หากคุณเป็นผู้จัดการฝ่ายซ่อมบำรุงและทรัพยากร คุณคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ ถ้ายังไม่พังอย่าพึ่งซ่อม” ความคิดนี้อาจใช้ได้ผลในระยะสั้น แต่ การบำรุงรักษาเชิงรับ Reactive Maintenance นี้อาจทำให้สิ้นเปลืองเงินหลายแสนบาทในแต่ละปี เนื่องจากขาด การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน Preventive Maintenance อย่างสม่ำเสมอ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะทำให้คุณเครียดและต้องใช้เวลานานในการซ่อมแซมหรือบำรุงรักษาที่มากกว่าเดิมหลายเท่า Show
หากทีมของคุณยังคงใช้วิธีการบำรุงรักษาเชิงรับอยู่ ถึงเวลาสำหรับการเปลี่ยนแปลงแล้ว เพราะการบำรุงรักษาเชิงป้องกันที่เข้มงวดนั้นถือเป็นกุญแจสำคัญในการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ของคุณให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้ Good Material ได้เขียนถึงการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน วิธีการ ข้อดีข้อเสีย ตัวอย่าง และ เครื่องมือที่จะเพื่อให้บริษัทและเครื่องจักรของคุณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน : Preventive Maintenance คือ ?PM : Preventive Maintenance คือ การคาดการณ์และป้องกันความเสียหายของอุปกรณ์ในอนาคต เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะทำการตรวจสอบ, บำรุงรักษาและซ่อมแซมอุปกรณ์หรือวัสดุอยู่ตลอดเพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งวิธีการนี้ยังช่วยลดการบำรุงรักษาเชิงรับรวมถึงยังมีเวลาเพิ่มในการทำงานด้านอื่นๆอีกด้วย ตามหลักทั่วไป การป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นล่วงหน้านั้นถือว่าดีกว่าอยู่แล้ว การบำรุงรักษาเชิงป้องกันช่วยลดโอกาสที่จะเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดโดยการส่งเสริมประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่ดีที่สุด รายการต่อไปนี้แสดงถึงวิธีการบางประการที่ทีมดูและทรัพย์สินและฝ่ายซ่อมบำรุงสามารถอยู่เหนือการบำรุงรักษาเชิงป้องกันในแผนกของตนได้:
ประโยชน์ของการบำรุงรักษาเชิงป้องกันคืออะไร?การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) มีเป้าหมายครอบคลุม 2 ประการ : เพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักร และเพิ่มผลผลิต และ เพื่อให้ผู้คนและทรัพย์สินปลอดภัยจากอันตรายจากอุปกรณ์ต่างๆ ผู้จัดการฝ่ายซ่อมบำรุงและทีมสามารถใช้หลักการของการบำรุงรักษาเชิงป้องกันเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่างๆ ดังต่อไปนี้
ประเภทของการบำรุงรักษาเชิงป้องกันมีอะไรบ้าง?การบำรุงรักษาเชิงป้องกันแบ่งออกเป็นการบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามระยะเวลา, การบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามปริมาณการใช้งานหรือทั้ง 2 อย่างรวมกัน 1.การบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามระยะเวลาการบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามระยะเวลาคือการตรวจสอบชิ้นส่วนอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการผลิตในกรณีที่พบความชำรุดหรือเสียหาย การบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามเวลาเหมาะที่สุดสำหรับสินทรัพย์ที่มีขอบเขต (เช่นอุปกรณ์ดับเพลิง / รักษาปลอดภัย) และทรัพย์สินที่สำคัญ (เช่นระบบ HVAC และปั๊มต่างๆ) รวมถึงยังสามารถใช้แนวทางนี้สำหรับสินทรัพย์ใดๆที่ต้องการการบำรุงรักษาเชิงป้องกันได้อีกด้วย 2.การบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามปริมาณการใช้งานการบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามปริมาณการใช้งานคือแนวทางที่ทำให้เกิดการบำรุงรักษาหลังจากมีการใช้งานไปแล้วช่วงเวลาหนึ่ง (เช่นทุกๆ“ X” ของกิโลเมตร, ไมล์, ชั่วโมงหรือรอบการผลิต) การบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามปริมาณการใช้งาน จะช่วยให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ยังคงทำงานได้ตามที่ผู้ผลิตต้องการ ไม่เหมือนกับการบำรุงรักษาตามระยะเวลาซึ่งเกิดขึ้นตามกำหนดที่เข้มงวดกว่า วิธีการนี้สามารถใช้ตรวจสอบได้ทุกเดือนหรือทุกหกเดือนก็ได้ ข้อดี – ข้อเสีย ของการบำรุงรักษาเชิงป้องกันข้อดีของ Preventive Maintenance
ข้อเสียของ PMแม้ว่าข้อดีของการบำรุงรักษาเชิงป้องกันจะมีข้อดีที่ชัดเจน แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการที่ต้องพูดถึง
Reactive Maintenance VS Preventive Maintenance แตกต่างกันอย่างไร?การบริหารจัดการทรัพยากรอาคารนั้นกล่าวได้ว่า การบำรุงรักษาแบบเชิงรับ (Reactive Maintenance) ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สิ่งของทุกชิ้นสามารถเสียหายได้ทุกเมื่อ อย่างไรก็ตามเราสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ได้โดยการใช้การบำรุงแบบเชิงรุก และเราจะมาเปรียบเทียบระหว่างการบำรุงรักษาแบบเชิงรุกและเชิงรับกันดังต่อไปนี้
ความเข้าใจผิดทั่วไป คือ การบำรุงรักษาแบบเชิงรับนั้นไม่ดี ความจริงก็คือแผนกที่ดูแลบริหารทรัพยากรหรือฝ่ายซ่อมบำรุงส่วนใหญ่จะมีการบำรุงรักษาเชิงรับและการบำรุงรักษาเชิงป้องกันร่วมกันตลอด เนื่องจากการที่เราจะคาดการณ์และป้องกันการเสียหายของอุปกรณ์และสินทรัพย์ทั้งหมดถือเป็นเรื่องที่ยาก 4 กิจกรรมสำคัญของการบำรุงรักษาเชิงป้องกันคืออะไร?4 ขั้นตอนสำคัญมีดังนี้: การตรวจสอบ, การตรวจจับ, การแก้ไข และการป้องกัน เรามาดูกันว่าแต่ละขั้นตอนทำงานกันแบบไหนกันบ้าง 1.การตรวจสอบการตรวจสอบเป็นส่วนที่จำเป็นของการบำรุงรักษาเชิงป้องกันและการช่วยเหลือองค์กรใน 2 วิธี วิธีแรกการตรวจสอบเครื่องจักร สารหล่อลื่นเครื่องจักร รวมถึงสถานที่ เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องจักร อุปกรณ์ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์และพร้อมใช้งาน การตรวจสอบเป็นประจำจะช่วยป้องกันการเสียหายและช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจอีกด้วย อันดับที่สองคือการตรวจสอบเป็นประจำเพื่อปกป้องทรัพย์สินเพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ทั้งหมดทำงานได้ตามที่ผู้ผลิตต้องการ 2.การตรวจจับการใช้งานจนพังนั้นอาจทำให้เสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากซึ่งเป็นสาเหตุที่ผู้จัดการทรัพยากรกายภาพจำนวนมากเลือกใช้การบำรุงรักษาเชิงป้องกันเพราะมันช่วยให้พบปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่นๆโดยที่ปัญหายังค่อนข้างแก้ไขง่ายและใช้เงินไม่มากนัก 3.การแก้ไขการบำรุงรักษาเชิงป้องกันสนับสนุนให้ผู้จัดการทรัพยากรกายภาพใช้แนวทางเชิงรุกในการดูแลอุปกรณ์และแก้ไขปัญหาก่อนที่จะเกิดขึ้น หากตรวจพบปัญหา (หรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น)ผู้จัดการทรัพยากรกายภาพจะเข้าแก้ไขปัญหาทันทีก่อนที่มันจะแย่ลงหรือไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป 4.การป้องกันผู้จัดการทรัพยากรกายภาพสามารถรวบรวมบันทึกการตรวจสอบและการบำรุงรักษาเพื่อเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในอดีตและแก้ไขปัญหาที่เกิดซ้ำกับอุปกรณ์ นั้นๆ วิธีนี้จะช่วยลดความเครียดและเพิ่มผลผลิตได้เมื่ออุปกรณ์ทำงานตามที่ควร เจ้าหน้าที่สามารถมุ่งเน้นไปที่งานบำรุงรักษาเชิงรุก (แทนที่จะเป็นเชิงรับ) อะไรคือตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของ Preventive Maintenance
ตัวอย่างแผนการบำรุงรักษาเชิงป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ1.ต้องมีเป้าหมายเดียวกันทั้งองค์กรในการบริหารจัดการโรงงานและเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพด้วยการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน หมายความ คุณต้องมีเป้าหมายเดียวกันทั้งเจ้าของบริษัท ผู้บริหารระดับสูง รวมถึงช่างซ่อมบำรุงของคุณ คุณต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีเครื่องมือและกระบวนการที่จำเป็น รวมทั้งมีบุคลากรที่รับผิดชอบโปรแกรมการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน 2.สร้างและจัดทำรายงานการตรวจสอบบำรุงรักษาเชิงป้องกันการสร้างและทำรายงานการบำรุงรักษาเชิงป้องกันจะเป็นการทำความเข้าใจโครงการสร้างซ่อมบำรุงของเครื่องจักรทุกชนิด อาจจะเริ่มจากการทำ Preventive Maintenance Process Flow และค่อยทำเป็นลิสต์สำหรับการตรวจสอบการซ่อมบำรุง เพื่อที่จะสามารถมอบหมายและสรุปงานกับเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงที่ต้องดำเนินการตรวจสอบหรือซ่อมบำรุงต่อไป ตัวอย่างของ PM process flow รูปจาก oracle ถ้าคุณสามารถสร้างลิสต์รายการตรวจสอบที่ถูกออกแบบมาอย่างดีจะช่วยลดข้อผิดพลาดของมนุษย์และจะสามารถปรับปรุงความน่าเชื่อถือของเครื่องจักร Machine Reliability และอื่นๆอีกมามาย ในการสร้างรายการตรวจสอบการซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน PM ให้ลองทำตามขั้นตอนเหล่านี้
3.ค้นหาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ทรัพย์สินหรือเครื่องจักรพัง!!ถ้าคุณสามารถค้นหาต้นเหตุจนเจอและสามารถระบุสาเหตุสำคัญที่ทำให้เครื่องจักรคุณพังได้ คุณจะสามารถสร้างโปรแกรมการบำรุงรักษาเชิงป้องกันที่เชื่อมโยงโดยตรงกับการลดโอกาสของความล้มเหลวนั้นๆ การพังของอุปกรณ์หรืออะไหล่ที่ต้องเปลี่ยนบ่อยครั้งในเครื่องจักร ในหลายกรณีเกิดจากการสึกหรอของเครื่องจักร ปัญหาด้านอุณหภูมิ และ การหล่อลื่นในระบบ **บทความนี้จะลงรายละเอียดเพิ่มเติมที่ด้านล่าง การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ!! 4.คุณต้องทำความคุ้นเคยกับเครื่องจักรหากคุณกำลังจัดการเครื่องจักรใหม่แกะกล่อง สิ่งแรกที่จำเป็นคือการอ่านคู่มือและทำความรู้จักรคุ้นเคยกับอุปกรณ์ เครื่องมือ หรือ เครื่องจักรของคุณให้ดีที่สุด เมื่อนำไปใช้งานได้แล้วอย่าลืมส่งต่อความรู้เกี่ยวกับการใช้งาน อุปกรณ์สู่ช่างเทคนิก และฝ่ายที่ต้องอยู่หน้างาน 5.รวมทุกองค์ความรู้และอบรมพนักงานอย่างต่อเนื่องในการบำรุงรักษาเชิงป้องกันของบริษัทคุณ พนักงานต้องเข้าใจวิธีการใช้อุปกรณ์อย่างมีประสิทธิภาพตลอดจนวิธีการดูแลเครื่องจักรของตน (มีความเป็นเจ้าของเครื่องจักร) นอกจากนี้หากผู้ปฎิบัติงานได้รับการฝึกฝนและถูกปฎิบติในฐานะสมาชิกที่มีคุณค่าของธุรกิจ พวกเขาจะมีแนวโน้มที่จะจับตาดูกิจกรรมอุปกรณ์ที่น่าสงสัย เช่น เครื่องสั่นผิดปกติ มีเสียงที่ผิดปกติ และแจ้งฝ่ายที่เกี่ยวข้องล่วงหน้า 6.เริ่มต้นตารางการบำรุงรักษาตามที่ผู้ผลิตเครื่องจักรแนะนำในฐานะผู้ผลิตเครื่องจักรหนักพวกเขามักใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทดสอบเครื่องจักร ่เช่น การกดดันในภาวะต่างๆ การใช้งานที่ผิดปกติ ทดสอบความสกปรกของน้ำมันหล่อลื่น ก่อนที่จะส่งไปให้ลูกค้าใช้งาน เพื่อที่เขาจะแนะนำได้ว่าคุณควรจะบำรุงรักษาอย่างไร เช่น ในเครื่องจักรที่ใช้น้ำมันหล่อลื่น น้ำมันควรมีค่าไม่สูงกว่า ISO 13/10 หรือ มีน้ำเข้าไปผสมในน้ำมันไม่ควรเกิน 300 PPM เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเยี่ยมของแผนการซ่อมบำรุง อย่างไรก็ตามคุณควรพิจาณาถึงองค์ประกอบอื่นควรคู่ไปด้วย เช่น เครื่องจักรคุณทำงานในสภาพอางกาศท้องถิ่นหรือมีสภาพพื้นที่เฉพาะ อยู่ในพื้นที่ที่มีความชื้นและความร้อนเป็นจำนวนมาก อาจจะส่งผลให้ระยะเวลาบำรุงรักษาเชิงป้องกันที่สั้นลง 7.ติดตามข้อมูลทั้งหมดและบันทึกทุกการเปลี่ยนแปลงหลังจากเริ่มทำการบำรุงรักษาเชิงป้องกันสักระยะคุณจะสามารถสะสมข้อมูล เก็บสถิติ สามารถดูได้ว่ามีการดำเนินการบำรุงรักษาและซ่อมแซมเครื่องจักรใดไปบ้าง ณ เวลาใด คุณจะสามารถเทียบสถิติกับเครื่องจักร หรือ อุปกรณ์ที่คล้ายคลึกกันเพื่อหาว่าการบำรุงรักษาแบบใดให้ประสิทธิภาพดีกว่า รู้ถึงระยะเวลาที่คาดว่าจะต้องซ่อมบำรุง เปลี่ยนอะไหล่ มากยิ่งขึ้น ซึ่งหมายถึงต้นทุนจมในการสต็อกอะไหล่สำรองจะลดลง คุณภาพของข้อมูลจะช่วยให้ทีมผู้บริหารตัดสินได้อย่างชาญฉลาด
วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของ Preventive Maintenanceเพียงคุณให้ความสำคัญมากขึ้น 20 % กับการดูแลรักษาเชิงป้องกัน จะสามารถลดต้นทุนและความเสียหายจากการบำรุงรักษาเชิงรับ (Reactive Maintenance) ลดถึง 80 % ทั้งลดอัตราการซ่อม ลดต้นทุนการสำรองอะไหล่ที่คุณต้องสำรองไว้สำหรับความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ยังมีวิธีที่ช่วยคุณเพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงรักษาให้มากยิ่งขึ้น !! นั่นคือ. . .
จากงานวิจัยของบริษัท Shell ที่ได้เก็บข้อมูลของลูกค้าในอุตสาหกรรมที่ใช้เครื่องจักรไฮดรอลิก เพื่อหาว่า สาเหตุที่ทำให้เครื่องไฮดรอลิกต้องหยุดเดิน โดยสาเหตุต่างๆเกิดจาก…
อีกทั้งทางเชลล์ได้ทำการศึกษาผลที่ได้จาก Shell e-quip (โปรแกรมการดูแลสภาพเครื่องจักรของเชลล์) โดยตรวจสอบน้ำมันตัวอย่างที่เอาออกมาจากเครื่องจักรโดยตรง พบว่าการปนเปื้อนและการกรองน้ำมันที่ไม่ดีเป็นสาเหตุหลักถึง 60% ของปัญหา การสึกหรออย่างผิดปกติ 22% การเสื่อมของน้ำมัน 12% และคุณภาพของน้ำมันเองอีก 6%
นอกจากคุณจะต้องให้ความสำคัญกับการซ่อมบำรุงเชิงป้องกันในเครื่องจักร อุปกรณ์ แล้ว ถ้าคุณให้ความสำคัญในการซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน โดยเล็งเห็นว่า “น้ำมันหล่อลื่น” ในเครื่องจักร ถือเป็นทรัพย์สินที่สามารถซ่อมบำรุงให้สะอาดอยู่ตลอดเวลาได้ จะเป็นการช่วยให้การซ่อมบำรุงเชิงป้องกันของคุณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นไปอีก
goodmaterialGood Material คือ แหล่งรวมเรื่องราวที่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น ทั้งความรู้ สิ่งของ รวมถึงไอเดีย และหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ชีวิตของเพื่อนๆ ดีขึ้นเช่นกันครับ |