หลังจากแอปเปิล (Apple) ประกาศเปิดตัวสีเขียวใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 13 และวางจำหน่ายในตลาดประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยและมาถึงมือทีมงานแล้ว เป็น iPhone 13 mini และ iPhone 13 Pro Max มาดูกันว่าเฉดใหม่นี้จะทำให้น่าสนใจอยากเป็นเจ้าของกันเพียงใด Show หลังจาก iPhone 13 ถูกเปิดตัวในเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา มีกระแสตอบรับอย่างล้นหลามยอดขายถล่มทลาย กับสุดยอดสมาร์ทโฟนที่ทรงพลังที่สุดด้วยชิปเซ็ต A15 Bionic การดีไซน์สวยงาม ใช้วัสดุระดับพรีเมียมที่ดูหรูหราและทนทาน ระบบกล้องสุดล้ำ ตอบโจทย์ทุกการใช้งานระดับสูงครบครัน
การเปิดตัวสีใหม่ในโทนเขียวนี้นับเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งของ Apple เพื่อกระตุ้นยอดขายเพิ่มเติมคั่นกลาง 6 เดือนหลังการเปิดตัว iPhone 13 และก่อน iPhone 14 ที่ปกติแล้วจะอยู่ในช่วงเดือนกันยายนทุกปี สีเขียวนับเป็นเฉดสีที่มาแรงในปีนี้ สำหรับคนจีนแล้วยังถูกมองว่าเป็นสีที่มาเสริมโชคลาภ เงินทองไหลมาเทมา คนไทยเรามักชินกับคำว่าสีเขียวเหนี่ยวทรัพย์ เป็นสีที่นำโชคให้หลายๆคน ในปีที่ผ่านมา Apple ได้ใช้เฉดสีม่วงมาเป็นตัวเร่งยอดขายให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 12 ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่และดึงดูดใจให้ลูกค้าเพิ่มขึ้น
กลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 13 มีทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ประกอบด้วย iPhone 13 mini หน้าจอขนาด 5.4 นิ้วราคาเริ่มต้น 25,900 บาท iPhone 13 หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว ราคาเริ่มต้น 29,900 บาท สีเขียว iPhone 13 Pro หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว ราคาเริ่มต้น 38,900 บาท และ iPhone 13 Pro Max หน้าจอ 6.7 นิ้ว เริ่มต้น 42,900 บาท สีเขียวอัลไพน์ ดีไซน์เฉดสีเขียวใหม่จะแตกต่างกันใน 2 รุ่นหลักคือ iPhone 13 Pro สีเขียวอัลไพน์ ถูกออกแบบมาโดยการนำเซรามิกโลหะหลายชั้นที่บางระดับนาโนเมตรมาเคลือบลงบนพื้นผิว เข้ากับขอบสเตนเลสสตีล ด้านหลังแบบกระจกผิวด้านกรอบเครื่องมันเงา ส่วน iPhone 13 สีเขียว ที่ถูกออกแบบมากะทัดรัดกระจกเซรามิกด้านหน้า ขอบแบนและทนทานกรอบเครื่องสีด้าน สำหรับสเปกของกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 13 สีเขียวใหม่ เหมือนกับสเปกที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้
iPhone 13 สีเขียวใหม่ถูกจัดส่งพร้อมกับอัปเดตระบบปฏิบัติการ iOS 15.4 ที่หลายๆคนรอมานานก็คือความสามารถในการใช้ปลดล็อกด้วย Face ID ขณะสวมหน้ากากอนามัย รวมทั้งตัวเลือกเสียง Siri ใหม่ การขยายความช่วยเหลือด้านภาษาสำหรับค้นดูจากภาพ อิโมจิใหม่ เป็นต้น เมื่อดูความแตกต่างของสีระหว่าง 2 รุ่นหลักแล้ว เห็นความชัดเจนว่า iPhone 13 สีเขียว ผิวสัมผัสด้านหลังจะมันวาว สีเข้มมองแล้วสะดุดตา โดยมีโลโก้แอปเปิลสีเงินตัดอย่างโดดเด่น เมื่อจับแล้วจะเห็นรอยได้ง่ายต้องคอยเช็ดถูตลอดเวลา ส่วน iPhone 13 Pro สีเขียวอัลไพน์ ผิวสัมผัสด้านหลังสีเขียวด้าน ดูโทนสีอ่อนกว่า ดูนุ่มนวล สุขุมกว่า ยากที่จะตัดสินได้ว่าสีไหนสวยกว่า ดูหรูหราน่าใช้กว่ากันแล้วแต่ความชื่นชอบและงบประมาณของแต่ละบุคคล. ในกิจกรรม Peek Performance เมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา Apple ได้เปิดตัว iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max สีเขียวอัลไพน์ พร้อมกับ iPhone 13 และ iPhone 13 mini สีเขียว ซึ่งทั้งคู่จะเริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2565 เป็นต้นไป ทีมงาน @Flashfly จึงถือโอกาสนำ iPhone 13 Pro สีเขียวอัลไพน์ และ iPhone 13 mini สีเขียวใหม่ มาพรีวิวให้ชมเพื่อแชร์ความรู้สึกแรกที่ได้สัมผัส แกะกล่องiPhone 13 Pro สีเขียวอัลไพน์ ถูกจัดส่งมาในกล่องสีดำ หน้ากล่องพิมพ์รูปภาพด้านหลังของ iPhone ขนาดใหญ่ในบอดี้สีเขียวอัลไพน์ ขณะที่ iPhone 13 mini สีเขียว ถูกบรรจุไว้ในกล่องสีขาว หน้ากล่องพิมพ์รูปภาพด้านหลังของ iPhone สีเขียว เช่นเดียวกับสีสันอื่นๆ ที่ทำตลาดไปก่อนหน้านี้ ตัวกล่องของ iPhone 13 Pro สีเขียวอัลไพน์ และ iPhone 13 mini สีเขียว ถูกทำให้บางลงนับตั้งแต่ iPhone 12 เพื่อเพิ่มปริมาณการจัดส่งในแต่ละครั้งให้มากขึ้น ผลที่ได้ก็คือ สามารถลดการใช้เชื้อเพลิงและพลังงานของระบบขนส่งได้ในทางอ้อม ใต้กล่องของทั้งคู่ถูกปิดผนึกด้วยแถบกระดาษกาว แทนที่การซีลด้วยพลาสติกใส พร้อมติดฉลากระบุชื่อรุ่น อุปกรณ์ภายในกล่อง และให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเชื่อมต่อไร้สาย เมื่อยกฝากล่องขึ้นมา ก็จะพบกับ iPhone นอนคว่ำหน้าอยู่ เพื่อเผยให้เห็นด้านหลังที่มาในสีสันใหม่ ซึ่งสีเขียวของ iPhone 13 mini (รวมถึง iPhone 13) มีพื้นผิวมันเงา ขณะที่สีเขียวอัลไพน์ของ iPhone 13 Pro (รวมถึง iPhone 13 Pro Max) มีพื้นผิวด้าน iPhone 13 Pro สีเขียวอัลไพน์ และ iPhone 13 mini สีเขียว ได้รับการปกป้องริ้วรอยบนหน้าจอด้วยแผ่นกระดาษ แทนการห่อหุ้มด้วยซองพลาสติก โดยแผ่นกระดาษที่ติดบนหน้าจอ ยังมีลิ้นยื่นออกมาช่วยให้ผู้ใช้งานหยิบ iPhone ออกจากกล่องได้สะดวก ถัดลงมาเป็นช่องเก็บซองเอกสารภายในบรรจุเอกสารต่างๆ ได้แก่ คู่มือแนะนำการใช้งานเบื้องต้น การรับประกัน และ เอกสารยืนยันว่าผ่านการรับรองจาก กสทช. อีกทั้งยังแนบเข็มช่วยถอดถาดใส่ซิมการ์ด และแถมสติกเกอร์โลโก้ Apple มาให้ 1 ชิ้น อุปกรณ์ชิ้นสุดท้ายเป็นสายเคเบิล USB‑C to Lightning ไม่ต้องตกใจที่ไม่พบอุปกรณ์ชาร์จ หรือ Power Adapter เพราะ Apple ไม่ได้แถมมาให้ตั้งแต่เปิดตัว iPhone 12 ในปี 2563 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายใส่ใจสิ่งแวดล้อมของ Apple สีสันใหม่บนดีไซน์สุดหรูiPhone 13 Pro สีเขียวอัลไพน์ และ iPhone 13 mini สีเขียว ยังคงใช้ดีไซน์เดิมแบบเดียวกับสีสันอื่นๆ และเมื่อนำทั้งคู่มาอยู่คู่กัน ก็เห็นได้ชัดเจนว่ามีโทนสีเขียวที่แตกต่างกันไป iPhone 13 Pro สีเขียวอัลไพน์ มีพื้นผิวด้าน ซึ่งเกิดจากการนำเซรามิกโลหะหลายชั้นที่บางระดับนาโนเมตรมาเคลือบลงบนพื้นผิวกระจก ขณะที่ด้านหลังของ iPhone 13 mini สีเขียว ใช้วัสดุกระจกที่มีพื้นผิวมันเงา ส่วนขอบรองตัวเครื่องของ iPhone 13 Pro ทำมาจากสแตนเลสสตีลเกรดเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องมือศัลยกรรม ส่วนขอบของ iPhone 13 mini ใช้วัสดุอะลูมิเนียม โดยใช้สีเขียวเพื่อให้เข้ากับด้านหลัง ด้านหน้าของทั้งคู่ได้รับการปกป้องด้วย Ceramic Shield ซึ่ง Apple ยืนยันว่ามีความแข็งแกร่งกว่ากระจกสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ในตลาด นอกจากนี้ iPhone 13 ทุกรุ่น ยังถูกสร้างมาเพื่อทนน้ำและฝุ่นในระดับ IP68 เป็นเลือกยากที่จะตัดสินใจว่าสีเขียวของ iPhone 13 Pro หรือ iPhone 13 แบบไหนที่ดูดีกว่ากัน แต่ถ้าให้ตัดสินใจโดยพิจารณาจากการซื้อไปใช้โดยไม่สวมเคส iPhone 13 Pro สีเขียวอัลไพน์ ถูกใจทีมงาน @Flashfly มากที่สุด เนื่องจากใช้กระจกแบบผิวด้านที่ทำให้เกิดรอยนิ้วมือได้ยากกว่า แต่สำหรับใครที่ชอบความกะทัดรัด แนะนำให้เลือก iPhone 13 mini สีเขียว ถึงแม้ iPhone 13 mini จะมีคำว่า mini ต่อท้าย แต่ก็ยังมาพร้อมจอแสดงผล Super Retina XDR ขนาด 5.4 นิ้ว ใหญ่กว่าจอแสดงผลของ iPhone SE ที่มีขนาด 4.7 นิ้ว โดยใช้จอภาพ OLED ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเซล ให้อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1 รองรับ HDR การแสดงผลแบบ True Tone และขอบเขตสีกว้าง P3 จอแสดงผลของ iPhone 13 Pro สีเขียวอัลไพน์ เรียกว่า Super Retina XDR เช่นกัน เพราะใช้จอภาพ OLED เช่นเดียวกัน แต่มีความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล ขนาด 6.1 นิ้ว และเหนือกว่าด้วยเทคโนโลยี ProMotion ทำให้รองรับอัตราการรีเฟรชหน้าจอแบบปรับได้สูงสุดที่ 120Hz จึงตอบสนองการเลื่อนหน้าจอได้อย่างราบรื่น ควบคุมการเล่นเกมได้ลื่นไหล และยังมีช่วยช่วยในการประหยัดแบตเตอรี่ ทั้งนี้ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max สีเขียวอัลไพน์ รวมถึง iPhone 13 และ iPhone 13 mini สีเขียวใหม่ จะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2565 เป็นต้นไป โดยมีราคาแตกต่างกันดังนี้ ราคา iPhone 13 mini
ราคา iPhone 13
ราคา iPhone 13 Pro
ราคา iPhone 13 Pro Max
ไอโฟน 13 สีเขียวราคากี่บาทiPhone 13 ความจุ 128GB สีเขียว ฿29,900.00. รวม VAT โดยประมาณ: ฿1,956.00* ฿2,990.00/เดือน ดอกเบี้ย 0 เป็นเวลา 10 เดือน
ไอโฟน 13 Pro ราคาเท่าไรiPhone 13 Pro (512 GB)
฿ 46,500. เริ่มต้น ฿ 36,700.
ไอโฟน 13 สีเขียวมีกี่รุ่นดีไซน์เฉดสีเขียวใหม่จะแตกต่างกันใน 2 รุ่นหลักคือ iPhone 13 Pro สีเขียวอัลไพน์ ถูกออกแบบมาโดยการนำเซรามิกโลหะหลายชั้นที่บางระดับนาโนเมตรมาเคลือบลงบนพื้นผิว เข้ากับขอบสเตนเลสสตีล ด้านหลังแบบกระจกผิวด้านกรอบเครื่องมันเงา ส่วน iPhone 13 สีเขียว ที่ถูกออกแบบมากะทัดรัดกระจกเซรามิกด้านหน้า ขอบแบนและทนทานกรอบเครื่องสีด้าน
ไอโฟน13สีเขียววางขายวันไหนลูกค้าจะสามารถสั่งซื้อ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ล่วงหน้าในสีเขียวอัลไพน์ และ iPhone 13 และ iPhone 13 mini ในสีเขียวได้ตั้งแต่เวลา 9:00 น. ตามเวลาในประเทศไทยของวันศุกร์ที่ 18 มีนาคมและจะมีวางจำหน่ายตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม
|