ให้ อธิบาย ความ แตก ต่าง ระหว่าง Traditional Marketing กับ E-Marketing


การตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Marketing) คืออะไร

ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่เรียกกันว่ายุคนี้ คือ ยุคดิจิตอล ระบบการตลาดก็เช่นเดียวกัน ผลจากเทคโนโลยีทำให้ระบบการตลาดเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มีความเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้การตลาดต้องปรับตัวให้ทัน กับระบบการค้า บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวคิดทางการตลาดอิเล็กทรอนิกส์ที่เรียกว่า

ให้ อธิบาย ความ แตก ต่าง ระหว่าง Traditional Marketing กับ E-Marketing

ทุกธุรกิจคงคุ้นเคยกับการทำการตลาดแบบเดิม (Traditional Marketing) กันดีอยู่แล้วใช่ไหมครับ ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาสินค้าและบริการผ่านทางทีวี วิทยุ ป้ายโฆษณา หรือสื่อสิ่งพิมพ์

ต่อมาเมื่อการทำธุรกิจเริ่มเข้าสู่ยุคดิจิตอล โดยเฉพาะยุคนี้ซึ่งคือยุคของ Social Media กลยุทธ์ในการทำการตลาดก็ต้องปรับให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและต้องตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคในระดับบุคคลมากขึ้น นั่นจึงทำให้ Content Marketing เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญ

Content Marketing เป็นวิธีการทำการตลาดที่มุ่งเน้นการสร้าง “คุณค่า” แก่ผู้บริโภค ผ่านการสื่อสารเนื้อหาที่มีประโยชน์และเกี่ยวเนื่องกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย

อ่านมาถึงตรงนี้ผมเชื่อว่ามีหลายๆธุรกิจที่กำลังพยายามทำ Content Marketing แต่ยังไม่เข้าใจมันอย่างแท้จริง ซึ่งพื้นฐานที่ไม่แน่นนั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้การทำการตลาดเดินไปผิดทางครับ

วันนี้ผมจึงได้รวบรวมเอาความแตกต่างระหว่างการทำ Content Marketing กับการทำการตลาดแบบเดิม (Traditional Marketing) มาฝากกัน

ซึงก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนเห็นภาพของการทำการตลาดโดยใช้ content ชัดเจนยิ่งขึ้นนะครับ

เอาหละเรามาดูความแตกต่างที่ว่านี้ไปพร้อมๆ กันเลยครับ

1. การรบกวน VS การเสนอสิ่งที่น่าสนใจ

ลองสังเกตดูนะครับ ว่าการทำการตลาดสมัยเดิมนั้น เวลาธุรกิจจะโฆษณาหรือโปรโมทอะไรสักอย่าง จะต้องทำการ “รบกวน” ผู้รับสาร เช่น

“โฆษณาทีวี” คนกำลังดูละครอย่างเมามันส์ อยู่ๆก็มีโฆษณาขึ้นมาให้เสียอารมณ์

“โฆษณาทางวิทยุ” คนกำลังฟังเพลงเพลินๆ ก็มีเสียงโปรโมทสินค้ามาคั่น หรือแม้กระทั่ง

“โฆษณา pop-up ตาม website” ที่เด้งขึ้นมาบังนู่นบังนี่ ก่อให้เกิดความรำคาญ

ซึ่งการทำการตลาดแบบนี้ พูดง่ายๆมันก็คือการทำตลาดแบบหว่านครับ โดยผู้รับสารอาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจเลยก็ได้ และถ้าสิ่งเหล่านี้ “ไม่ใช่” สิ่งที่เค้าอยากดูหรือสนใจ เค้าจะรู้สึกว่าถูกรบกวน และแน่นอนว่าเค้าแทบจะไม่สนใจเนื้อหาสาระของสิ่งที่ธุรกิจอยากบอกเลย

ในขณะที่ Content Marketing มุ่งเน้นการสร้าง และส่งต่อเนื้อหา ที่ให้ “ประโยชน์” และ “เกี่ยวข้อง” กับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจเป็นสำคัญ เนื้อหาที่กลุ่มเป้าหมายมีความสนใจ อาจเป็นการตอบปัญหา เป็นบทความ หรืออะไรก็ตามที่สามารถตอบสนองความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด เช่น การให้ความรู้เรื่องการทานอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ กับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการรักษาสุขภาพ เป็นต้น

2. การขาย VS การให้ความช่วยเหลือ

การตลาดแบบเดิม จะมุ่งเน้น “การขาย” สินค้าและบริการ” เป็นหลัก

จึงทำให้เนื้อหาในการทำการตลาดส่วนใหญ่ จะเน้นแค่การบอกคุณสมบัติและราคาของสินค้า ซึ่งถ้าทำซ้ำไปมา อาจทำให้ผู้รับสารเกิดความเบื่อหน่ายได้

แต่ Content Marketing มุ่งเน้นการ “ช่วย” แก้ปัญหาให้กับกลุ่มเป้าหมาย ช่วยให้คำตอบ ให้ความรู้ ให้ข้อมูล เพื่อประกอบการตัดสินใจในการซื้อสินค้าแก่กลุ่มเป้าหมาย

แน่นอนครับว่าโดยธรรมชาติของคน “มักไม่ชอบการขายแบบถูกยัดเยียด แต่มักจะชอบความรู้สึกของการได้รับการช่วยเหลือ” เพราะฉะนั้นแล้วการทำ Content Marketing ก็เกี่ยวเนื่องกับการขายเหมือนกันครับ เพียงแค่มันอยู่ในรูปแบบที่ต่างออกไปเท่านั้นเอง

3. เป็นครั้งคราว VS สม่ำเสมอ

การทำการตลาดแบบเดิม เราจะเห็นว่าจะมีการโฆษณา หรือการโปรโมท เป็นระลอกๆ ตามแคมเปญ ตามงบประมาณ หรือตามผลิตภัณฑ์ที่ออกมาใหม่ ช่วงที่โฆษณาเยอะๆ สินค้าก็จะขายดี แต่ช่วงหมดงบ หมดแคมเปญ ยอดขายก็จะตก เป็นวัฎจักรไป

แต่การทำ Content Marketing มุ่งเน้นความ “สม่ำเสมอ” ในการทำการตลาด มุ่งเน้นการสร้างและส่งต่อเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายอยู่เป็นประจำ โดยไม่ได้มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่ต้องการจะขายอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งจะสามารถสร้างความไว้วางใจของลูกค้าให้เกิดขึ้นได้

4. ต้นทุน VS ทรัพย์สิน

การโฆษณาหรือการทำตลาดแบบเดิม ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากมาย พองบหมด หมดช่วงโฆษณา เงินที่ใช้ก็ถูกตีเป็น “ต้นทุน” ของธุรกิจไป

แต่ content ที่เราสร้างขึ้นนั้น เปรียบเสมือน “สินทรัพย์” ของธุรกิจ ที่มีมูลค่าเพิ่มอยู่เสมอ ตราบเท่าที่กลุ่มเป้าหมายยังให้ความสนใจ

ซึ่งถ้าพูดกันตามตรงส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้ทุนในการสร้างต่ำกว่าการทำการตลาดแบบเก่า อีกทั้งยังเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุดมากกว่าอีกด้วย

5. อายุสั้น VS อายุยืนยาว

โฆษณาทางทีวี วิทยุ หน้าหนังสือพิมพ์ ตาม website ฯลฯ พอหมดช่วงเวลาโปรโมท หรือหยุดจ่ายเงิน โฆษณาเหล่านั้นก็จะถูกลบออกไปจากระบบ

ในขณะที่ Content นั้นมีอายุยืนยาวกว่า โดยบทความ การให้ความรู้ การตอบคำถามในรูปแบบต่างๆผ่าน media ที่มีความน่าสนใจ จะสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ หรือ ได้รับความสนใจอยู่ตลอด ตราบเท่าที่คุณสื่อสารเนื้อหานั้นกับกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง

คงพอเห็นภาพกันแล้วใช่ไหมครับว่าการทำการตลาดแบบเดิม กับการทำการตลาดโดยใช้ content นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า มันจะช่วยให้ทุกคนเข้าใจเกี่ยวกับการทำ Content Marketing มากยิ่งขึ้น จนสามารถใช้มันได้อย่างถูกต้อง และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดนะครับ