เป็นการเรียบเรียงข้อมูลที่ได้ค้นคว้า วิเคราะห์ และสังเคราะห์มาแล้ว เพื่อนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่เป็นการตอบหรืออธิบายความอยากรู้ ข้อสงสัย ตลอดจนความรู้ใหม่ ความคิดใหม่ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้านั้น ในรูปแบบการเขียนรายงานอย่างมีเหตุผล ��èѴ��Ǵ���� ����ͧ��èѴ��Ǵ���� 1.�������� ��èѴ����˹ѧ��� ���¶֧ ��èѴ˹ѧ��ͷ���������� ��������ͧ ���ǡѹ ���ͤ���¤�֧�ѹ�����������ǡѹ������ѭ��ѡɳ����ǡѹ���ͧ������ʴǡ㹡�ä��� 2.����ª�� 1. ˹ѧ�����������ͧ���ǡѹ��Ф���¤�֧�ѹ�������Ǵ���ǡѹ 2. ���������������ö��������� �дǡ ����Ǵ���Ǣ�� 3. ����㹡�èѴ������� �дǡ ����Ǵ���Ǣ�� 3.�к���èѴ��Ǵ�����������ѹ������ 2 ������ �ѧ��� 3.1 �к���èѴ����Ẻ����ش�Ѱ�������ԡѹ (L.C) �ѭ�ѡɳ�������Ẻ�����������ѡ�����ѹ ( ����ѡ�����ǡѹ�Ѻ�����ѧ���) ����� A-Z ¡��� I O W X Y Z ����Ѻ����Ţ��úԤ����� 1 - 9999 ��觡�èѴẺ���������Ǵ�����͡�� 20 ��Ǵ�˭� 3.2 �к���èѴ����Ẻ�ȹ����ͧ������ ( D . C ) �ѭ�ѡɳ�������Ẻ����Ţ��Шش�ȹ�����觡�èѴẺ���������Ǵ�����͡�� 10 ��Ǵ�˭� ������˹ѧ��ʹѧ��� 000 - 099 ����� 100 - 199 ��Ѫ�� 200 - 299 ��ʹ� 300 - 399 �ѧ����ʵ�� 400 - 499 ������ʵ�� 500 - 599 �Է����ʵ�� 600 - 699 �Է����ʵ�����ء�� 700 - 799 ��Ż������úѹ�ԧ���С��� 800 - 899 ��ó��� 900 - 999 ����ѵ���ʵ�� �ѭ�ѡɳ����� �. ��˹ѧ��ͻ����� �ǹ���� �. ��˹ѧ��ͻ����� ˹ѧ�����������Ǫ� ��. ��˹ѧ��ͻ����� Ẻ���¹ �. ��˹ѧ��ͻ����� ��ҧ�ԧ(���حҵ�����͡�͡��ͧ��ش) �� ��˹ѧ��ͻ����� ����ͧ��� �� : ��� ���Ѩ�� ࡵش�, �.� ������Ҥ�ͧ��� 191 �.2 �.�Ҵ����� �ǧ��ͧ��� �ҧ�л� ��ا� 10240, �ѹ��� 6 �չҤ� 2545 วิธีการทางประวัติศาสตร์ คือ กระบวนการศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อให้ได้ความรู้และคำตอบที่เชื่อว่าสะท้อนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอดีตได้ถูกต้องมากที่สุด ซึ่งไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าข้อเท็จจริงที่ถูกต้องคืออะไร ดังนั้น จึงต้องมีกระบวนการศึกษา และการใช้เหตุผลในการตรวจสอบความถูกต้องของหลักฐานและนำไปใช้อย่างถูกต้อง ทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่สะท้อนข้อเท็จจริงที่แตกต่างจากนิทาน นิยาย หรือเรื่องบอกเล่าที่เลื่อนลอย การศึกษาประวัติศาสตร์เริ่มจากการตั้งคำถามพื้นฐานหลัก 5 คำถาม คือ · เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในอดีต (What) · เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ (When) · เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ไหน (Where) · ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น (Why) · เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร (How) วิธีการทางประวัติศาสตร์ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่ 1. การกำหนดหัวเรื่องที่จะศึกษา คือ การกำหนดประเด็นหรือหัวเรื่องที่นักเรียนสนใจ ต้องการรู้รายละเอียดที่ลึกซึ้งหรือสงสัยในความรู้ที่อธิบายกันในปัจจุบัน การกำหนดหัวเรื่องจะช่วยให้นักเรียนสามารถกำหนดประเด็นที่จะศึกษาได้ครอบคลุมกับเนื้อเรื่องที่สนใจศึกษาได้มากที่สุด 2. การรวบรวมหลักฐาน คือ การรวบรวมทั้งจากหลักฐานชั้นต้นหรือหลักฐานปฐมภูมิ กับหลักฐานชั้นรองหรือหลักฐานทุติยภูมิ ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนได้ข้อมูลสำหรับนำมาใช้ในการศึกษาเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆตรงตามหัวข้อที่นักเรียนกำหนดไว้ 3. การประเมินคุณค่าของหลักฐาน คือ การประเมินหลักฐานทั้งหลายที่รวบรวมมาว่าหลักฐานใดมีความสำคัญควรแก่การเชื่อถือ เชื่อมั่น ซึ่งจะให้ข้อมูลในการศึกษาเรื่องราวได้ดีที่สุด ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนทราบว่าหลักฐานประเภทใดที่มีความน่าเชื่อถือและสามารถนำมาใช้อ้างอิงในการศึกษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม 4. การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และจัดหมวดหมู่ข้อมูล คือ การนำข้อเท็จจริงที่ผ่านการวิเคราะห์มารวบรวมจัดหมวดหมู่ เพื่ออธิบายประเด็นศึกษาที่กำหนดไว้ในขั้นตอนที่ 1 ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนสามารถนำข้อมูลที่ได้มา วิเคราะห์ถึงสาเหตุและผลกระทบ รวมทั้งปัจจัยต่างๆตรงกับหัวข้อที่นักเรียนสนใจศึกษา 5. การเรียบเรียงหรือการนำเสนอ คือ การนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าและตอบคำถามที่นักเรียนสงสัย สนใจ หรืออยากรู้ตามขั้นตอนที่ 1 ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนรู้จักนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษามานำเสนอต่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนหรือบุคคลอื่นให้เข้าใจในสิ่งที่นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าตามหัวข้อที่กำหนด การวิเคราะห์และสังเคราะห์เรื่องราวหรือเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์นั้นมีจุดมุ่งหมายคือ 1. เพื่อแยกแยะข้อมูลทั้งที่เป็นข้อเท็จจริง และความเห็นออกจากกัน 2. เพื่อรวบรวมข้อมูลทั้งที่เป็นข้อเท็จจริงและความเห็นให้เป็นหมวดหมู่ 3. เพื่อหาความหมายของข้อมูล 4. เพื่อสรุปความเข้าใจของตนเอง ประโยชน์ของการศึกษาประวัติศาสตร์ การศึกษาประวัติศาสตร์มีประโยชน์ต่อผู้ศึกษาดังนี้ 1. ก่อให้เกิดความรักความภาคภูมิใจในชาติบ้านเมืองของตน คือทำให้เรารู้ถึงความเสียสละของบรรพบุรุษที่ได้สร้างบ้านเมืองมา รักชาติบ้านเมืองไว้ด้วยชีวิต สร้างสมวัฒนธรรมอันดีงามมาสู่รุ่นลูกหลานจึงก่อให้เกิดความภูมิใจ รักหวงแหนมรดกที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ ต้องการที่จะอนุรักษ์และสืบสานสิ่งที่ดีงามไปยังคนรุ่นลูกรุ่นหลานของเราต่อไป 2. ทำให้เข้าใจทัศนคติของผู้อื่น การศึกษาประวัติศาสตร์ช่วยให้เราเข้าใจความคิดความรู้สึกของคนในสังคมต่างๆ และในเวลาต่าง ๆ กัน 3. ทำให้ได้บทเรียนจากประวัติศาสตร์ เหตุการณ์หรือพฤติกรรมของมนุษย์ในอดีตย่อมมีทั้งด้านดีและด้านร้าย พฤติกรรมใดที่นำความเสียหายมาสู่สังคมส่วนรวมในอดีต ซึ่งอาจส่งผลร้ายมาสู่ปัจจุบันและเชื่อมโยงไปถึงอนาคตด้วย |