เพราะเหตุใดเราจึงต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์

วิดีโอ YouTube

ความรู้พื้นฐานทางประวัติศาสตร์

ความหมายและความสำคัญของประวัติศาสตร์

                ประวัติศาสตร์  เป็นวิชาที่ว่าด้วยพฤติกรรมหรือเรื่องราวของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในอดีต  ร่องรอยที่คนในอดีตสร้างเอาไว้  เป้าหมายของการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ คือ  การเข้าใจสังคมในอดีตให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด  เพื่อนำมาเสริมสร้างความเข้าใจในสังคมปัจจุบัน

                ความสำคัญของประวัติศาสตร์ สามารถสรุปได้ดังนี้

                                1.  ประวัติศาสตร์ช่วยให้มนุษย์รู้จักตัวเอง   กล่าวคือ   ทำให้รู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับขอบเขตของตน   ขณะเดียวกันก็รู้เกี่ยงกับขอบเขตของคนอื่น

                                2.  ประวัติศาสตร์ช่วยให้เกดความเข้าใจในมรดก   วัฒนธรรมของมนุษยชาติ   ความรู้   ความคิดอ่านกว้างขวาง   ทันเหตุการณ์   ทันสมัย   ทันคน   และสามารถเข้าใจคุณค่าสิ่งต่างๆในสมัยของตนได้

                                3.  ประวัติศาสตร์ช่วยเสริมสร้างให้เกิดความระมัดระวัง   ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์   ฝึกฝนความอดทน   ความสุขุมรอบคอบ   ความสามารถในการวินิจฉัย   และมีความละเอียดเพียงพอที่จะเข้าใจปัญหาสลับซับซ้อน

                                4.  ประวัติศาสตร์เป็นเหตุการณ์ในอดีตที่มนุษย์สามารถนำมาเป็นบทเรียน   และประยุกต์ใช้ในกระบวนการแก้ไขปัญหา   และวิกฤตการณ์ต่างๆ ให้เป็นไปตามหลักจริยธรรม   คุณธรรม   ทั้งนี้เพื่อสันติสุขและพัฒนาการของสังคมมนุษย์เอง

ลักษณะและประเภทของหลักฐานทางประวัติศาสตร์

                หลักฐานทางประวัติศาสตร์  หมายถึง  ร่องรอยของสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์  สร้างสรรค์  รวมทั้งร่องรอยของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในอดีต  และเหลือตกค้างมาถึงปัจจุบัน  ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องนำทางในการศึกษา  สืบค้น  แสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยงกับเรื่องราวในอดีตของมนุษย์ได้ในระดับหนึ่ง

                หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของไทยแบ่งออกเป็น  2   ประเภท  ตามแบบสากล คือ 

1.  หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร  ได้แก่  จารึก  บันทึก  จดหมายเหตุร่วมสมัย  ตำนาน  พงศาวดาร  วรรณกรรมต่างๆ  บันทึกความทรงจำ  เอกสารราชการ  หนังสือพิมพ์  กฎหมาย  งานวิจัย  งานพิมพ์ทางประวัติศาสตร์ เป็นต้น  (  ผนังถ้ำที่เป็นรูปวาดแต่สามารถแปลความหมายได้  จะถือว่าเป็นหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร  เช่น  ผนังขิงสุสานฟาโรห์  )

                2.  หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร  ได้แก่  หลักฐานทางโบราณคดี  หลักฐานจากการบอกเล่าและสัมภาษณ์  หลักฐานด้านศิลปกรรม  สถาปัตยกรรม  นาฏกรรมและดนตรี  หลักฐานทางมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา  เช่น  ขนบธรรมเนียมประเพณี  คติความเชื่อ  วิถีชีวิตของกลุ่มชนต่างๆ  ฯลฯ  (  กำแพงเมือง  เมืองโบราณ  โครงกระดูก  นับว่าเป็นหลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร )

หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรและหลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรมีข้อดี  และจำกัด  ดังนี้

ข้อดี

ข้อจำกัด

1. หลักฐานทั้ง  2  ช่วยในการสืบค้นความเป็นจริงในอดีต

2. การมีหลักฐานหลายอย่างช่วยทำให้ได้ความจริงมากขึ้น

3. การมีหลักฐานหลายอย่างสามารถตรวจสอบซึ่งกันและกัน  เพื่อหาความชัดเจนได้ดีขึ้น

1. หากผู้บันทึกหลักฐานลายลักษณ์อักษรไม่รู้เบื้องหลังของเหตุการณ์ที่แท้จริง  หรือมีอคติกับเรื่องราวที่บันทึก  ก็จะไม่ได้ข้อมูลที่ถูกต้องตามความเป็นจริง

2. หลักฐานลายลักษณ์อักษรต้องอาศัยการตีความ การซักถามจากบุคคล  หรือผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญประกอบด้วย  ซึ่งอาจนำไปสู่การผิดพลาด  หรือเข้าใจผิดได้

ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ไทยจะอาศัยหลักฐานทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษร  และไม่เป็นลายลักษณ์อักษร  โดยแบ่งความสำคัญของหลักฐานออกเป็น  2  กลุ่ม  คือ

1.หลักฐานชั้นต้น  หรือ  หลักบานปฐมภูมิ (Primary  Sources )  หมายถึง  บันทึกหรือคำบอกเล่าของผู้พบเห็น  หรือผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์  หรือผู้ร่วมสมัยกับเหตุการณ์  จดหมายเหตุ  บันทึกการเดินทาง  หลักฐานทางโบราณคดี  แผนที่  ลายแทง  เป็นต้น

2. หลักฐานชั้นรอง  ( Secondary  Sources )  หมายถึง  ผลงานการค้นคว้าที่เขียนขึ้น  หรือเรียบเรียงขึ้นภายหลังเกิดเหตุการณ์นั้นแล้ว โดยอาศัยหลักฐานขั้นต้นประกอบ  อาจเพิ่มเติมความคิดเห็น  หรือเหตุผลอื่นๆ ประกอบ  ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของเอกสารต่างๆ  เช่น พงศาวดาร  ตำนาน  เป็นต้น