เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นครั้งแรกที่เกิดการบังคับให้บุคคลสูญหาย (Enforced Disappearance) เป็นที่ประจักษ์ นายอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้นำเผด็จการของพรรคนาซีในเยอรมัน ได้มีคำสั่งพิเศษ “Nacht und Nebel Erlass”หรือ Night and Fog Directive โดยกฎหมายฉบับนี้มีเป้าหมายในการจับกุมบุคคลที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของเยอรมันที่อาศัยในพื้นที่ที่ถูกปกครองโดยนาซี และทำให้พวกเขาหายไปอย่างไร้ร่อยรอย
โดยจะไม่มีการให้ข้อมูลใด ๆ แก่ญาติถึงชะตากรรมของบุคคลซึ่งถูกจับกุมไป ต่อมาการบังคับให้บุคคลสูญหายได้เกิดขึ้นอีกครั้งภายใต้การปกครองในลักษณะเผด็จการทหารในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๐๓ โดยเริ่มต้นจากบราซิล และจากนั้นในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ตอนต้น การบังคับให้บุคคลสูญหายได้กลายเป็นลักษณะที่เห็นทั่วไป นอกจากในพื้นที่ลาตินอเมริกาแล้ว มีการรายงานว่าตัวเลขที่มีการบังคับให้บุคคลสูญหายเกิดขึ้นสูงสุดเกิดในอิรัก ศรีลังกา
และอดีตยูโกสลาเวีย[๑] องค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) ซึ่งเป็นองค์การนอกภาครัฐ (Non-government Organization-NGO)
อธิบายว่าการบังคับให้บุคคลสูญหายเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเมื่อบุคคลใดถูกจับกุม ถูกควบคุม หรือถูกลักพาตัวไปโดยรัฐหรือตัวแทนของรัฐ และปฏิเสธว่าบุคคลนั้นถูกจับกุม หรือปิดบังสถานที่ของบุคคลนั้น ส่งผลให้บุคคลนั้นไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ในหลายกรณี บุคคลซึ่งสูญหายไปนั้นไม่ได้รับการปล่อยตัว อีกทั้งครอบครัวและเพื่อนไม่สามารถทราบชะตากรรมของบุคคลนั้น บ่อยครั้งที่บุคคลซึ่งโดนลักพาตัวไปจะถูกทรมาน และอยู่ในสภาวะเกรงกลัวต่อชีวิต บุคคลนั้นจะถูกลิดรอนสิทธิ และอยู่ใต้อำนาจของผู้จับกุม
การละเมิดสิทธิดังกล่าวเป็นการละเมิดที่ยาวนานต่อเนื่องหลายปีนับจากวันที่ถูกลักพาตัว[๓] ประชาคมระหว่างประเทศได้ดำเนินมาตรการเพื่อรองรับในด้านการบังคับให้บุคคลสูญหาย โดยดำเนินการทั้งในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ ทั้ง (๑) 1992 Declaration on the Protection of all Persons from Enforced
Disappearance[๕] (๒) 1994 Inter-American Convention on Forced Disappearance of Persons[๖] (๓) ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ (1998 Rome Statute of the International Criminal Court - Rome
Statute)[๗] และล่าสุดคือ (๔) อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ พ.ศ. ๒๕๕๓ (2010 International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance - CED) การบังคับให้บุคคลสูญหายเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายประการโดยเป็นการละเมิดทั้งสิทธิมนุษยชน กฎหมายอาญาระหว่างประเทศ
และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยในบทความนี้จะขอกล่าวถึงเพียงตราสารทางกฎหมายระหว่างประเทศเพียง ๕ ฉบับหลัก ๆ ดังต่อไปนี้
[๑] Nowak, M. Torture and enforced disappearance. In International Protection of Human Rights: A Textbook, Krause, C.; Scheinin, M. (eds.). Turku: Institute for Human Rights, Abo Akademi University, ๒๕๕๒, น. ๑๕๒ [๒] Boot, M.; Hall, C. K. Crimes against Humanity. In Commentary on the Rome Statute of the International Criminal Court: Observer’s Notes, Article by Article, ฉบับที่ ๒, แก้โดย Triffterer, O., C.H. Beck-HartNomos, ๒๕๕๑, น. ๒๒๑ [๓] Amnesty International, Disappearances, สืบค้นข้อมูลวันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก https://www.amnesty.org/en/what-we-do/disappearances/ [๔] Trial International, Force Disappearance, สืบค้นข้อมูลวันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก https://trialinternational.org/topics-post/enforced-disappearance/ [๕] องค์การสหประชาชาติ, มติที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติที่ ๔๗/๑๓๓, ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๕, สืบค้นข้อมูลวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก http://www.un.org/documents/ga/res/47/a47r133.htm [๖] Inter-American Convention on Forced Disappearance of Persons, สืบค้นข้อมูลวันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก http://www.cidh.oas.org/Basicos/English/Basic11.Disappearance.htm [๗] ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ, สืบค้นข้อมูลวันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก https://www.icc-cpi.int/nr/rdonlyres/ea9aeff7-5752-4f84-be94-0a655eb30e16/0/rome_statute_english.pdf [๘] ข้อ ๖ แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองปี พ.ศ. ๒๕๐๙ (ICCPR) เข้าถึงได้จาก https://treaties.un.org/doc/publication/unts/volume%20999/volume-999-i-14668-english.pdf [๙] เพิ่งอ้าง, ข้อ ๑๘ [๑๐] เพิ่งอ้าง, ข้อ ๑๘, ๑๙ [๑๑] เพิ่งอ้าง, ข้อ ๒๑ [๑๒] เพิ่งอ้าง, ข้อ ๒๕ [๑๓] เพิ่งอ้าง, ข้อ ๑๔ [๑๔] เพิ่งอ้าง, ข้อ ๙ [๑๕] เพิ่งอ้าง, ข้อ ๗ [๑๖] เพิ่งอ้าง, ข้อ ๑๐ [๑๗] โปรดดู Communication เลขที่ ๙๕๐/๒๐๐๐, Sarma v. Sri Lanka, ความเห็นวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖, สืบค้นข้อมูลวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก http://hrlibrary.umn.edu/undocs/950-2000.html [๑๘] ข้อ ๗ (๒) (ฌ) ประกอบข้อ ๗ (๑) (ฌ) บัญญัติว่า [๑๙] Oxford University Press, International Criminal Law, เกรียงศักดิ์ กิตติชัยเสรี, ๒๕๔๔, น. ๑๒๓ [๒๐] T.M.C. Asser Press, Principles of International Criminal Law, Gerhard Werle, ๒๕๔๘, น. ๒๖๐-๒๖๑ [๒๑] องค์การสหประชาชาติ (United Nations), Preparatory Commission for the International Criminal Court, PCNICC/๒๐๐๐/๑/Add.๒, ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓, น.๑๕, สืบค้นข้อมูลวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก https://documents-dds-ny.un.org/doc/UNDOC/GEN/N00/724/27/PDF/N0072427.pdf?OpenElement [๒๓] องค์การสหประชาชาติ, มติที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติที่ ๓๙/๔๖, ๒๕๒๗, สืบค้นข้อมูลวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก http://www.un.org/documents/ga/res/39/a39r046.htm [๒๔] Audiovisual Library of International Law, Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment, Hans Danelius, สืบค้นข้อมูลวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก http://legal.un.org/avl/ha/catcidtp/catcidtp.html [๒๕] ข้อ ๒ แห่งอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน การปฏิบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี พ.ศ. ๒๕๒๗ บัญญัติว่า [๒๖] ข้อ ๓ แห่งอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน การปฏิบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี พ.ศ. ๒๕๒๗
บัญญัติว่า [๒๗] ข้อ ๔ แห่งอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน การปฏิบัติ
หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี พ.ศ. ๒๕๒๗ บัญญัติว่า [๒๘] ข้อ ๖ แห่งอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน การปฏิบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี พ.ศ. ๒๕๒๗ บัญญัติว่า [๒๙] ข้อ ๗ แห่งอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน การปฏิบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี พ.ศ. ๒๕๒๗ บัญญัติว่า [๓๐] ข้อ ๑๒ แห่งอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน การปฏิบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี พ.ศ. ๒๕๒๗ บัญญัติว่า [๓๑] ข้อ ๑๓ แห่งอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน การปฏิบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี พ.ศ. ๒๕๒๗
บัญญัติว่า [๓๒] ข้อ ๑๔ แห่งอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน การปฏิบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี พ.ศ. ๒๕๒๗ บัญญัติว่า [๓๓] University of Wroclaw, The Concept of Enforced Disappearances in International Law, Dalia Vitkauskaitè-Meurice, Justinas Žilinskas, ๒๕๕๓, สืบค้นข้อมูลวันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก https://www.mruni.eu/upload/iblock/934/9Vitkauskaite_Meurice.pdf [๓๔] เช่น อนุสัญญาเพื่อการปราบปรามการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมายต่อความปลอดภัยของการบินพลเรือน พ.ศ. ๒๕๑๔ หรืออนุสัญญามอนทริออล (1971 Montreal Convention for the Suppression of Unlawful Acts against the Safety of Civil Aviation) [๓๕] ดูอ้างอิงที่ ๑, น.๑๘๑ [๓๖] คำแปลผู้เขียน |