รหัสลำลอง ตัวอย่าง รหัสลำลองการคำนวณหาพื้นที่สามเหลี่ยม เริ่มต้น Popular posts from this blog
คุณสมบัติของไม้ทางฟิสิกส์ โดย ผศ.ทรงกลด จารุสมบัติ คุณสมบัติของไม้ Wood properties ในการนำไม้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด เราจำเป็นต้องรู้ถึงคุณสมบัติของไม้ เพราะการรู้ถึงคุณสมบัติของไม้นัน้จะทำให้เราเลือกใช้ไม้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ 1. คุณสมบัติทางฟิสิกส์ · ความแน่น (Density) · ค่าความถ่วงจำเพาะ (Specific Gravity) · ความชิ้น (Moisture Content) · การหดตัวและพองตัว (Shrinkage and Swelling) · ความแน่น (Density)หมายถึง มวลของไม้ต่อหน่วยปริมาตร มีหน่วยเป็นกรัม/ลบ.ซม. หรือ กิโลกรัม/ลบ.ม. การหาค่าความหนาแน่นของ = มวล ปริมาตร โดยปกติจะหาค่าความแน่นของไม้ ที่ไม้มีความชิ้น 12% ค่าความแน่นของไม้จะเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อคุณสมบัติของไม้ · ค่าความถ่วงจำเพาะ (Specific Gravity) หมายถึงน้ำหนักอบแห้งของเนื้อไม้หารด้วย น้ำหนักของน้ำที่มีปริมาตรเท่ากับปริมาตรของไม้เมื่ออบแห้งแล้วหรือเมื่อสด ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ไม้มีความแน่นและค่าความถ่วงจำเพาะไม่เท่ากัน คือ ตัวอย่างการเขียนรหัสลำลองและแผนผัง
การแก้ปัญหาและผังงานปัญหา คือ อะไร ครูลิก และรุดนิค (Krulik and Rudnick 1993 :6) กล่าวว่า ปัญหาคือสถานการณ์ที่ต้องการคำตอบ ต้องใช้ความคิดและการสังเคราะห์ความรู้ที่เคยเรียนมา เนื่องจากยังไม่เห็นแนวทางหรือวิธีการที่เด่นชัดที่จะได้คำตอบ การแก้ปัญหา เป็นกระบวนการหาคำตอบของปัญหา ใน ค. ศ. 1947 โพลยา กล่าวถึงการ แก้ปัญหาว่าเป็นการหาวิธีการให้ได้ผลตามที่ต้องการโดยที่ขณะนั้นยังไม่มีวิธีการอยู่ในมือ ไม่สามารถหาคำตอบได้ในทันที การหาวิธีการจะต้องพบกับความยุ่งยาก และเต็มไปด้วยอุปสรรค (Polya 1947 :1) ในทำนองเดียวกัน ครูลิก และรุดนิค ได้อธิบายว่า การแก้ปัญหาเป็นกระบวนการ เป็นวิถีทางที่บุคคล ผู้แก้ปัญหาจะต้องใช้ ความรู้ ทักษะ ความเข้าใจ กระบวนการจะเริ่มเมื่อเผชิญกับปัญหา และจบลงเมื่อ ได้คำตอบ ผู้แก้ปัญหาจะต้องสังเคราะห์สิ่งที่ตนได้เรียนรู้มาแล้วนำไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ (Krulik and Rudnick 1993 : 6) ชาร์ลส และคณะ ( Charles and others 1987:7) กล่าวว่าการแก้ปัญหาเป็นกิจกรรมที่มีความ ซับซ้อนอย่างยิ่ง จะเกี่ยวข้องกับการระลึกข้อเท็จจริงได้ เป็นการใช้ทักษะและกระบวนการต่าง ๆ ใช้ความสามารถที่จะประเมินความคิด ความก้าวหน้า และความสามารถอื่น ๆ ได้ด้วยตนเองในขณะ แก้ปัญหา นอกจากนั้น ความสำเร็จในการแก้ปัญหาส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความสนใจ แรงจูงใจ และความมั่นใจในตนเอง อาจกล่าวสั้นๆ ได้ว่าการแก้ปัญหาจะเกี่ยวข้องกับการประสานกันระหว่าง ความรู้ ประสบการณ์ดั้งเดิม สัญชาตญาณ เจตคติ ความเชื่อ และความสามารถต่างๆ อ้างอิง วงจรการพัฒนาโปรแกรม คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง แต่สามารถทำงาน ได้ตามชุดคำสั่ง ในโปรแกรมที่ป้อนเข้าสู่เครื่อง ซึ่งจะทำงานตามคำสั่งที่ละคำสั่ง โดยคำสั่งที่ เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ จะต้องอยู่ในรูปแบบของภาษาเครื่อง ถ้าเขียนโปรแกรมด้วยภาษาอื่น ที่ไม่ใช่ภาษาเครื่องก็ต้องมีตัวแปลมาช่วยแปลคำสั่งเหล่านั้นให้เป็นภาษาเครื่อง ซึ่งตัวที่มาช่วยแปลนี้เรียกว่า ตัวแปลภาษา เช่น Compiler หรือ Interpreter ในการเขียนโปรแกรมหรือพัฒนาโปรแกรมนั้น โปรแกรมเมอร์ หรือ ผู้เขียนโปรแกรม ต้องมี การเตรียมงาน เกี่ยวกับ การเขียนโปรแกรมอย่างเป็นขั้นตอน เรียกขั้นตอนเหล่านี้ว่า วงจรการพัฒนาโปรแกรม (Program Devenlopment Life Cycle:PDLC) ประกอบด้วย 6 ขั้นตอนตามลำดับดังนี้ 1.ขั้นวิเคราะห์ความต้องการ (Requirement Analysis and ขั้นการวิเคราะห์ความต้องการ หรือการวิเคราะห์ปัญหา (Requirement Analysis and Feasibility Study) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนแรกสุดที่นักเขียนโปรแกรม จะต้องทำก่อนลงมือเขียนโปรแกรม เพื่อทำความเข้าใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น และค้นหาจุดมุ่งหมาย หรือสิ่งที่ต้องการ ขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ก่อนถึงขั้นตอนการวางแผนแกไข้ปัญหา และดำเนินการเขียนโปรแกรม โดยสรุปแล้วการวิเคราะห์งาน เป็นการศึกษา ผลลัพธ์หรือสิ่งที่ต้องการ (Output) ข้อมูลนำเข้า (Input) และวิธีการประมวลผล (Process) และตัวแปร (Variable) ที่จะใช้เขียนโปรแกรมนั่นเอง ซึ่งแต่ละข้อมีรายละเอียดดังนี้
ตัวอย่างการวิเคราะห์โจทย์ (ดูแนวคิดการวิเคราะห์ปัญหาโจทย์) <<Click here>> ตัวอย่างโจทย์ จงหาพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม โดยให้รับค่าความยาวฐาน และ ความสูงของ
|