ยาเลื่อนประจำเดือน เป็นทางออกของสาว ๆ ที่ไม่อยากให้การมีประจำเดือนมาเป็นเรื่องกวนใจเพราะหลายครั้งที่ขอเลื่อนแผนเที่ยว ขยับแล้วขยับอีกก็ไม่ลงตัว การหันไป “เลื่อนประจำเดือน” จึงเป็นทางออกที่ดีกว่า Show
วิธีใช้ยาเลื่อนประจำเดือนด้วยธรรมชาติของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ ก่อนประจำเดือนจะมา ดังนั้นวิธีดีที่สุดต้องเริ่มกินยาก่อนวันที่คาดว่ามีประจำเดือนประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนให้ทัน หากกินยาเพื่อเลื่อนในวันที่มีประจำเดือนแล้ว หรือก่อนมีประจำเดือนเพียง 2-3 วัน อาจจะไม่ได้ผล เนื่องจากธรรมชาติรู้ว่าไม่มีการฝังตัวอ่อน ร่างกายจึงเริ่มกระบวนการสร้างประจำเดือนไปตามปกติ โดยการกินยาต้องกินทุกวันจนกว่าต้องการให้มีประจำเดือนอีกครั้งจึงหยุดกินยา ยาเลื่อนประจำเดือนทำงานอย่างไร?ผู้หญิงทุกๆ คนที่ถึงวัยเจริญพันธุ์จะมีเลือดออกจากช่องคลอดหรือประจำเดือน ในทุกๆ 28-30 วัน โดยหลังจากมีประจำเดือนแล้วกระบวนการในร่างกายจะทำการคัดไข่เตรียมไว้จนไปถึงกลางรอบเดือน สำหรับผู้ที่มีรอบเดือนสม่ำเสมอ 28-30 วัน ประมาณวันที่ 14-15 นับจากการมีประจำเดือนวันแรก จะเป็นวันตกไข่ ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (progesterone) ขึ้นมา ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวขึ้นเพื่อรองรับตัวอ่อน ประมาณ 2 สัปดาห์ หากไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น สมองจะสั่งให้หยุดสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาก็จะหลุดออกมาเป็นประจำเดือน ยาเลื่อนประจำเดือน คืออะไรยาเลื่อนประจำเดือน หรือ ยาเลื่อนเมนส์ เป็นฮอร์โมนกลุ่มโปรเจสเตอโรน จึงช่วยทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาตัวนั้นไม่หลุดออกมา สำหรับผู้ที่ต้องการเลื่อนประจำเดือน ต้องรู้วันที่มีประจำเดือนของตนเองที่แน่นอน เช่น ประจำเดือนมาทุกๆ วันที่ 29 และมาเป็นประจำ 2-3 วัน แสดงว่าไข่ตกประมาณวันที่ 14-15 ดังนั้นหากอยากเลื่อนประจำเดือนออกไปก็ต้องทำให้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนยังคงอยู่ โดยการบังคับธรรมชาติให้สร้างฮอร์โมนมาในช่วงกลางรอบเดือน ซึ่งทำได้ด้วยการกินฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเข้าไป ตามจำนวนวันที่ต้องการเลื่อน จากนั้นจึงค่อยหยุดกินยา ซึ่งทันทีที่หยุดยา เยื่อบุโพรงมดลูกก็จะหลุดออกมาเป็นประจำเดือน เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการใช้ ยาเลื่อนประจำเดือน
แม้ยาเลื่อนประจำเดือนจะไม่มีผลร้ายต่อร่างกาย แต่การใช้ยานาน ๆ หรือบ่อยมากเกินไป อาจทำให้ระบบการมีประจำเดือนเกิดความสับสน และต้องใช้เวลาเพื่อปรับสภาพร่างกายสู่ภาวะปกติ ดังนั้นจึงควรใช้ยาเพื่อเลื่อนประจำเดือนเท่าที่จำเป็นเท่านั้น หากมีอาการผิดปกติ หรือไม่แน่ใจเกี่ยวกับการมีประจำเดือนให้ปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อหาสาเหตุ รับคำแนะนำและการรักษาอย่างถูกต้อง ในปัจจุบันมีวิธีการคุมกำเนิดให้เลือกใช้อยู่หลายวิธี การฝังยาคุมกำเนิด เป็นหนึ่งในวิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพสูง ขั้นตอนไม่ยุ่งยากและยังสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เป็นระยะเวลานาน เมื่อเทียบกับการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น กินยาคุมกำเนิด ฉีดยาคุมกำเนิด ใส่ห่วงคุมกำเนิด แปะแผ่นยาคุมกำเนิด ใส่ถุงยางอนามัย การนับวัน และการหลั่งภายนอก จึงทำให้ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในผู้ที่ยังไม่พร้อมตั้งครรภ์การฝังยาคุมกำเนิดดีอย่างไร? เหมาะกับใคร? ตัวยาสำคัญและการออกฤทธิ์รวมถึงประสิทธิภาพในป้องกันการตั้งครรภ์ ผลไม่พึงประสงค์ต่างๆหรือ ข้อดี-ข้อเสียต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจเลือกคุมกำเนิดด้วยวิธีฝังยาคุมกำเนิด ติดตามอ่านได้ในบทความนี้สารบัญ ฝังยาคุมกำเนิด1. ยาฝังคุมกำเนิด คืออะไร?2. ยาฝังคุมกำเนิด มีกี่ประเภท?3. อาการต้องสงสัย โรคหัวใจ4. ใครบ้างที่เสี่ยงโรคหัวใจ5. จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคหัวใจ6. วิธีรักษาโรคหัวใจยาฝังคุมกำเนิด คืออะไร ?ยาฝังคุมกำเนิด (Contraceptive Implant) คือ วิธีคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพสูง ที่มีการใช้มานานแล้วเกือบ 40 ปี สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของตัวยา โดยตัวยาสำคัญที่ใช้ จะเป็นฮอร์โมนในกลุ่มโปรเจสติน (Progestin) เช่น เลโวนอร์เจสเตรล(Levonorgestrel) และเอโทโนเจสเตรล (Etonogestrel)ยาฝังคุมกำเนิดคืออะไร?ยาฝังคุมกำเนิด มี 3 ประเภท1. ยาฝังคุมกำเนิดชนิด 6 หลอดลักษณะเป็นแคปซูลซิลิโคนขนาด 2.4 มิลลิเมตร x 34 มิลลิเมตร แต่ละแท่งมีตัวยาเลโวนอร์เจสเตรล 36 มิลลิกรัม ใช้คุมกำเนิดนาน 5 ปีเช่น Norplant (นอร์แพลนท์) แต่เนื่องจากการฝังยาและเอาออก ใช้เวลานานและมีรอยแผลขนาดเล็ก ทำให้ไม่ค่อยได้รับความนิยมและยกเลิกใช้ไป2. ยาฝังคุมกำเนิดชนิด 2 หลอดลักษณะเป็นหลอดซิลิโคนขนาด 2.5 มิลลิเมตร x 43 มิลลิเมตร สามารถออกฤทธิ์คุมกำเนิดได้นาน 3-5 ปี แต่ละแท่งจะมีเลโวนอร์เจสเตรล75 มิลลิกรัม เช่น Jadelle (จาเดลล์) แม้การฝังยาและเอาออกจะมีรอยแผลขนาดเล็กเช่นเดียวกัน แต่ด้วยระยะเวลาที่สามารถคุมกำเนิดได้นานถึง 5 ปี จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น3. ยาฝังกำเนิดชนิด 1 หลอดลักษณะเป็นแท่งซิลิโคนขนาด 2 มิลลิเมตร x 40 มิลลิเมตร สามารถออกฤทธิ์คุมกำเนิดได้นาน 3 ปี มี เอโทโนเจสเตรล 68 มิลลิกรัม เช่น Implanon(อิมพลานอน) มาพร้อมอุปกรณ์สำหรับการฝังหลอดยา ทำให้ทำได้สะดวกขึ้นมาก ไม่ต้องมีรอยแผลผ่า และเมื่อครบระยะเวลาที่กำหนดก็สามารถถอดออกได้โดยง่าย มีรอยแปลขนาดเล็กเท่านั้น และฝังแท่งใหม่เข้าไปได้เลยยาคุมกำเนิดชนิดฝังเหมาะกับใคร ?
ข้อควรรู้ : ผู้ที่เหมาะสำหรับกับการการฝังยาคุม ยังมีข้อจำกัดบางประการดังนี้ผู้ต้องการฝังยาคุมจะสามารถฝังได้ภายใน 5 แรกของการมีประจำเดือนหลังคลอด 4-6 สัปดาห์ หรือ หลังแท้งบุตรธรรมชาติทันที หรือ 2-3 สัปดาห์ การออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ของยาคุมกำเนิดชนิดฝังตัวยาเลโวนอร์เจสเตรล หรือเอโทโนเจสเตรล ซึ่งเป็นตัวยาสำคัญที่ปล่อยจากแท่งยาอย่างต่อเนื่องและออกฤทธิ์ ดังนี้
|