สถาปัตยกรรมระบบฐานข้อมูล (Database System Architecture) เป็นกรอบสำหรับใช้อธิบายแนวคิดเกี่ยวกับฐานข้อมูลทั่วไปและสำหรับอธิบายโครงสร้างของระบบฐานข้อมูล ระดับของสถาปัตยกรรม แบ่งได้ 3 ระดับ ได้แก่ 1. ระดับภายใน (The Internal Level) บางทีเรียกว่า the physical level
ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับการจัดเก็บทางกายภาพมากที่สุด ความสำคัญของระบบฐานข้อมูล 1. ความกะทัดรัด การบันทึกข้อมูลลงในระบบคอมพิวเตอร์จะเก็บข้อมูลไว้ได้เป็นจำนวนมากในที่เดียวกัน อยู่ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ซึ่งประหยัดพื้นที่ 2. ความรวดเร็ว เครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบฐานข้อมูลสามารถค้นคืนและปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน ได้เร็วกว่ามือมนุษย์มาก 3. ความเบื่อหน่ายน้อยกว่า 1. ข้อมูลในระบบฐานข้อมูลสามารถใช้ร่วมกันได้ (The data can be shared) ตัวอย่างเช่น – โปรแกรมระบบเงินเดือนสามารถเรียกใช้ข้อมูลรหัสพนักงานจากฐานข้อมูลเดียวกับโปรแกรมระบบการขายตามภาพในตอนท้าย ที่ผ่านมา เป็นต้น 2. ระบบฐานข้อมูลสามารถช่วยให้มีความซ้ำซ้อนน้อยลง (Redundancy can be reduced) ที่ลดความซ้ำซ้อนได้ เพราะเก็บแบบรวม 3. ระบบฐานข้อมูลช่วยหลีกเลี่ยงหรือลดความไม่คงที่ 4. ระบบฐานข้อมูลสนับสนุนการทำธุรกรรม (Transaction support can de provided) ธุรกรรม คือ ขั้นตอนการทำงานหลายกิจกรรมย่อยมารวมกัน 6. สามารถบังคับใช้มาตรการรักษาความปลอดภัย (Security can be enforced) กล่าวคือ ผู้บริหารฐานข้อมูลสามารถกำหนดข้อบังคับเรื่องปลอดภัย 7. ความต้องการที่เกิดข้อโต้แย้งระหว่างฝ่าย สามารถประนีประนอมได้ 8. สามารถบังคับให้เกิดมาตรฐานได้ (Standards can be enforced) 9. ระบบฐานข้อมูลให้เกิดความเป็นอิสระของข้อมูล (Data Independence) ในระบบฐานข้อมูล 2. ผู้บริหารฐานข้อมูล ต้องมีอิสระที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการแทนค่าทางกายภาพ จุดประสงค์หลักของสถาปัตยกรรม ความเป็นอิสระของข้อมูลทางตรรกะ(Logical dataindependence) หมายถึง ความเป็นอิสระของข้อมูลในระดับกายภาพ(Physical datindependence) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในระดับภายในไม่ส่งผลกระทบต่อระดับแนวคิด การเปลี่ยนแปลงในระดับภายในได้แก่ แบบจำลองข้อมูล(Data Models) แบบจำลองข้อมูล(Data Model) หมายถึง แบบจำลองที่ใช้อธิบายและจัดการข้อมูล , ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลและข้อบังคับของข้อมูลในระบบแบบจำลองจะแสดงวัตถุและเหตุการณ์และความสัมพันธ์ระหว่างกัน แบบจำลองข้อมูลจะแสดงโครงสร้างของตัวเอง โดยมีหลักการพื้นฐานและสัญลักษณ์ที่ให้ผู้ออกแบบฐานข้อมูลและผู้ใช้สามารถสื่อสารแนวคิดในการออกแบบได้ตรงกันในบทนี้จะแบ่งแบบจำลองข้อมูลออเป็น 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่ แบบจำลองเชิงวัตถุ(object-based) , แบบจำลองเชิงรายการ(record-based) และแบบจำลองทางกายภาพ(Physical) โดย 2ประเภทแรกใช้อธิบายข้อมูลในระดับแนวคิดและระดับภายนอก ส่วนประเภทที่ 3ใช้อธิบายข้อมูลในระดับภายใน แบบจำลองข้อมูลเชิงวัตถุ(Object-BasedData Models) แบบจำลองข้อมูลเชิงวัตถุใช้หลักการเกี่ยวกับเอนติตี้ , แอททริบิวท์ และความสัมพันธ์ โดย เอนติตี้(Entity) หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่แตกต่างกัน(เช่น คน , สถานที่ , สิ่งของ , เหตุการณ์ เป็นต้น)ที่ปรากฏขึ้นในฐานข้อมูล แอททริบิวท์(Attribute) เป็นคุณสมบัติที่อธิบายลักษณะของเอนติตี้ และความสัมพันธ์(Relationship) เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเอนติตี้ แบบจำลองฐานข้อมูลเชิงวัตถุประกอบด้วยแบบจำลองต่างๆ ดังนี้ Entity-Relationship Semantic Functional Object-Oriented แบบจำลอง Entity-Relationship ในแบบจำลองเชิงเรคคอร์ดนั้นฐานข้อมูลจะประกอบด้วย รายการข้อมูลที่กำหนดรูปแบบคงที่ไว้ที่แตกต่างกันแต่ละแบบ โดยแต่ละแบบของรายการข้อมูลจะกำหนดจำนวนฟิลด์ไว้คงที่และกำหนดขนาดข้อมูลของฟิลด์ไว้ด้วย แบบจำลองเชิงรายการประกอบด้วย แบบจำลองข้อมูลเชิงสัพันธ์(Relational DataModel) ,
แบบจำลองข้อมูลแบบเครือข่าย(Network Data Model) คิดค้นโดยบริษัท North AmericaRockwell ซึ่งเป็นบริษัทที่มีส่วนร่วมในโครงการสำรวจดวงจันทร์ด้วยยานอวกาศApollo ซึ่งมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมหาศาล โดยข้อมูลที่เก็บในคอมพิวเตอร์มีการจัดการข้อมูลแบบแฟ้มข้อมูล ซึ่งทำให้เกิดความซ้ำซ้อนของข้อมูลเป็นจำนวนมากเมื่อบริษัท North America การออกแบบแฟ้มข้อมูลและฐานข้อมูล (Designing Databases) 3. การออกแบบฐานข้อมูล (database design) เครื่องมือสำหรับออกแบบฐานข้อมูล คือ อีอาร์ดี (entity relationships diagram-ERD) เป็นแบบจำลอง ข้อมูล (data model) ซึ่งเป็นแผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี และแอททริบิวท์ และต้องนำมาทำนอร์มัลไลเซชันปรับปรุงให้เป็นบรรทัดฐานเพื่อความถูกต้องของข้อมูล เมื่อมีการปรับข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน 3.1 แบบจำลองข้อมูลอีอาร์ดี (Entity-Relationship Diagram -ERD) ระบบฐานข้อมูลที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันคือ ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (relational database) และฐานข้อมูลเชิงวัตถุ (object- oriented database) และแบบผสมของฐานข้อมูลเชิงวัตถุสัมพันธ์(hybrid object-relational DBMS) การออกแบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ จะเกี่ยวข้องกับเอนทิตี (entity) แอททริบิวท์ (attribute) และความสัมพันธ์ของ เอนทิตี (entity relationships) ตัวแบบจำลองข้อมูล (data model) ที่ใช้ คือ อีอาร์ดี การออกแบบฐานข้อมูล โดยอีอาร์ดีจะแสดงแบบจำลองข้อมูลซึ่งแสดงให้เห็นในระดับแนวคิด (conceptual design) คือเอนทิตีและแอททริบิวท์ และข้อมูลเหล่านั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร โดยในขั้นวิเคราะห์ยังไม่ได้คำนึงถึงความซ้ำซ้อนของข้อมูล 3.2 การทำข้อมูลให้เป็นบรรทัดฐาน (normalization) ข้อมูลที่ได้จากตัวแบบจำลองข้อมูลอีอาร์ดี จะนำมากำหนดเป็นตารางความสัมพันธ์ (relational table) หรือเรียกว่า รีเลชัน หลักการบรรทัดฐานหรือการนอร์มัลไลเซชัน คือขจัดความสัมพันธ์ซ้ำซ้อนของข้อมูลจากแบบกลุ่มให้อยู่ในแบบเดี่ยวให้มากที่สุด ระบบโครงสร้างข้อมูลพิจารณาได้ ดังนี้ คือ ตารางหรือเอนทิตี เป็นหน่วยที่ใช้จัดเก็บชุดข้อมูลในระบบ อาจมีได้หลายตารางหรือขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของรายการข้อมูลที่ประกอบขึ้นเป็นระเบียนข้อมูล (เร็คคอร์ด) และตารางความสัมพันธ์ระหว่างตารางซึ่งเรียกว่ารีเลชัน (relation) แอทริบิวท์หรือรายการข้อมูลที่อยู่ในรีเลชันอาจมีลักษณะเหมือนกันหรือซ้ำกัน ซึ่งจะต้องแก้ไขโดยการสร้างรีเลชันใหม่ เช่น นักศึกษา 1 คน สามารถเรียนได้หลายวิชา การสร้างคีย์ (key) เพื่อระบุความสัมพันธ์ของรีเลชัน มีหลักดังนี้ – คีย์หลัก (primary key / unique key) เป็นแอทริบิวท์ของระเบียนข้อมูลที่มีลักษณะข้อมูลที่มีลักษณะเด่นเฉพาะตัวที่ใช้สำหรับอ้างอิง เช่น รหัสนักศึกษา จะมีค่าเฉพาะตัวค่าเดียวเพื่อใช้อ้างอิงว่าเป็นระบียนของนักศึกษาคนไหน – คีย์นอก (foreign key) เป็นแอทริบิวท์ที่กำหนดความสัมพันธ์กับรีเลชันอื่นและจะกลายเป็นคีย์หลักของรีเลชันนั้น เช่น รหัสวิชาเป็นคีย์นอกใช้ระบุความสัมพันธ์กับรีเลชันที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับวิชาที่เปิดสอนได้ – คีย์อื่น ๆ เช่น คีย์รอง (secondary key) เป็นแอทริบิวท์ที่ช่วยให้การเรียกใช้ข้อมูลเป็นไปได้สะดวกรวดเร็วและชัดเจน เช่น กำหนดชื่อนักศึกษาเป็นคีย์รองในการเรียกใช้ข้อมูล เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ผู้จัดทำ นาย พีรดลย์ รูปทอง ชั้นม.5/3 เลขที่ 10 นางสาวอริษา ทองศรี ม.5/3 เลขที่25 นางสาวจิณณพัต โอภากุลวงษ์ ม.5/3 เลขที่27 นางสาวชรินรัตน์ แสงสุรีย์ฉาย ม.5/3 เลขที่28 นางสาวสุทธิบุตร บุญมาคาร ม.5/3 เลขที่29 นางสาวมรรษวันฏ์ จงเจริญ ม.5/3 เลขที่31 อ่านเพิ่มเติม → |