เรื่อง ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและสำนักงาน1.1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับไฟฟ้า Show ไฟฟ้า เป็นพลังงานรูปหนึ่งสามารถเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานรูปอื่นได้และเป็นพลังงานที่มนุษย์นำมาใช้เป็น พลังงานสำหรับเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆให้สามารถทำงานได้พลังงานไฟฟ้าจึงเป็นพลังงานที่มีความสำคัญมาก เช่น ให้ความสว่างให้ความร้อนให้ความเย็นให้มอเตอร์ทำงาน พลังงานจากธรรมชาติที่ถูกนำมาใช้ในการผลิตพลังงานไฟฟ้ามีหลายชนิดเช่น พลังงานจากน้ำ พลังงานจากลม พลังงานจากแสงอาทิตย์ พลังงานจากถ่านหิน พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ พลังงานจากน้ำมัน พลังงานจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ เป็นต้น แหล่งผลิตกระแสไฟฟ้า โรงไฟฟ้าพลังน้ำ คือ ไฟฟ้าที่เกิดจากพลังน้ำโดยใช้พลังงานจลน์ของน้ำซึ่งเกิดจากการปล่อยน้ำจากที่สูงหรือการไหลของน้ำหรือการขึ้น-ลงของคลื่นไปหมุนกังหันน้ำ (Turbine)และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าโดยพลังงานที่ได้จากไฟฟ้าพลังน้ำนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำความแตกต่างของระดับน้ำและประสิทธิภาพของกังหันน้ำและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า กำลังไฟฟ้าและพลังงานจากพลังน้ำ โรงไฟฟ้าพลังความร้อน คือ โรงไฟฟ้าที่ใช้พลังความร้อนจากเชื้อเพลิงชนิดต่างๆเช่น ถ่านหิน น้ำมันเตาก๊าซธรรมชาติและนิวเคลียร์มาต้มน้ำให้เป็นไอความดันสูงไปขับดันกังหันให้หมุนเป็นพลังงานกลและต่อเพลาเข้ากับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าซึ่งมีแรงดันและความถี่ตามที่กำหนดไว้หรือใช้ความร้อนจากการสันดาปภายในของน้ำมันดีเซลของเครื่องยนต์ดีเซลไปฉุดเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้กำเนิดไฟฟ้าได้เช่นกัน โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม เป็นการนำเอาเทคโนโลยีของโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซและโรงไฟฟ้าพลังไอน้ำมาใช้งานเป็นระบบร่วมกันโดยการนำไอเสียจากโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซซึ่งมีความร้อนสูงประมาณ 500 องศาเซลเซียส ไปผ่านหม้อน้ำและถ่ายเทความร้อนให้กับน้ำ ทำให้น้ำเดือดกลายเป็นไอเพื่อขับกังหันไอน้ำสำหรับผลิตพลังงานไฟฟ้าต่อไปโดยทั่วไปโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจะประกอบด้วยเครื่องกังหันก๊าซ 1 – 4 เครื่องร่วมกับกังหันไอน้ำ 1 เครื่อง โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ใช้พลังงานความร้อนจากปฏิกิริยาแตกตัวทางนิวเคลียร์ (nuclear fission reaction) ทำให้น้ำกลายเป็นไอน้ำที่มีแรงดันสูงแล้วส่งไอน้ำไปหมุนกังหันไอน้ำซึ่งต่อกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพื่อผลิตไฟฟ้าและส่งต่อไปยังผู้บริโภคต่อไป ปัจจุบันพลังงานนิวเคลียร์มีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างมากเนื่องจากพลังงานนิวเคลียร์ให้พลังงานความร้อนมหาศาลสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ในงานทางวิทยาศาสตร์อื่นๆตลอดจนในการแพทย์ ด้วยประเทศอุตสาหกรรมหลายประเทศได้เล็งเห็นความสำคัญของพลังงานนิวเคลียร์เพื่อที่จะนำมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อรองรับการขยายตัวของโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการกำลังไฟฟ้าสูงมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งโรงไฟฟ้าแบบอื่นๆมักมีขีดจำกัดในการผลิตกำลังไฟฟ้า โรงไฟฟ้ากังหันก๊าซ เป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้กังหันก๊าซเป็นเครื่องต้นกำลังซึ่งได้พลังงานจากการเผาไหม้ของส่วนผสมระหว่างก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมันดีเซลกับอากาศความดันสูง (Compressed Air) จากเครื่องอัดอากาศ (Air Compressor) ในห้องเผาไหม้เกิดเป็นไอร้อนที่ความดันและอุณหภูมิสูงไปขับดันใบกังหันเพลากังหันไปขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า 1.2 ปริมาณทางไฟฟ้าและการคำนวณ 1. กระแสไฟฟ้าเกิดจากการไหลของอิเล็กตรอน มีหน่วยทางระบบ SI ว่าแอมแปร เครื่องวัดกระแสไฟฟ้าคือแอมมิเตอร์ กระแสไฟฟ้ามี 2 ชนิดคือ -ไฟฟ้ากระแสตรง คือ กระแสไฟฟ้าที่ไหลไปทางเดียวกันตลอด เช่น ไฟฟ้าที่ได้จากเซลล์ไฟฟ้าเคมีและแบตเตอรี - ไฟฟ้ากระแสสลับ คือ กระแสไฟฟ้าที่ไหลกลับไปกลับมาตลอดเวลา เช่น ไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้านเรือน 2. ความต่างศักย์ระดับของปริมาณพลังงานไฟฟ้าจากจุด 2 จุด ซึ่งวัดได้ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า โวลต์มิเตอร์ มีหน่วยเป็น โวลต์ 3. ความต้านทานไฟฟ้า หมายถึงสมบัติของลวดตัวนำที่ต้านการไหลของกระแสไฟฟ้า วัดได้ด้วยเครื่องมือเครื่องมือที่เรียกว่าโอห์มิเตอร์มีหน่วยเป็น โอห์ม 4. ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าความต่างศักย์ไฟฟ้าและความต้านทานไฟฟ้าเมื่อกระแสไฟฟ้ามีมากความต่างศักย์ก็จะมากขึ้นและความต้านทานไฟฟ้าจะลดน้อยลง การคำนวณค่าไฟขึ้นอยู่กับ Watt ของเครื่องใช้ไฟฟ้า(Watts x จำนวนชั่วโมงทำงาน) / 1000 watts =kW พอได้ kWh แล้วก็เอามาคูณกับราคาค่าไฟฟ้าต่อ kWh ก่อนอื่นต้องทราบจำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีอยู่ในบ้านก่อนว่ามีจำนวนเท่าใดและเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ะชนิดกินไฟเท่าไรสามารถสังเกตุได้จากคู่มือการใช้งานหรือแถบป้ายที่ติดกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เขียนว่า กำลังไฟฟ้าซึ่งมีหน่วยเป็นวัตต์ ( Watt) หลังจากนั้นลองคำนวณดูว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดที่ใช้งานในแต่ละวันกินไฟวันละกี่ยูนิตและนำมาเปรียบเทียบกับอัตราค่าไฟฟ้า โดยสามารถคำนวณได้จากสูตรต่อไปนี้ การใช้ไฟฟ้า 1 หน่วยหรือ 1 ยูนิต คือเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาด 1000 วัตต์ที่ใช้งานในหนึ่งชั่วโมง ตัวอย่างบ้านอยู่อาศัยของท่านมีเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ในบ้าน 5 ชนิด เราสามารถคำนวณการใช้ไฟฟ้าได้ ดังต่อไปนี้ 1.หลอดไฟฟ้าขนาด 36 วัตต์ (รวมบาลาสต์อีก 10 วัตต์ เป็น 46 วัตต์ ) จำนวน 10 ดวง เปิดใช้งานวันละ 6 ชั่วโมง ใช้ไฟฟ้าวันละ 46 x 10 ¸ 1000 x 6 = 2.76 หน่วยหรือเดือนละ (30 x 2.76 ) = 82.8 หน่วยหรือประมาณ 83 หน่วย 2.หม้อหุงข้าวขนาด 600 วัตต์ จำนวน 1 ใบเปิดใช้งานวันละ 30 นาที ( 0.5 ชั่วโมง ) ใช้ไฟวันละ 600 x 1 ¸ 1,000 x 0.5 = 0.3 หน่วย หรือประมาณเดือนละ (30 x 0.3 ) = 9 หน่วย 3.ตู้เย็นขนาด 125 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดใช้งาน 24 ชั่วโมง สมมติคอมเพรสเซอร์ทำงานวันละ 8 ชั่วโมงใช้ไฟวันละ125 x 1 ¸ 1000 x 8 = 1 หน่วย หรือประมาณเดือนละ ( 30 x 1) = 30 หน่วย 4.เครื่องปรับอากาศ ขนาด 20,000 บีทียู (ประมาณ 2,000 วัตต์ ) จำนวน 1 เครื่อง เปิดวันละ 12 ชั่วโมง สมมุติคอมเพรสเซอร์ทำงานวันละ 6 ชั่วโมง ใช้ไฟฟ้าวันละ 2000 x 1 ¸ 1000 x 6 = 12 หน่วย หรือประมาณเดือนละ ( 30 x 12 ) = 360 หน่วย 5. ทีวีสี ขนาด 100 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดใช้งานวันละ 4 ชั่วโมง 100 x 1 ¸ 1000 x 4 = 0.4 หน่วย หรือประมาณ เดือนละ (30 x 0.4 ) = 12 หน่วย รวมการใช้ไฟฟ้าในบ้าน ประมาณเดือนละ 83+9+30+360+12 = 494 หน่วย 1.3 วงจรและการต่อวงจรไฟฟ้า วงจรไฟฟ้าเป็นการนำเอาสายไฟฟ้าหรือตัวนำไฟฟ้าที่เป็นเส้นทางเดินให้กระแสไฟฟ้าสามารถไหลผ่านต่อถึงกันได้นั้นเราเรียกว่าวงจรไฟฟ้าการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่อยู่ภายในวงจรจะเริ่มจากแหล่งจ่ายไฟไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้า ดังการแสดงการต่อวงจรไฟฟ้าเบื้องต้นโดยการต่อแบตเตอรี่ต่อเข้ากับหลอดไฟ หลอดไฟฟ้าสว่างได้เพราะว่ากระแสไฟฟ้าสามารถไหลได้ตลอดทั้งวงจรไฟฟ้าและเมื่อหลอดไฟฟ้าดับก็เพราะว่ากระแสไฟฟ้าไม่สามารถไหลได้ตลอดทั้งวงจร เนื่องจากสวิตซ์เปิดวงจรไฟฟ้าอยู่นั่นเอง
ส่วนประกอบหลักแต่ละส่วนมีหน้าที่การทำงานดังนี้ 1. แหล่งจ่ายไฟฟ้าเป็นแหล่งจ่ายแรงดันและกระแสให้กับอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าโดยแหล่งจ่ายไฟฟ้าสามารถนำมาได้จากหลายแหล่งกำเนิด เช่น จากปฏิกิริยาเคมีจากขดลวดตัดสนามแม่เหล็กและจากแสงสว่างเป็นต้น บอกหน่วยการวัดเป็นโวลต์ (Volt) หรือ V 2. โหลดหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ไฟฟ้าในการทำงานโหลดจะทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังงานรูปอื่นๆ เช่น เสียง แสง ความร้อน ความเย็น และการสั่นสะเทือน เป็นต้น โหลดเป็นคำกล่าวโดยรวงมถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดอะไรก็ได้ เช่น ตู้เย็น พัดลม เครื่องซักผ้า โทรทัศน์ วิทยุและเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น โหลดแต่ละชนิดจะใชัพลังงานไฟฟ้าไม่เท่ากัน ซึ่งแสดงด้วยค่าแรงดันกระแสและกำลังไฟฟ้า 3. สายไฟต่อวงจรเป็นสายตัวนำหรือสายไฟฟ้าใช้เชื่อมต่อวงจรให้ต่อถึงกันแบบครบรอบทำให้แหล่งจ่ายแรงดันต่อถึงโหลดเกิดกระแสไหลผ่านวงจร จากแหล่งจ่ายไม่โหลดและกลับมาครบรอบที่แหล่งจ่ายอีกครั้ง สายไฟฟ้าที่ใช้ต่อวงจรทำด้วยทองแดงมีฉนวนหุ้มโดยรอบเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้งาน ส่วนสำคัญของวงจรไฟฟ้าคือการต่อโหลดใช้งานโหลดที่นำมาต่อใช้งานในวงจรไฟฟ้าสามารถต่อได้เป็น 3 แบบด้วยกัน ได้แก่ วงจรไฟฟ้าแบบอนุกรม(Series Electrical Circuit) วงจรไฟฟ้าแบบขนาน (Parallel Electrical Circuit) และวงจรไฟฟ้าแบบผสม (Series - Parallel Electrical Circuit) วงจรอนุกรม หมายถึง การนำเอาอุปกรณ์ทางไฟฟ้ามาต่อกันในลักษณะที่ปลายด้านหนึ่งของอุปกรณ์ตัวที่1ต่อเข้ากับอุปกรณ์ตัวที่2 จากนั้นนำปลายที่เหลือของอุปกรณ์ตัวที่ 2 ไปต่อกับอุปกรณ์ตัวที่3และจะต่อลักษณะนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งการต่อแบบนี้จะทำให้กระแสไฟฟ้าไหลไปในทิศทางเดียวกระแสไฟฟ้าภายในวงจรอนุกรมจะมีค่าเท่ากันทุกๆจุดค่าความต้านทานรวมของวงจรอนุกรมนั้นคือการนำเอาค่าความต้านทานทั้งหมดนำมารวมกันส่วนแรงดันไฟฟ้าในวงจรอนุกรมนั้นแรงดันจะปรากฎคร่อมตัวต้านทานทุกตัวที่จะมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านซึ่งแรงดันไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะมีค่าไม่เท่ากันโดยสามารถคำนวนหาได้จากกฎของโอห์ม
วงจรที่เกิดจากการต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปให้ขนานกับแหล่งจ่ายไฟมีผลทำให้ค่าของแรงดันไฟฟ้าที่ตกคร่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละตัวมีค่าเท่ากันส่วนทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้าจะมีตั้งแต่2ทิศทางขึ้นไปตามลักษณะของสาขาของวงจรส่วนค่าความต้านทานรวมภายในวงจรขนานจะมีค่าเท่ากับผลรวมของส่วนกลับของค่าความต้านทานทุกตัวรวมกันซึ่งค่าความต้านทานรวมภายในวงจรไฟฟ้าแบบขนานจะมีค่าน้อยกว่าค่าความต้านทานภายในสาขาที่มีค่าน้อยที่สุดเสมอและค่าแรงดันที่ตกคร่อมความต้านทานไฟฟ้าแต่ละตัวจะมีค่าเท่ากับแรงเคลื่อนของแหล่งจ่าย
เป็นการต่อวงจรไฟฟ้าโดยการต่อรวมกันระหว่างวงจรไฟฟ้าแบบอนุกรมกับวงจรไฟฟ้าแบบขนานภายในวงจรโหลดบางตัวต่อวงจรแบบอนุกรมและโหลดบางตัวต่อวงจรแบบขนานการต่อวงจรไม่มีมาตรฐานตายตัวเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะการต่อวงจรตามต้องการการวิเคราะห์แก้ปัญหาของวงจรผสมต้องอาศัยหลักการทำงานตลอดจนอาศัยคุณสมบัติของวงจรไฟฟ้าทั้งแบบอนุกรมและแบบขนานลักษณะการต่อวงจรไฟฟ้าแบบผสม 1.4 เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน
เต้าเสียบหรือเต้ารองรับ เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้เป็นจุดต่อของวงจรอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านเพื่อความสะดวกในการใช้งาน เต้าเสียบที่ใช้ในบ้านเราจะมี 2 ช่องแต่เต้าเสียบที่จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยมากคือ เต้าเสียบแบบ 3 ช่องเพราะช่องที่ 3จะต่อกับสายดินซึ่งจะช่วยให้เกิดความปลอดภัยในการใช้งาน สวิตช์ไฟฟ้า เป็นอุปกรณ์สำหรับปิด-เปิดวงจรไฟฟ้า สวิตช์ไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้านมีหลายแบบขึ้นอยู่กับบริษัทที่ผลิต แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ แบบฝัง (ใช้ฝังในผนัง) แบบที่ 2 แบบไม่ฝัง หรือเรียกว่า แบบลอย (Surface Switches) คือ ติดตั้งบนผนังนิยมใช้ในอาคาร ตามชนบททั่วไป เพราะราคาถูกและติดตั้งง่ายกว่าแบบฝัง
เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านมีหลายประเภททั้งที่ให้แสงสว่างความร้อนและประเภทที่ใช้มอเตอร์อุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละอย่างจะมีวิธีใช้และการบำรุงรักษาที่แตกต่างกัน ดังนั้นผู้ใช้จะต้องรู้จักวิธีใช้อย่างถูกต้องปลอดภัยประเภทของเครื่องใช้ไฟฟ้า มีดังนี้ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานความร้อนเป็นเครื่องใช้ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานความร้อนโดยใช้หลักการคือเมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดตัวนำที่มีความต้านทานสูงๆลวดตัวนำนั้นจะร้อนจนสามารถนำความร้อนออกไปใช้ประโยชน์ได้เนื่องจากเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานความร้อนมากจึงสิ้นเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ามากเมื่อเปรียบกับการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆเมื่อใช้ในเวลาที่เท่ากัน ฉะนั้นขณะใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าให้พลังงานความร้อนจึงควรใช้ด้วยความระมัดระวังตัวอย่างเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานความร้อน เช่น เตารีด หม้อหุงข้าว กระทะไฟฟ้า กาต้มน้ำ เครื่องต้มกาแฟ เตาไฟฟ้า ฯลฯ
การเลือกใช้เตารีดไฟฟ้า
การใช้งานที่ถูกวิธี
การบำรุงรักษา
เครื่องทำน้ำอุ่นแบบทำน้ำอุ่นได้หลายจุด ซึ่งสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้ามากกว่าแบบจุดเดียว
ส่วนประกอบและการทำงาน ของเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า เครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้น้ำร้อนขึ้นโดยอาศัยการพาความร้อนจากขดลวดความร้อน (heater) ขณะที่กระแสน้ำไหลผ่าน ส่วนประกอบหลักของเครื่องทำน้ำอุ่น คือ ตัวถังน้ำ ขดลวดความร้อน (heater) และอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ (thermostat) ตัวถังน้ำ จะบรรจุน้ำซึ่งจะถูกทำให้ร้อนขดลวดความร้อน (heater) จะร้อนขึ้นเมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน คือ เมื่อเราเปิดสวิตช์เครื่องทำน้ำอุ่นนั่นเอง ลวดความร้อนนี้โดยมากส่วนในสุดจะเป็นลวดนิโครม ส่วนที่อยู่ตรงกลางจะเป็นผงแมกนีเซียมออกไซด์ ซึ่งมีสมบัติเป็นฉนวนไฟฟ้าและทนอุณหภูมิสูง ชั้นนอกสุดจะเป็นท่อโลหะที่อาจทำด้วยทองแดงหรือสเตนเลสอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ (thermostat) จะทำหน้าที่ตัดกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านลวดความร้อน เมื่ออุณหภูมิของน้ำถึงระดับที่เราตั้งไว้
ส่วนประกอบและการทำงานของเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า ควรหมั่นตรวจสอบการทำงานของเครื่องให้มีสภาพดีอยู่เสมอตลอดจนตรวจดูระบบท่อน้ำและรอยต่ออย่าให้มีการรั่วซึมและเมื่อเครื่องมีปัญหาควรตรวจสอบดังนี้ ถ้าน้ำที่ออกจากเครื่องเป็นน้ำเย็น อันเนื่องมาจากไม่มีกระแสไฟฟ้าป้อนเข้าสู่ขดลวดความร้อนสาเหตุอาจเกิดจากฟิวส์ขาด อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิไม่ให้ไฟผ่าน ถ้าไฟสัญญาณติด แต่ขดลวดความร้อนไม่ทำงาน น้ำไม่อุ่น สาเหตุอาจเกิดจากขดลวดความร้อนขาดอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิเสีย ถ้าน้ำจากเครื่องร้อนหรือเย็นเกินไปสาเหตุอาจเกิดจากอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิทำงานผิดปกติ 1.5 เครื่องใช้ไฟฟ้าในสำนักงาน
โทรสารหรือแฟกซ์ (Fax) เป็นสื่อคมนาคมประเภทหนึ่ง ราชบัณฑิตยสถานบัญญัติศัพท์ใช้คำว่าโทรภาพเพราะเดิมหมายถึงภาพหรือรูปที่ส่งมาโดยทางไกล ตลอดจนหมายถึงกรรมวิธีในการถอดแบบเอกสารตีพิมพ์หรือรูปภาพโดยทางคลื่นวิทยุหรือทางสาย เช่นสายโทรศัพท์ในสังคมสารนิเทศปัจจุบันนิยมใช้คำว่า โทรสารแทนโทรภาพ เพราะครอบคลุมประเภทของการส่งสารนิเทศได้มากกว่าภาพ การบำรุงรักษาเครื่องโทรสาร
โทรศัพท์ (Telephone) เครื่องแรกเป็นเครื่องส่งเสียงไกลใช้กระแสไฟฟ้าส่งและรับเสียงพูดโดยการส่งเสียงพูดกรอกลงไปในเครื่องส่งประดิษฐ์โดยศาสตราจารย์อเล็กซานเดอร์ เกรเฮมเป็นชาวสก็อตแลนด์ใช้เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2419 ที่เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกาและเปิดใช้ครั้งแรกเมื่อปปีพ.ศ. 2421ที่เมืองนิวฮาเวน รัฐคอนเนตติกัต ในปีพ.ศ.2478 ได้มีการสั่งซื้อเครื่องชุมสายอัตโนมัติ Step-by-Step มาจากประเทศอังกฤษสำหรับติดตั้งโทรศัพท์กลางที่วัดเลียบ และที่ชุมสายบางรัก โดยเปิดใช้ชุมสายโทรศัพท์อัตโนมัติเพื่อให้บริการทั่วไปในปีพ.ศ. 2480และเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2497 มีการจัดตั้งองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยขึ้นเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคม มีหน้าที่รับผิดชอบจัดบริการทางด้านโทรศัพท์ให้แก่ประชาชนและหน่วยงานต่างๆ ทั่วประเทศในปัจจุบันการติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์ได้มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและเพื่อสนองตอบความต้องการของผู้ขอใช้บริการที่มีเป็นจำนวนมากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจึงได้เชิญชวนบริษัทเอกชนเข้าร่วมลงทุน ซึ่งมีบริษัท เทเลคอมเอเชีย จำกัด (TA) ให้บริการในเขตกรุงเทพมหานครและบริษัทไทยเทเลโฟน เทเล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (TT&T) ให้บริการในส่วนภูมิภาค
1. ระบบโทรศัพท์สายตรง (Direct Dialing-in System) เป็นระบบโทรศัพท์ที่สามารถหมุนสายติดต่อภายนอกได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านศูนย์ควบคุมสายที่เรียกว่า Switcboard 2. ระบบโทรศัพท์พ่วงสาย (Line & Extension) เป็นระบบโทรศัพท์ที่มีศูนย์ควบคุมสายสามารถต่อเข้าและออกสายตรงก็ได้ หรือเรียกว่า “แบบสายตรง” และสามารถต่อเข้า-ออกโดยผ่านการควบคุมของพนักงานคุมสาย เรียกว่า “แบบพ่วงสาย” การดูแลและบำรุงรักษาเครื่องโทรศัพท์ มีวิธีการดังนี้ 1. ใช้โทรศัพท์ให้ถูกต้องตามขั้นตอนที่ระบุไว้ในคู่มือ 2. หมั่นทำความสะอาดเครื่องโทรศัพท์ อย่าให้มีฝุ่นละอองเกาะโดยใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดบิดให้แห้งเช็ดที่เครื่องโทรศัพท์ 3. ควรใช้สเปรย์ฉีดโทรศัพท์ฉีดที่บริเวณปากกระบอกพูดโทรศัพท์ เพื่อป้องกันกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้ 4. สำรวจสายโทรศัพท์ให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดี ระวังอย่าให้มีการหักงอหรือถูกความร้อน 5. อย่ากระแทกหูโทรศัพท์ลงบนแท่นแรงๆเพราะจะทำให้แตกหักหรือเสื่อมสภาพได้ ปัจจุบันเครื่องถ่ายเอกสารที่ใช้ในสำนักงานโดยทั่วไป เป็นเครื่องถ่ายเอกสารระบบอัตโนมัติ (Electrostatic Copying Machine) เป็นชนิดใช้ผงหมึก (Toner) ชนิดเดียวเท่านั้น สำเนาภาพที่ได้จากเครื่องถ่ายเอกสารด้วยผงหมึกนี้ภาพจะคมชัดและแห้งสนิทต้นทุนการผลิตชิ้นงานค่อนข้างต่ำแต่ประสิทธิภาพในการใช้งานสูงสามารถถ่ายเอกสารได้เป็นจำนวนมากโดยใช้มือหรือจะใช้ถาดป้อนกระดาษก็ทำได้อย่างสะดวกและรวดเร็วและยังสามารถแทรกงานด่วนในขณะถ่ายเอกสารอื่นอยู่ได้ มีทั้งระบบย่อขยายและซูมภาพได้ นอกจากนี้ยังมีเครื่องถ่ายเอกสารที่กลับหน้าเองอัตโนมัติ ซึ่งเป็นวิวัฒนาการใหม่ของเครื่องถ่ายเอกสารโดยใช้กับระบบกระดาษธรรมดาแต่ใช้ผงหมึกแบบแมกนิไฟน์โฟรเซสที่ให้ความละเอียดแก่สำเนาที่ถ่ายเอกสารมากกว่า คุณสมบัติต่างๆของเครื่องถ่ายเอกสารนั้น บริษัทผู้ผลิตได้มีการพัฒนาระบบการทำงานของเครื่องเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานมากที่สุดซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวนี้เป็นคุณสมบัติที่ไม่ตายตัว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับบริษัทแต่ละ
การดูแลและบำรุงรักษาเครื่องถ่ายเอกสารอย่างถูกวิธี จะช่วยถนอมเครื่องให้มีอายุการใช้งานยาวนานป้องกันการชำรุดเสียหายก่อนถึงเวลาอันสมควร ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและประหยัดเวลาในการปฏิบัติงานได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งแนวทางการดูแลและบำรุงรักษาเครื่องถ่ายเอกสารโดยทั่วไป มีดังนี้
|