Fiber Optics ทำไมถึงต้องใช้สาย Indoor/Outdoor? Indoor Fiber Optic 1.เส้นแก้ว ( Optical Core) ซึ่งเป็นตัวนำสัญญาณ จะมีขนาดและเส้นผ่าศูนย์กลาง 9 mm, 50 mm และ 62.5 mm สาย Ext Grade คืออะไร ? Ext Grade ย่อมาจาก Extend Grade หมายถึง เส้นแก้ว Optical ที่นำมาผลิตสาย Fiber Optic เป็นแก้วที่มีคุณภาพสูง มีความเป็นระเบียบในการจัดแสงที่ผ่านไปในตัวแก้ว ทำให้ลดการสูญเสีย ในการส่งสัญญาณได้ดี เลือกสายแบบไหนให้ เหมาะกับการใช้งานนี้ Military Gade คืออะไร ? 1. MIL Grade = Military Grade เป็นมาตรฐานสำหรับสินค้าของกองทัพสหรัฐอเมริกาเป็นมาตรฐานที่สูงกว่า และมีคุณภาพ มากกว่าสินค้าโดยทั่วไป เลือกใช้ Adapter ให้เหมาะสมได้อย่างไร ความแตกต่างของ Polymer กับ Ceramic ชนิดของ Patch Card 2.แบบ Duplex คือ สายคู่ติดกัน ที่มักจะใช้ในงาน Computer แต่ก็มีบางครั้งที่นำมาใช้ระบบ Telecom SX กับ LX ต่างกันตรงไหน ? การส่งสัญญาณในสายใยแก้ว จะใช้วิธีส่งผ่านความยาวคลื่น โดยหากเป็นความยาวคลื่นของสาย Multimode ที่ 850 mm จะเรียกสั้น ๆ ว่า SX ( คลื่นสั้น) แต่ถ้าส่งผ่านสาย Singlemode (LX) สามารถรองรับสัญญาณได้ 2 ความยาวคลื่น ( Wavalenght) โดยขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ส่งสัญญาณ คือ 1310 nm และ 1550 nm ดังนั้นในการที่จะขยายระยะทาง ให้เพิ่มขึ้นอีกมาก ๆจึงต้องใช้ Wavalenght ที่ 1550 nm อย่างไรก็ตามควรตรวจสอบจากคู่มืออุปกรณ์ SWITCH และ HUB ที่ต้องการต่อพ่วงว่าใช้ Wavalenght ใด เพื่อจะได้เลือกใช้ Media Converter ที่เหมาะสม ที่มา: www.9engineer.com มาตรฐานเส้นใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) OM1, OM2 และ OM3 OM1, OM2 และ OM3 เป็นมาตรฐานของเส้นใยแก้วนำแสงชนิด Multimode ซึ่งถูกกำหนดขึ้นตามมาตรฐาน ISO/IEC 11801 โดยคุณสมบัติที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดของมาตรฐานทั้ง 3 แบบ ก็คือ ค่าความกว้างของช่องสัญญาณ (Bandwidth) และค่าการสูญเสียของสาย (Attenuation) โดยมาตรฐาน ISO/IEC 11801 ได้มีการกำหนดมาตรฐานความกว้างของช่องสัญญาณ และมาตรฐานของค่าการสูญเสีย โดยเฉพาะเมื่อใช้ระบบการทำงานในระดับ Gigabit ไว้ดังนี้ ทุกวันนี้ หากเราเฝ้ามองวิวัฒนาการของระบบเครือข่าย เราจะพบว่า Ethernet ได้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Gigabit Ethernet หรือ 10 Gigabit Ethernet ซึ่งเป็นระบบที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการทำงานบนสาย Fiber Optic แบบ Multimode และเป็นเทคโนโลยีที่มีความเร็วสูงสุดเท่าที่เคยมีมา โดยระบบ 10 Gigabit Ethernet ไม่เพียงแต่จะใช้งานบนเครือข่าย LAN ได้เท่านั้น แต่มันยังสามารถขยายขอบเขตการใช้งานออกไปในระดับ WAN ได้อีกด้วย และในขณะที่ Ethernet ได้รับการพัฒนาอยู่นั้น มาตรฐานของสายใยแก้วนำแสงชนิด Multimode ก็ได้รับการพัฒนาควบคู่กับ Ethernet มาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยเริ่มตั้งแต่ OM1 ซึ่งถูกใช้งานสำหรับมาตรฐานทั่วไป ขณะที่ OM2 เป็นการพัฒนาเข้าสู่การทำงานในระดับ Gigabit Ethernet และ OM3 ซึ่งเป็นการทำงานในระดับ 10 Gigabit Ethernet การใช้งานเส้นใยแก้วนำแสง MMF ทั่วไปในระดับ 10 Gigabit Ethernet นั้น จะมีข้อจำกัดด้าน Bandwidth และระยะทางที่สั้นมาก โดยสาย MMF โดยทั่วไปจะสนับสนุนการทำงานในระดับ 10 Gigabit Ethernet ที่ระยะทางประมาณ 25-82 เมตรเท่านั้น อย่างไรก็ดี หากเราต้องการใช้งานสาย MMF ที่ระยะทาง 300 เมตร ซึ่งเป็นระยะทางที่ยอมรับกันว่าเหมาะสมสำหรับโครงข่ายภายในอาคารและระบบศูนย์รวม ก็สามารถทำได้ แต่จำเป็นต้องใช้งานร่วมกับ Wide Wavelength Division Multiplexer ซึ่งนั่นหมายความว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายสำหรับอุปกรณ์ Active Device ทั้ง Transceiver และ WWDM ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีราคาแพงเพิ่มขึ้น จากปัญหาดังกล่าว OM3 จึงเป็นมาตรฐานใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานในระดับ 10 Gigabit Ethernet ที่สามารถรองรับการส่งข้อมูลได้ไกลถึง 300 เมตร นอกจากนี้ OM3 ยังมีจุดเด่นอีกหลายประการไม่ว่าจะเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเครือข่าย, ความสามารถในการรองรับข้อมูลที่สูงขึ้น และที่สำคัญการที่ OM3 สามารถใช้ Wavelength ที่ 850 nm ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถ upgrade ระบบเครือข่ายสู่ระดับ 10 Gigabit Ethernet โดยมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลง เมื่อเทียบกับมาตรฐานปกติซึ่งใช้ 1310 nm ที่เป็นแบบ Multimode เท่านั้น จากข้อมูลเบื้องต้นจะเห็นได้ว่า สายใยแก้วนำแสงทั้งแบบ OM1, OM2 และ OM3 จะมีข้อแตกต่างกันไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ ซึ่งข้อแตกต่างนี้จะขึ้นอยู่กับผู้ผลิตเองว่าจะมีการกำหนดสมรรถนะของสายให้ใกล้เคียงหรือเทียบเท่าหรือดีกว่าได้อย่างไร ดังเช่นสายของ DRAKA ที่มีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ คือ 1. แบบ Standard • Standard 62.5 um fibers (OM1) • Standard 50 um fibers (OM2) 2. แบบ Hicap • Hicap 62.5 um fibers (OM1) • Hicap 50 um fibers (OM2) 3. แบบ Maxcap • Maxcap 50 um fibers (OM 3) ปัจจุบันความต้องการใช้งานระบบเครือข่ายใยแก้วนำแสงที่มีความเร็วสูงเริ่มมีมากขึ้น ตามปริมาณความต้องการติดต่อสื่อสารข้อมูล และความต้องการพัฒนาระบบเครือข่าย ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว Gigabit Ethernet ถือเป็นระบบที่จะสามารถรองรับความต้องการใช้งานในระดับดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ หากเราคำนึงถึงต้นทุนในการลงทุนด้านเครือข่ายแล้ว การเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมต่อความต้องการถือเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งของการวางแผนลงทุนด้านเครือข่าย และหากเรามีความต้องการในระดับ Gigabit Ethernet แล้ว การเลือกใช้เส้นใยแก้วนำแสงชนิด OM2 ก็ถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสม ซึ่งปัจจุบันสายผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ออฟติกอยู่ในมาตรฐาน OM2 ที่พร้อมรองรับการใช้งานในระดับ Gigabit Ethernet และพร้อมจะก้าวสู่มาตรฐาน OM3 หรือในระดับ 10 Gigabit Ethernet ในอนาคตอันใกล้ |