คุกกี้พื้นฐานที่จำเป็น เพื่อช่วยให้การทำงานหลักของเว็บไซต์ใช้งานได้ รวมถึงการเข้าถึงพื้นที่ที่ปลอดภัยต่าง ๆ ของเว็บไซต์ หากไม่มีคุกกี้นี้เว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม และจะใช้งานได้โดยการตั้งค่าเริ่มต้น โดยไม่สามารถปิดการใช้งานได้ คุกกี้ในส่วนวิเคราะห์ จะช่วยให้เว็บไซต์เข้าใจรูปแบบการใช้งานของผู้เข้าชมและจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลและรายงานผลการใช้งานของผู้ใช้งาน คุกกี้ในส่วนการตลาด ใช้เพื่อติดตามพฤติกรรมผู้เข้าชมเว็บไซต์เพื่อแสดงโฆษณาที่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้งานแต่ละรายและเพื่อเพิ่มประสิทธิผลการโฆษณาสำหรับผู้เผยแพร่และผู้โฆษณาสำหรับบุคคลที่สาม กล่าวโดยสรุป ของบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด และพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดทำบัญชีของนิติบุคคลดังกล่าวต้องมีการจัดทำบัญชีปิดบัญชีอย่างน้อยครั้งหนึ่งในรอบ 12 เดือน และจัดให้มีผู้สอบบัญชีตรวจสอบและแสดงความเห็นต่องบการเงินของรอบปีบัญชี เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน สำหรับบริษัทมหาชนจำกัดที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต้องจัดทำงบการเงินรายไตรมาส(ทุกรอบ 3 เดือน)เพิ่มเติมจากงบการเงินของรอบปีบัญชี และให้มีผู้สอบบัญชีสอบทานงบการเงินรายไตรมาสแทนการตรวจสอบและแสดงความเห็นต่องบการเงิน เพื่อให้มีการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินแก่ผู้ที่มีส่วนได้เสียและผู้สนใจได้ทราบคุกกี้พื้นฐานที่จำเป็น เพื่อช่วยให้การทำงานหลักของเว็บไซต์ใช้งานได้ รวมถึงการเข้าถึงพื้นที่ที่ปลอดภัยต่าง ๆ ของเว็บไซต์ หากไม่มีคุกกี้นี้เว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม และจะใช้งานได้โดยการตั้งค่าเริ่มต้น โดยไม่สามารถปิดการใช้งานได้ คุกกี้ในส่วนวิเคราะห์ จะช่วยให้เว็บไซต์เข้าใจรูปแบบการใช้งานของผู้เข้าชมและจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลและรายงานผลการใช้งานของผู้ใช้งาน คุกกี้ในส่วนการตลาด ใช้เพื่อติดตามพฤติกรรมผู้เข้าชมเว็บไซต์เพื่อแสดงโฆษณาที่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้งานแต่ละรายและเพื่อเพิ่มประสิทธิผลการโฆษณาสำหรับผู้เผยแพร่และผู้โฆษณาสำหรับบุคคลที่สาม สำหรับบุคคลธรรมดาและห้างหุ้นส่วนที่ไม่ได้จดทะเบียน ไม่ต้องจัดทำบัญชี เว้นแต่รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีจะออกประกาศให้เป็นผู้ที่มีหน้าที่จัดทำบัญชี 2. กำหนดความรับผิดชอบในการจัดทำบัญชี 2) ต้องส่งมอบเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีให้แก่ผู้ทำบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วน 3) ต้องปิดบัญชีและจัดทำงบการเงินโดยมีรายการย่อตามที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี พร้อมทั้งยื่นงบการเงินต่อสำนักงานกลางบัญชีหรือสำนักงานบัญชีประจำท้องที่ 1) ต้องจัดทำบัญชีเพื่อให้มีการแสดงผลการดำเนินงาน ฐานะการเงิน หรือการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงและตามมาตรฐานการบัญชี โดยมีเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วน 2) ต้องลงรายการเป็นภาษาไทย หากลงรายการเป็นภาษาต่างประเทศ ให้มีภาษาไทยกำกับ หากลงรายการเป็นรหัสบัญชี ให้มีคู่มือ คำแปลรหัสเป็นภาษาไทยไว้ 3. กำหนดอำนาจในการตรวจสอบบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี 4. บทกำหนดโทษ การจัดทำบัญชีตามประมวลรัษฎากร1. การจัดทำบัญชีของผู้มีหน้าที่เสียภาษี1.1 การจัดทำบัญชีตามมาตรา 17 วรรคสอง หลักเกณฑ์การบัญชีเพื่อคำนวณกำไรสุทธิ1. คำนิยามขององค์ประกอบของงบการเงิน เงินได้พึงประเมินเพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเงินได้สุทธิ = เงินได้พึงประเมิน – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา = เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี (ก้าวหน้า)
ภาระหน้าที่ของผู้มีหน้าที่เสียภาษี1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ความรับผิดชอบของผู้มีหน้าที่เสียภาษี1. ความรับผิดทางอาญา การขอคืนภาษี1. ให้ผู้ที่ชำระภาษีไว้เกินขอคืนภาษีได้ภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายของกำหนดเวลายื่นรายการภาษีหรือนับแต่วันที่ยื่นรายการ (กรณียื่นเกินกว่ากำหนดเวลา) หรือนับแต่วันได้รับแจ้งค่าวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือวันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด แล้วแต่กรณี โดยยื่นคำร้อง (แบบ ค. 10) ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่เขต การขอคืนภาษีในต่างจังหวัดให้ยื่นต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ณ ที่ว่าการอำเภอหรือกิ่งอำเภอ โดยให้แนบเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน ซึ่งจะได้รับคืนเป็นเช็คสั่งจ่ายผู้ขอคืนภาษี อำนาจการประเมินภาษีสรุปอำนาจของเจ้าพนักงานประเมินภาษีในการประเมินภาษีอากร ภาษีหัก ณ ที่จ่าย นั้น กฎหมายกำหนดให้ผู้จ่ายเงิน (ในกรณีที่กำหนดไว้) ทำหน้าที่หักเงินจากยอดที่ตนต้องจ่ายให้แก่ผู้รับเงิน แล้วนำเงินนั้นส่งแก่รัฐบาล เงินที่ได้หักและนำส่งดังกล่าวถือเป็นเครดิตในการเสียภาษีเงินได้ของผู้รับเงินเมื่อถึงกำหนดเวลายื่นรายการเสียภาษี ถ้ากรณีใดไม่มีกฎหมายกำหนดให้หักภาษี ผู้จ่ายเงินได้ก็ไม่ต้องหักภาษีไว้ ประเภทของเงินได้ที่ต้องหัก ภาษี ณ ที่จ่ายไว้นั้น มีรายละเอียดค่อนข้างมาก แต่หากอธิบายโดยมองในแง่ของผู้จ่ายเงิน ซึ่งมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้ว แบบแสดงรายการเพื่อนำส่งภาษี หัก ณ ที่จ่าย ดังกล่าว หลักๆแล้วมีอยู่เพียง ๓ แบบ ได้แก่ แบบ ภ.ง.ด.๑, ๓ และ ๕๓ แบบ ภ.ง.ด. ๑ ใช้สำหรับหัก ภาษี ณ ที่จ่าย ประเภท เงินเดือน จากพนักงานของกิจการ การจัดทำตัวเลขในการจ่ายเงินเดือนแก่พนักงานในทุกๆเดือนนั้น ก็ต้องคำนวณยอดเงินไว้ โดยปกติ เงินเดือนพนักงานจะถูกหักด้วย “ภาษี” และ “เงินประกันสังคม” บางบริษัทอาจมียอด “เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” หากบริษัทมีสวัสดิการด้านนี้ให้แก่พนักงานเป็นการเพิ่มเติม (ซึ่งจะไม่กล่าวถึงในที่นี้) จำนวนเงิน “ภาษี” ที่ว่านี้ จะถูกรวบรวมจากพนักงานแต่ละคน มากบ้าง น้อยบ้าง และนำส่งกรมสรรพากร ภายในวันที่ ๗ ของเดือนถัดไป โดยใช้แบบ ภ.ง.ด. ๑ ซึ่งประกอบด้วย ใบนำส่งที่สรุปยอดเงินภาษีทั้งสิ้นที่ต้องนำส่ง พร้อมแนบด้วยรายละเอียดของเงินเดือน และภาษีที่หักไว้ สำหรับพนักงานแต่ละคน แบบ ภ.ง.ด.๑ พร้อมใบแนบนี้ จึงเป็นเอกสารที่ต้องจัดเตรียม และเก็บรักษาโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล หรือ ฝ่ายบัญชี โดยต้องถือปฏิบัติเป็น “ความลับ” เพราะมีข้อมูลอันเกี่ยวกับ “บุคคล” อยู่ด้วย ที่เรียกว่าข้อมูลที่มีลักษณะ “Private & Confidential” เดบิตเงินเดือน500,000 บาทค่าล่วงเวลา12,000 บาทเงินประกันสังคม (ค่าใช้จ่าย)15,000 บาท (๓)เดรดิต เงินฝากธนาคาร487,000 บาทภาษี หัก ณ ที่จ่ายค้างจ่าย (ภ.ง.ด.๑)10,000 บาท (๑)เงินประกันสังคมค้างจ่าย30,000 บาท(๒)(๑) ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10,000 บาท ที่ว่านี้ คำนวณจากพนักงานแต่ละคนรวมกันทั้งบริษัท (๒) ส่วนเงินประกันสังคม คำนวณจากฐานของเงินเดือน (ไม่รวมค่าล่วงเวลา) ในอัตราร้อยละ ๕ จากเงินเดือนที่จ่ายจริง หรือไม่เกินฐานของ 15,000 บาท เช่น หากเงินเดือน 25,000 บาท ก็จะคำนวณร้อยละ ๕ จากยอด 15,000 บาท ในตัวอย่างนี้ เงินประกันสังคมที่หักจากพนักงานทุกคน รวมต้องนำส่ง 15,000 บาท หากแต่ตามกฎหมายประกันสังคม กำหนดให้บริษัทต้องสมทบในจำนวนเท่ากัน คืออีก 15,000 บาท รวมต้องนำส่ง 30,000 บาท (๓) ขั้นตอนการบันทึกบัญชีต้องบันทึก “เงินประกันสังคม” (ส่วนที่บริษัทสมทบ) เป็นค่าใช้จ่ายไว้ 15,000 บาท เมื่อชำระภาษี หัก ณ ที่จ่าย (ภายในวันที่ ๗ ของเดือนถัดไป) เดบิตภาษี หัก ณ ที่จ่ายค้างจ่าย (ภ.ง.ด.๑)10,000 บาทเครดิต เงินสด/เงินฝากธนาคาร10,000 บาท
แบบ ภ.ง.ด. ๓ และ ๕๓ นั้น ใช้สำหรับนำส่งภาษี หัก ณ ที่จ่าย สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆ ในลักษณะเดียวกัน ต่างกันที่ ผู้ถูกหัก ภาษี ณ ที่จ่าย หากเป็นบุคคลธรรมดา บริษัทจะหักภาษีโดยนำส่งด้วยแบบ ภ.ง.ด. ๓ ในขณะที่ หากผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย เป็นนิติบุคคล (เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด กิจการร่วมค้า เป็นต้น) บริษัทจะหักภาษีโดยนำส่งด้วยแบบ ภ.ง.ด. ๕๓ ในแบบแสดงรายการก็มีลักษณะเดียวกับแบบ ภ.ง.ด. ๑ กล่าวคือ จะมีใบสรุปยอด และใบแนบซึ่งกรอกรายการของผู้ที่ถูกหัก ภาษี ณ ที่จ่ายไว้เป็นรายบุคคล หรือ รายนิติบุคคล โดยแบบ ภ.ง.ด. ๓ และ ๕๓ มีกำหนดนำส่งภายในวันที่ ๗ ของเดือนถัดไป เช่นเดียวกัน การบันทึกรายการบัญชี เมื่อชำระภาษี หัก ณ ที่จ่าย (ภายในวันที่ ๗ ของเดือนถัดไป)
ในทางปฏิบัติ จะซับซ้อนขึ้นอีกเล็กน้อย เนื่องจาก “ค่าบริการ” โดยทั่วไปกำหนดให้ต้องคำนวณ “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” บวกเข้าไปในค่าบริการด้วย ทำให้มักเกิดปัญหา “คำนวณเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายไว้ไม่ถูกต้อง” ให้เห็นอยู่เสมอ ตามตัวอย่างเดิม หากบริษัทจ่าย “ค่าบริการ” ที่รวม “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” ร้อยละ ๗ จะคำนวณ และบันทึกบัญชีดังต่อไปนี้ เมื่อจ่ายเงินค่าบริการ (ประเภทที่ต้องหัก ภาษี ณ ที่จ่ายไว้) เดบิตค่าบริการ20,000 บาทภาษีซื้อ1,400 บาทเครดิต ภาษี หัก ณ ที่จ่ายค้างจ่าย (ภ.ง.ด.๓ หรือ ๕๓)600 บาทเงินสด/เงินฝากธนาคาร20,800 บาท (๕)
จะเห็นว่า แม้จะมี “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ไม่ได้ทำให้ “หลัก” และ “วิธีคิด” เปลี่ยนไป เพียงแต่เพิ่มเติมการคำนวณส่วนของ “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” เข้าไปเท่านั้น หากลองไล่ประเภทของ “เงินได้” ที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย คร่าวๆ กล่าวโดยสรุปได้ว่า การซื้อสินค้านั้น ไม่เข้าข่าย ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ส่วน “ค่าบริการ” ต่างๆ ที่มักเรียกกันในทางภาษีอากร ว่า “ค่าจ้างทำของ” รวมทั้งค่าวิชาชีพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าวิชาชีพทางการบัญชี การสอบบัญชี ค่าวิชาชีพทางกฎหมาย ค่าออกแบบ เป็นต้น กลุ่มนี้จะต้องหัก ภาษี ณ ที่จ่าย ร้อยละ ๓ ค่าเช่า ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ร้อยละ ๕ ส่วนอัตราภาษีสำหรับเงินเดือนพนักงานนั้น ต้องคำนวณกันในอัตราก้าวหน้า หรือเรียกอีกอย่างว่า “อัตราขั้นบันได” กล่าวคือ ขึ้นอยู่กับช่วงของเงินเดือน หากเงินเดือนน้อย ก็ต้องคำนวณภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า เมื่อ “เงินได้” มีจำนวนมากขึ้น โดยอัตราภาษีในปัจจุบันมีดังต่อไปนี้ |