรมองค์กร คือ การที่เป็นสิ่งที่มีผลโดยตรงกับรูปแบบการทำงานในองค์กรและพฤติกรรมของคนในองค์กร นอกจากนี้ ในบางกรณีวัฒนธรรมองค์กร (Corporate Culture) อาจมีผลไปถึงเรื่องความถูกผิดและความเหมาะสมภายในองค์กรได้ด้วย

นอกจากนี้ จากการวิจัยของ James L. Heskett จากมหาวิทยาลัย Harvard ยังพบว่า วัฒนธรรมองค์กรสามารถทำให้เกิดความแตกต่างของประสิทธิภาพในการดำเนินงานได้ถึง 20-30% เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ไม่ได้เป็นองค์กรที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่ชัดเจน

วัฒนธรรมองค์กร เกิดจากอะไร

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า วัฒนธรรม (Culture) เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางสังคมหรือว่าปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม แต่สำหรับปัจจัยที่สำคัญของ วัฒนธรรมองค์กร (Corporate Culture) จะประกอบด้วย 6 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่

Vision (วิสัยทัศน์) จากการที่วิสัยทัศน์ หรือ Vision คือสิ่งที่กำหนดทิศทางขององค์กร ทำให้ภาพรวมของการดำเนินงานและพฤติกรรมของคนองค์กรมักจะมีแนวโน้มไปตามทิศทางขององค์กร ตัวอย่างเช่น องค์กรที่อยากเป็นที่ 1 ในอุตสาหรรม ก็จะมีการเสนอแนวคิดเพื่อวิจัยและพัฒนาให้เป็นผู้นำอยู่เสมอ

Value (ค่านิยมขององค์กร) ค่านิยมอีกหนึ่งส่วนที่มีผลอย่างมากต่อวัฒนธรรมทุกรูปแบบ สำหรับวัฒนธรรมองค์กรเองก็เช่นกัน เพราะค่านิยมขององค์กร คือ สิ่งที่จะช่วยกำหนดแนวทางการดำเนินงาน เพื่อนำองค์กรไปสู่เป้าหมายตามวิสัยทัศน์เกิดความสำเร็จ ตัวอย่างเช่น บริษัท McKinsey ที่มีการตั้งค่านิยมขององค์กรขึ้นมาชัดเจน เพื่อสื่อสารไปยังพนักงานว่าปฏิบัตอย่างไรกับลูกค้า

Practices (แนวการปฏิบัติของบริษัท) ตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าบริษัทมีนโยบายว่าเป็นองค์กรที่ไม่สนใจเรื่องลำดับขั้นความอาวุโส พนักงานในองค์กรก็จะมีแนวโน้มสูงที่จะกล้าออกความเห็นเกี่ยวกับปัญหา และปฏิเสธสิ่งที่ประสิทธิภาพต่ำกว่าจากผู้ที่อาวุโสมากกว่า

Narrative (เรื่องราวขององค์กร) ทุกองค์กรต่างมีประวัติศาสตร์ขององค์กร ซึ่งบางครั้งเรื่องราวและประวัติศาสตร์ขององค์กรคือสิ่งที่สืบทอดวัฒนธรรมองค์กรดั้งเดิมมาจนถึงปัจจุบัน

People (คนภายในองค์กร) เพราะอย่างที่ได้อธิบายไว้ในตอนต้นว่าวัฒธรรมคือสิ่งที่เกิดขึ้นได้จากคน ทำให้หลายบริษัททั่วโลกให้ความสำคัญกับทรัพยากรมนุษย์ และในบางองค์กรยังมีการคัดเลือกพนักงานให้เข้ากับวัฒนธรรมขององค์กร ตัวอย่างเช่น บริษัทเทคโนโลยีที่ตั้งอยู่ใน Silicon Valley มักจะมองว่าคนที่อายุมากเป็นคนแก่ที่ไม่มีความสามารถในการทำงานเกี่ยวกับ Technology ได้เท่ากับวัยรุ่น ทำให้หลายองค์กรใน Silicon Valley มักจะไม่จ้างผู้ที่มีอายุมากเกินไป

Place (สถานที่ตั้งขององค์กร) ที่ตั้งขององค์กรเองก็มีผลกับวัฒนธรรมองค์กรและพฤติกรรมของคนในองค์กร ตัวอย่างเช่น บริษัทเทคโนโลยีมักจะตั้งอยู่ใน Silicon Valley เพราะนอกจากจะหาพนักงานง่ายแล้ว สิ่งแวดล้อมของ Silicon Valley ยังเป็นตัวกระตุ้นพนักงานด้วยการที่อยู่ท่ามกลางบริษัท IT ชั้นนำ


ตัวอย่าง วัฒนธรรมองค์กร

วัฒนธรรมองค์กร หรือ Corporate Culture คือ อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องของ ค่านิยม แนวคิด แนวทาง หรือวิธีปฏิบัติที่เกิดขึ้นภายในแต่องค์กร จนทำให้คนส่วนใหญ่ในองค์กรยึดเป็นแนวทางปฏิบัติ ตัวอย่างเช่น

ทัศนคติในการทำงานเกินเวลาเพื่อแสดงถึงความตั้งใจ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่เกิดขึ้นในประเทศเอเชีย อย่างเช่น ประเทศจีน และประเทศญี่ปุ่น ที่มักจะนั่งทำงานเกินเวลาใครกลับก่อนก็จะถูกเพ่งเล็ง อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผล แต่สำหรับวัฒนธรรมการทำงานเกินเวลาในองค์กรแถบเอเชีย คือ เรื่องปกติที่จะเป็นการแสดงออกความตั้งใจทำงานด้วยการทำงานให้เสร็จก่อนจะกลับ (ในลักษณะไม่เสร็จไม่กลับ)

ในทางกลับกันในวัฒนธรรมที่ต่างกัน วัฒนธรรมองค์กร (Corporate Culture) บางอย่างอาจเป็นสิ่งที่ต่างกันอย่างสุดขั้วก็ได้ จากตัวอย่างเดิม การทำงานเกินเวลาเป็นประจำสำหรับประเทศแถบตะวันตกจะมองกรณีนี้ว่าไม่มีความรับผิดชอบ เพราะไม่สามารถทำงานให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนดได้ ซึ่งนี่ก็จะเป็นอีกตัวอย่างที่เป็นวัฒนธรรมองค์กรแบบตะวันตก)

เพราะต่อให้เจ้าของบริษัทเก่งแค่ไหน มีเงินเยอะเท่าไร เจ้าของคนเดียวก็ไม่สามารถทำทุกอย่างด้วยตัวเองได้ เพราะฉะนั้นพนักงานคือตัววัดว่าบริษัทเราจะไปได้ไกลแค่ไหน และสิ่งที่จะช่วยผลักดันพนักงานได้ดีที่สุดก็คือ ‘วัฒนธรรมองค์กร’

วัฒนธรรมองค์กรคืออะไร?

วัฒนธรรมองค์กรหมายถึง ค่านิยม ทัศนคติ มาตรฐาน และ ความเชื่อที่ทุกคนในบริษัทมีร่วมกัน วัฒนธรรมองค์กรเป็นสิ่งที่สร้างเป้าหมายขององค์กร เป็นตัวกำหนดกลยุทธ์ และวิธีที่ทุกคนในบริษัททำงาน การสร้างวัฒนธรรมองค์กรคือหัวใจสำหรับความสำเร็จขององค์กร

สิ่งที่มักมาคู่กับวัฒนธรรมองค์กรก็คือจริยธรรมขององค์กร (corporate ethics) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของค่านิยมองค์กร และภาพลักษณ์ขององค์กร (corporate image) เช่นภาพลักษณ์ที่คนนอกมีต่อวัฒนธรรมขององค์กรเป็นต้น (สามารถอ่านเพิ่มได้ที่นี่ แบรนด์คืออะไร และ จริยธรรมทางธุรกิจที่ดี)

ทุกคนคงทราบดีว่า วัฒนธรรมองค์กรของแต่บริษัทไม่เหมือนกัน และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ระบบการทำงานและทัศนคติของพนักงานแต่ละที่ไม่เหมือนกัน การนิยามวัฒธรรมองค์กรสามารถทำได้ด้วยการตอบคำถามดังนี้

  • สิบคำที่ใช้ในการอธิบายองค์กรนี้คืออะไร
  • อะไรสำคัญที่สุดในบริษัทนี้
  • คนแบบไหนถึงจะได้เลื่อนตำแหน่งในบริษัท
  • พฤติกรรมแบบไหนถึงจะได้รับรางวัลในบริษัทนี้
  • ใครเหมาะและใครไม่เหมาะในบริษัทนี้

ทุกองค์กรมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเองทั้งนั้น อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกบริษัทที่จะรับรู้ถึงวัฒนธรรมของตัวเอง และไม่ใช่ทุกวัฒนธรรมที่จะมีประโยนช์ต่อบริษัท บางบริษัทอาจจะมีวัฒนธรรมที่ผู้บริหาร ‘นิยาม’ ขึ้นมา แต่วัฒนธรรมการทำงานจริงๆของพนักงานกลับไม่เหมือนคำนิยามพวกนั้น

วัฒนธรรมองค์กรมีผลกับประสิทธิภาพการทำงานยังไง

หากเราสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี องค์กรของเราก็จะพัฒนาไปในทิศทางที่ดีมากขี้น

เหตุผลแรกคือ พนักงานปัจจุบันของเราก็จะมีทิศทางการทำงานที่ชัดเจนมากขึ้น เวลาพนักงานมีคำถามที่ไม่เข้าใจหรือมีการโต้แย้งกันระหว่างสองแผนกเพราะผลประโยชน์ขัดแย้งกัน พนักงานก็จะสามารถกลับมาดูคุณค่าขององค์กรเพื่อที่จะตัดสินใจร่วมกันได้ว่าตัวเลือกที่ดีที่สุดคืออะไร โดยที่เจ้าของบริษัทหรือหัวหน้าไม่ต้องเข้ามาแทรกแซงเลย

และหนึ่งในวิธีการทำให้ทิศทางของพนักงานของพนักงานและทิศทางขององค์กรไปได้ตรงกันมากที่สุดก็คือการผลักดัน KPI ขององค์กรให้เหมาะสมกับเป้าหมายและวัฒนธรรมองค์กร สามารถอ่านเพิ่มเติมที่บทความนี้ Key Performance Indicators หรือ KPI คืออะไร? ใช้ยังไงไม่ให้คนเบื่อ

นอกจากนั้นแล้ววัฒนธรรมองค์กรยังช่วยในการ ‘ดึงดูด’ คนที่เราต้องการได้อีกด้วย หากวัฒนธรรมขององค์กรเป็นไปตามที่เรากำหนดไว้ พนักงานในองค์กรของเราก็จะรู้ได้ทันทีว่าคนแบบไหมเหมาะที่จะแนะนำหรือรับเข้ามาทำในบริษัท คนแบบไหนน่าจะประสบความสำเร็จได้ในบริษัท และคนแบบไหนที่ควรหลีกเลี่ยง

หากเรารับพนักงานที่ไม่เหมาะกับวัฒนธรรมองค์กรเข้ามา บริษัทก็จะ ‘มีความเสี่ยง’ มากขึ้น เพราะพลังงานลบจะสามารถแพร่กระจายในบริษัทได้ง่าย

ผมจะขอยกหนึ่งตัวอย่างของวัฒนธรรมที่มีผลต่อระบบการทำงานนะครับ กิจการที่บ้านของผมรับพนักงานอิสลามเข้ามาเยอะ คาดว่าเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมาพนักงานกลุ่มหนึ่งได้ทำการแนะนำเพื่อนหรือครอบครัวเข้ามา ทำให้เวลามีวันหยุดอิสลามพนักงานในบริษัทก็จะลาพักกันเยอะมาก จนพนักงานมาขอให้ทำเป็นวันหยุดบริษัทไปเลยจะได้ไม่กระทบต่อการทำงานรวม 

เราจะเห็นได้ว่าบางครั้ง ‘พนักงานส่วนมาก’ จะเป็นคนกำหนดวิธีการทำงานโดยรวมของบริษัท และ ‘พนักงานส่วนมาก’ นี้ก็สามารถเข้ามาได้หลายช่องทาง แต่ช่องทางที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดคือตามคำเชิญชวน (referral) หรือตามภูมิภาค (geographical)

ยกตัวอย่างเช่น หากบริษัทไทยเราไปเปิดสาขาที่ประเทศญี่ปุ่น เราก็ต้องรับคนญี่ปุ่นเข้ามาทำงาน และระบบการทำงานของเราก็จะมีกลิ่นอายวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นมากขึ้นเป็นต้น

หากใครชอบเรียน ชอบศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการทำธุรกิจ การบริหารองค์กร ผมได้เขียนอีบุ๊คเรื่องข้อมูลการทำธุรกิจ ที่ถูกสอนในโรงเรียนบริหารธุรกิจทั่วโลก ผมตั้งใจทำมาก หวังว่าทุกคนจะชอบครับ อีบุ๊ค ฉลาดรู้ ฉลาดทำธุรกิจ

ตัวอย่างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี 

วัฒนธรรมองค์กรของบริษัท Google (หรือที่เปลี่ยนใหม่เป็นชื่อ Alphabet เมื่อปี 2015) เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่คนศึกษากันมากที่สุด คนรู้จัก Google ในบริษัทที่เป็นมิตรต่อพนักงานและให้อิสระกับพนักงานเยอะ นอกจากนั้นแล้ว Google ยังมีสวัสดีการแปลกๆเช่นการให้พนักงานทำงานจากบ้าน ให้พนักงานสามารถเบิกค่าเรียนนอกสถานที่ได้ ให้อาหารกลางวันฟรี หรือมีหมอไว้ประจำบริษัทเป็นต้น

วัฒนธรรมองค์กรมีความหมายอย่างไร

นอกจากนั้นแล้วที่สำนักงานหลักของบริษัท Google ยังมีบริการพิเศษอีกด้วย เช่นบริการล้างรถ บริการนวด บริการทำผมเป็นต้น

การให้สวัสดีการที่ไม่เหมือนใครแบบนี้ทำให้คนมอง Google ว่าเป็นตัวอย่างของการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีที่สุด แน่นอนว่าหลายคนก็อยากจะเข้ามาทำงานกับ Google ในหนึ่งปีมีคนสมัครงานกับ Google เป็นหลักล้านคนเลย

อีกกรณีการศึกษาวัฒนธรรมองค์กรที่พูดถึงบ่อยใน MBA ก็คือวัฒนธรรมของทหาร (military) หากเรามองทหารว่าเป็นองค์กรอย่างหนึ่ง เราจะเห็นได้ว่าองค์กรนี้อาศัยความเชื่อใจและความเคารพผู้นำในตำแหน่งสูงเป็นอย่างมาก สาเหตุก็เพราะในสนามรบ หากผู้นำไม่สามารถทำให้ลูกน้องเชื่อใจได้ หรือหากลูกน้องดื้อไม่เชื่อใจผู้นำ สิ่งที่ตามมาคืออาจจะมีคนตายครับ

สำหรับประเทศไทยนั้นองค์กรอย่าง ปตท. ก็ได้รับความชื่นชมจากคนนอกว่าเป็นองค์กรที่มีความ ‘มั่นคง’ ปตทให้สวัสดิการและสิทธิประโยชน์สำหรับบุคคลในครอบครัวพนักงาน เช่น การรักษาพยาบาล ทุนการศึกษา เป็นต้น

แนวคิดวัฒนธรรมองค์กรที่ดี

วัฒนธรรมองค์กรที่ ‘ถูกสร้าง’ มาควรจะมีความเหมาะสมกับอุดมการณ์และค่านิยมของบริษัท ยิ่งในยุคสมัยที่พนักงานสามารถสื่อสารกันได้รวดเร็วผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียและช่องทางออนไลน์ต่างๆ หน้าที่ของบริษัทที่ต้องสนับสนุนวัฒนธรรมองค์กรที่ดียิ่งมีมากขึ้น

มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้อธิบายไว้ว่าคุณสมบัติของวัฒนธรรมองค์กรที่ดีมีอยู่หกอย่างด้วยกัน

  • วิสัยทัศน์ (Vision) – ตั้งแต่การตั้งพันธกิจของบริษัท (mission) ไปถึงการสร้างตัวตนของบริษัท ยกตัวอย่างเช่นวิสัยทัศน์ของ Google ก็คือ ‘อย่าเป็นคนไม่ดี’ (don’t be evil) 
  • คุณค่า (Values) – คือการสร้างวัฒธรรมองค์กรให้มีคุณค่าเหมาะสมกับทิศทางของบริษัท คุณค่าที่ดีจะปรับมุมมองและการทำงานของพนักงานทุกคนให้เป็นหนึ่งเดียว
  • การปฏิบัติ (Practices) – เป็นการสร้างให้วัฒธรรมองค์กรออกมาเป็นอะไรที่พนักงานสามารถจับต้องได้ ยกตัวอย่างเช่นข้อบังคับทางจริยธรรม หรือ คู่มือการทำงานเป็นต้น
  • ผู้คน (People) – คือคนในบริษัท อาจจะเป็นวิธีที่บริษัทดูแลพนักงานหรือวิธีที่บริษัทใช้ในการหาพนักงานใหม่เป็นต้น บางคนบอกว่าพนักงานก็คือวัฒธรรมขององค์กรเลย
  • การเล่าเรื่อง (Narrative) – การเล่าเรื่องหรือการสื่อสารก็เป็นส่วนสำคัญของการสร้างองค์กร องค์กรหลายแห่งเน้นเรื่องวัฒนธรรมที่มีรากฐานจากผู้ก่อตั้งและก็ได้สืบทอดวัฒนธรรมนั้นมาเป็นเวลาหลายสิบปีเป็นต้น
  • สถานที่ (Place) – รวมถึงตำแหน่งและการออกแบบตึกทำงานภายในกับภายนอกด้วย สิ่งพวกนี้จะเป็นตัวบอกว่าพนักงานที่ทำงานกับเรามีนัสัยยังไง และ บริษัทของเราทำงานแบบไหน ยกตัวอย่างเช่นบริษัทเทคโนโลยีต่างๆจะชอบใส่อุปกรณ์ไอทีเข้าไปในออฟฟิศเยอะๆเพื่อให้เหมาะกับพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอทีมากกว่า หรือบริษัทที่เน้นเรื่องการออกแบบก็จะตกแต่งออฟฟิศให้มีความสวยงามดูมีศิลปะมากขึ้นเป็นต้น

เราจะสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีได้อย่างไร

ผมอธิบายเรื่องหกแนวคิดในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีไปแล้ว ในส่วนนี้เรามาลองดูวิธีสร้างวัฒนธรรมที่จับต้องได้กันครับ

สิ่งแรกก็คือ ผู้บริหารและเจ้าของบริษัท พนักงานมองผู้บริหารเป็นตัวอย่างอันดับหนึ่งเสมอ หากผู้บริหารสามารถทำให้พนักงานเห็นได้ว่า ผู้บริหารเชื่อมั่นและจริงจังในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี โอกาสที่พนักงานจะทำตามก็มีมากขึ้น

ตัวอย่างง่ายที่สุดก็คือการที่เจ้าของบริษัทเข้าออกงานตรงเวลา พนักงานส่วนมากหากรู้ว่าเจ้าของเข้างานตรงเวลาก็จะมีโอกาสเข้างานสายน้อยลง หรือหากพนักงานเห็นเจ้าของบริษัททำงานดึกก็จะเกรงใจไม่กล้ากลับบ้านทั้งๆที่หมดเวลาทำงานแล้ว

ต่อมาก็คือการสื่อสาร ในบางครั้งไอเดียและการกระทำอาจจะไม่พอ เราต้องหาวิธีสื่อสารที่ดีด้วย โดยรวมแล้วยิ่งองค์กรมีขนาดใหญ่ ยิ่งมีปัญหาด้านการสื่อสาร องค์กรขนาดเล็กสามารถสื่อสารข้อมูลได้ละเอียดกว่ามาก หากเรามีทีมเล็กทีมน้อยในบริษัทหรือบริษัทมีหลายแผนกที่ไม่ได้ทำงานร่วมกันบ่อยๆ เราต้องทำความเข้าใจว่าหัวหน้าของแต่ละแผนกมีหน้าที่ที่จะช่วยสื่อสารและพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรด้วย

สิ่งสุดท้ายคือการฝึกพนักงาน บริษัทส่วนมากจะแบ่งเวลามาส่วนหนึ่งเพื่อพัฒนาส่วนวัฒนธรรมองค์กร เช่นการทำ business outing หรือกินเลี้ยง team dinner เป็นต้น อย่างไรก็ตามหากเราต้องการพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรอย่างมีระบบจริงๆ เราก็ควรรวมการสร้างวัฒนธรรมองค์กรเข้าไปในระบบการจ้างพนักงาน ระบบการอบรมพนักงาน และ ระบบการเลื่อนขั้นพนักงานด้วย

วัฒนธรรมองค์กรมีความหมายอย่างไร

วัฒนธรรมเด่นและวัฒนธรรมย่อย

วัฒนธรรมองค์กรนั้นมีหลากหลาย แต่ตัวอย่างที่ดีที่สุดน่าจะเป็นมหาวิทยาลัยครับ หากเราดูมหาวัทยาลัยในประเทศไทย เราอาจจะเห็นได้ว่า ‘ประเภทของนักศึกษา’ ในแต่ละมหาลัยจะมีความคล้ายกันอยู่เยอะ เด็กที่เหมือนกันก็จะมารวมกลุ่มกันได้ง่าย

ยกตัวอย่างเช่น มหาลัยA มีเด็กรวยมากกว่า หรือมหาลัยBเป็นเด็กจากจังหวัดนี้เยอะ มุมมองความคิดร่วมของนักศึกษาในแต่ละมหาลัยอาจจะเรียกได้ว่าเป็น วัฒนธรรมเด่น (dominant culture) อย่างหนึ่ง

แต่ว่าในแต่ละมหาลัยก็อาจจะมี ‘คณะ’ ที่ไม่เหมือนกัน แต่ละคณะอาจจะมีความชอบหรือพฤติกรรมที่ไม่เหมือนคณะอื่นเช่น คณะนี้เก่งเลข คณะนี้เก่งภาษาอังกฤษ คณะนี้ชอบทำกิจกรรม เป็นต้น ความชอบของคณะกลุ่มย่อยนี้เราเรียกได้ว่าเป็น วัฒนธรรมย่อย (sub-culture)

ยิ่งองค์กรมีขนาดใหญ่ก็ยิ่งยากที่จะทำให้วัฒนธรรมเหมือนกันทั้งองค์กร ซึ่งบริษัทส่วนมากจะลดปัญหานี้ด้วยการสร้างวัฒนธรรมเด่นให้เป็นอย่างหนึ่ง (เป็นวัฒนธรรมที่ตรงต่อคุณค่าของบริษัท หรือเป้าหมายของผู้บริหาร)

แต่จะปล่อยให้แต่ละทีมหรือแต่ละแผนกสามารถพัฒนาวัฒนธรรมย่อยที่เหมาะสมของการทำงานแต่ละทีมได้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ฝ่ายขายมีการออกนอกบริษัทไปเจอลูกค้าเยอะ เจ้าของบริษัทเลยอนุญาตให้ไม่ต้องเข้าบริษัทบ่อยเป็นต้น

โดยรวมแล้ววัฒนธรรมย่อยทำให้การทำงานของทีมย่อยนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตราบใดที่วัฒนธรรมนั้นๆไม่ขัดแย้งต่อวัฒนธรรมหลัก องค์กรก็จะได้ประโยชน์ต่อการมีวัฒนธรรมย่อยครับ

วัฒนธรรมองค์กรที่มองเห็นและมองไม่เห็น

สำหรับบางคนวัฒนธรรมองค์กรเป็นสิ่งที่จับต้องได้ง่าย แต่สำหรับบางคนวัฒนธรรมก็เป็นอะไรที่คลุมเคลือเข้าใจยาก นั้นก็เพราะว่ามุมมองต่อวัฒนธรรมองค์กรของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

วัฒนธรรมองค์กรสามารถถูกแบ่งเป็นสองส่วนก็คือ ส่วนที่สามารถมองเห็นได้ (visible corporate culture) และ ส่วนที่ไม่สามารถมองเห็นได้ง่าย (invisible corporate culture) ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกฝังลึกไว้ในรากฐานองค์กร

ส่วนที่สามารถมองเห็นได้หมายถึงสิ่งที่พนักงานสามารถมองเห็นหรือได้ยินได้ง่าย เช่นสิ่งก่อสร้างหรือรูปปั้นผู้ก่อตั้งเป็นต้น (เรียกว่า artifacts) หรือไม่ก็เป็นคำพูด คำขวัญที่ได้ยินบ่อยๆ (slogan) มหาลัยในประเทศไทยหลายแห่งแปะป้ายคำขวัญหรือสโลแกนประจำคณะไว้ที่หน้าตึก ซึ่งก็เป็นวิธีรวมทั้ง artifacts และ slogan ไว้ด้วยกัน

วัฒนธรรมองค์กรที่มองไม่เห็น เป็นสิ่งที่พนักงานสามารถรับรู้ได้จากประสบการณ์ทำงานหรือความเข้าใจในระบบขององค์กรเป็นต้น ยกตัวอย่างเช่นความคิดที่ว่า ‘เจ้าของน่าจะชอบแบบนี้’ หรือ ‘ทำแบบนี้ไม่ดีแน่ๆ’ ก็เป็นสัญญาณแรกเลยว่าเรามีวัฒนธรรมที่มองไม่เห็นอยู่

อย่างไรก็ตาม มุมมองเหล่านี้ก็สามารถมาจากความคิดของลูกค้าหรือคนภายนอกด้วยก็ได้ เช่น สินค้าบริษัทนี้มีคุณภาพ หรือ บริการร้านนี้ต้องสะอาดแน่ๆ ถือว่าเป็นภาพลักษณ์อย่างหนึ่ง

ผมหวังว่าบทความนี้จะให้ความรู้ทุกคนได้ไม่มากก็น้อย สำหรับคนที่ชอบบทความบนบล็อกนี้แล้วรู้สึกว่าอยากอ่านเพิ่ม ผมได้ทำ ‘สารบัญ’ ที่เรียบเรียงบทความพื้นฐานในการทำธุรกิจมาให้ทุกคนแล้ว สามารถ โหลดฟรีได้ที่นี่ ครับ