ก นยาค ลท ม ผลต อการต งท องหร อไม

ยาเลื่อนประจำเดือน เป็นทางออกของสาว ๆ ที่ไม่อยากให้การมีประจำเดือนมาเป็นเรื่องกวนใจเพราะหลายครั้งที่ขอเลื่อนแผนเที่ยว ขยับแล้วขยับอีกก็ไม่ลงตัว การหันไป “เลื่อนประจำเดือน” จึงเป็นทางออกที่ดีกว่า

Show

วิธีใช้ยาเลื่อนประจำเดือน

ด้วยธรรมชาติของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ ก่อนประจำเดือนจะมา ดังนั้นวิธีดีที่สุดต้องเริ่มกินยาก่อนวันที่คาดว่ามีประจำเดือนประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนให้ทัน หากกินยาเพื่อเลื่อนในวันที่มีประจำเดือนแล้ว หรือก่อนมีประจำเดือนเพียง 2-3 วัน อาจจะไม่ได้ผล เนื่องจากธรรมชาติรู้ว่าไม่มีการฝังตัวอ่อน ร่างกายจึงเริ่มกระบวนการสร้างประจำเดือนไปตามปกติ โดยการกินยาต้องกินทุกวันจนกว่าต้องการให้มีประจำเดือนอีกครั้งจึงหยุดกินยา

ยาเลื่อนประจำเดือนทำงานอย่างไร?

ผู้หญิงทุกๆ คนที่ถึงวัยเจริญพันธุ์จะมีเลือดออกจากช่องคลอดหรือประจำเดือน ในทุกๆ 28-30 วัน โดยหลังจากมีประจำเดือนแล้วกระบวนการในร่างกายจะทำการคัดไข่เตรียมไว้จนไปถึงกลางรอบเดือน สำหรับผู้ที่มีรอบเดือนสม่ำเสมอ 28-30 วัน ประมาณวันที่ 14-15 นับจากการมีประจำเดือนวันแรก จะเป็นวันตกไข่ ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (progesterone) ขึ้นมา ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวขึ้นเพื่อรองรับตัวอ่อน ประมาณ 2 สัปดาห์ หากไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น สมองจะสั่งให้หยุดสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาก็จะหลุดออกมาเป็นประจำเดือน

ยาเลื่อนประจำเดือน คืออะไร

ยาเลื่อนประจำเดือน หรือ ยาเลื่อนเมนส์ เป็นฮอร์โมนกลุ่มโปรเจสเตอโรน จึงช่วยทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาตัวนั้นไม่หลุดออกมา สำหรับผู้ที่ต้องการเลื่อนประจำเดือน ต้องรู้วันที่มีประจำเดือนของตนเองที่แน่นอน เช่น ประจำเดือนมาทุกๆ วันที่ 29 และมาเป็นประจำ 2-3 วัน แสดงว่าไข่ตกประมาณวันที่ 14-15 ดังนั้นหากอยากเลื่อนประจำเดือนออกไปก็ต้องทำให้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนยังคงอยู่ โดยการบังคับธรรมชาติให้สร้างฮอร์โมนมาในช่วงกลางรอบเดือน ซึ่งทำได้ด้วยการกินฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเข้าไป ตามจำนวนวันที่ต้องการเลื่อน จากนั้นจึงค่อยหยุดกินยา ซึ่งทันทีที่หยุดยา เยื่อบุโพรงมดลูกก็จะหลุดออกมาเป็นประจำเดือน

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการใช้ ยาเลื่อนประจำเดือน

  • สำหรับผู้ที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือไม่สามารถคาดเดาวันที่จะมีประจำเดือน การรับประทายาเลื่อนประจำเดือนมักไม่ได้ผล เนื่องจากไม่ทราบวันตกไข่ที่แน่ชัด
  • ข้อควรระวังในการกินยาเลื่อนประจำเดือน เนื่องจากยาเลื่อนประจำเดือนเป็นกลุ่มฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน แม้ว่าที่ผ่านมายังไม่พบว่ามีผลต่อการเกิดมะเร็งหรือเนื้องอกในมดลูกแต่อย่างใด ทำให้สามารถกินยาเลื่อนประจำเดือนได้หลายวันและหลายๆ ครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม หากใช้ยานานเกินไประบบร่างกายอาจเกิดความสับสน ส่งผลให้อาจต้องใช้เวลานานเพื่อปรับตัวกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ยาเกิน 1 สัปดาห์และควรใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น
  • ในผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติ และยังไม่ทราบว่าเลือดนั้นเป็นประจำเดือนหรือไม่ หรือมีสาเหตุจากอะไร ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาก้อนเนื้อหรือมะเร็งและสาเหตุที่แน่ชัด เนื่องจากการกินยาเลื่อนประจำเดือนอาจบดบังอาการของโรคได้
  • กรณีที่ไม่ทราบว่าตั้งครรภ์ การกินยาเพื่อเลื่อนประจำเดือนยังถือว่าปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์ เนื่องจากขณะท้องร่างกายจะสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ เพื่อรองรับตัวอ่อน พอมีการฝังตัวฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นยาเลื่อนเมนส์จึงไม่มีผลต่อการตั้งครรภ์
  • ผู้ที่กินยาคุมเป็นประจำสม่ำเสมอ ไม่จำเป็นต้องกินยาเพื่อเลื่อนประจำเดือน แต่สามารถเลื่อนประจำเดือนได้โดยกินยาคุมกำเนิดที่กินเป็นประจำต่อไป หากหมดแผงก็สามารถเริ่มกินแผงใหม่ได้ต่อเนื่อง ไปจนกว่าต้องการให้มีประจำเดือนจึงหยุดกินยาคุมนั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้ได้กับยาเม็ดคุมกำเนิดมาตรฐานที่มี 21 เม็ด แต่หากเป็นแบบ 28 เม็ด จะมีตัวฮอร์โมนเพียง 21 เม็ด และเป็นเม็ดแป้ง 7 เม็ด วิธีกินคือทิ้งเม็ดแป้งและนำยาแผงใหม่มากินต่อจาก 21 เม็ด ทั้งนี้ผู้ที่กินยาคุมกำเนิดอยู่แล้วไม่ควรกินยาเลื่อนประจำเดือน ในทางกลับกันยาเลื่อนประจำเดือนนั้นไม่ใช้ทดแทนยาคุมกำเนิด เนื่องจากไม่มีฤทธิ์ในการป้องกันการตั้งครรภ์เช่นกัน

แม้ยาเลื่อนประจำเดือนจะไม่มีผลร้ายต่อร่างกาย แต่การใช้ยานาน ๆ หรือบ่อยมากเกินไป อาจทำให้ระบบการมีประจำเดือนเกิดความสับสน และต้องใช้เวลาเพื่อปรับสภาพร่างกายสู่ภาวะปกติ ดังนั้นจึงควรใช้ยาเพื่อเลื่อนประจำเดือนเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

หากมีอาการผิดปกติ หรือไม่แน่ใจเกี่ยวกับการมีประจำเดือนให้ปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อหาสาเหตุ รับคำแนะนำและการรักษาอย่างถูกต้อง

ในปัจจุบันมีวิธีการคุมกำเนิดให้เลือกใช้อยู่หลายวิธี การฝังยาคุมกำเนิด เป็นหนึ่งในวิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพสูง ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก

และยังสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เป็นระยะเวลานาน เมื่อเทียบกับการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น กินยาคุมกำเนิด ฉีดยาคุมกำเนิด ใส่ห่วงคุมกำเนิด แปะแผ่นยาคุมกำเนิด ใส่ถุงยางอนามัย การนับวัน และการหลั่งภายนอก จึงทำให้ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในผู้ที่ยังไม่พร้อมตั้งครรภ์

การฝังยาคุมกำเนิดดีอย่างไร? เหมาะกับใคร? ตัวยาสำคัญและการออกฤทธิ์รวมถึงประสิทธิภาพในป้องกันการตั้งครรภ์ ผลไม่พึงประสงค์ต่างๆ

หรือ ข้อดี-ข้อเสียต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจเลือกคุมกำเนิดด้วยวิธีฝังยาคุมกำเนิด ติดตามอ่านได้ในบทความนี้

สารบัญ ฝังยาคุมกำเนิด

1. ยาฝังคุมกำเนิด คืออะไร?

2. ยาฝังคุมกำเนิด มีกี่ประเภท?

3. อาการต้องสงสัย โรคหัวใจ

4. ใครบ้างที่เสี่ยงโรคหัวใจ

5. จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคหัวใจ

6. วิธีรักษาโรคหัวใจ

ยาฝังคุมกำเนิด คืออะไร ?

ยาฝังคุมกำเนิด (Contraceptive Implant) คือ วิธีคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพสูง ที่มีการใช้มานานแล้วเกือบ 40 ปี สามารถป้องกัน

การตั้งครรภ์ได้ 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของตัวยา โดยตัวยาสำคัญที่ใช้ จะเป็นฮอร์โมนในกลุ่มโปรเจสติน (Progestin) เช่น เลโวนอร์เจสเตรล

(Levonorgestrel) และเอโทโนเจสเตรล (Etonogestrel)

ก นยาค ลท ม ผลต อการต งท องหร อไม

ยาฝังคุมกำเนิดคืออะไร?

ยาฝังคุมกำเนิด มี 3 ประเภท

1. ยาฝังคุมกำเนิดชนิด 6 หลอด

ลักษณะเป็นแคปซูลซิลิโคนขนาด 2.4 มิลลิเมตร x 34 มิลลิเมตร แต่ละแท่งมีตัวยาเลโวนอร์เจสเตรล 36 มิลลิกรัม ใช้คุมกำเนิดนาน 5 ปี

เช่น Norplant (นอร์แพลนท์) แต่เนื่องจากการฝังยาและเอาออก ใช้เวลานานและมีรอยแผลขนาดเล็ก ทำให้ไม่ค่อยได้รับความนิยมและยกเลิกใช้ไป

2. ยาฝังคุมกำเนิดชนิด 2 หลอด

ลักษณะเป็นหลอดซิลิโคนขนาด 2.5 มิลลิเมตร x 43 มิลลิเมตร สามารถออกฤทธิ์คุมกำเนิดได้นาน 3-5 ปี แต่ละแท่งจะมีเลโวนอร์เจสเตรล

75 มิลลิกรัม เช่น Jadelle (จาเดลล์) แม้การฝังยาและเอาออกจะมีรอยแผลขนาดเล็กเช่นเดียวกัน แต่ด้วยระยะเวลาที่สามารถคุมกำเนิด

ได้นานถึง 5 ปี จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

3. ยาฝังกำเนิดชนิด 1 หลอด

ลักษณะเป็นแท่งซิลิโคนขนาด 2 มิลลิเมตร x 40 มิลลิเมตร สามารถออกฤทธิ์คุมกำเนิดได้นาน 3 ปี มี เอโทโนเจสเตรล 68 มิลลิกรัม เช่น Implanon

(อิมพลานอน) มาพร้อมอุปกรณ์สำหรับการฝังหลอดยา ทำให้ทำได้สะดวกขึ้นมาก ไม่ต้องมีรอยแผลผ่า และเมื่อครบระยะเวลาที่กำหนดก็สามารถถอด

ออกได้โดยง่าย มีรอยแปลขนาดเล็กเท่านั้น และฝังแท่งใหม่เข้าไปได้เลย

ยาคุมกำเนิดชนิดฝังเหมาะกับใคร ?

  • ผู้ที่ต้องการวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง
  • ผู้ที่คิดจะคุมกำเนิดในระยะเวลานาน ๆ 3-5 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่ชอบลืมรับประทานยาคุมกำเนิดบ่อย ๆ
  • ผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนจากการคุมกำเนิดรูปแบบอื่น เช่น คุณแม่ให้นมบุตรสามารถใช้ได้

ก นยาค ลท ม ผลต อการต งท องหร อไม

ข้อควรรู้ : ผู้ที่เหมาะสำหรับกับการการฝังยาคุม ยังมีข้อจำกัดบางประการดังนี้

ผู้ต้องการฝังยาคุมจะสามารถฝังได้ภายใน 5 แรกของการมีประจำเดือน

หลังคลอด 4-6 สัปดาห์ หรือ หลังแท้งบุตรธรรมชาติทันที หรือ 2-3 สัปดาห์

การออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ของยาคุมกำเนิดชนิดฝัง

ตัวยาเลโวนอร์เจสเตรล หรือเอโทโนเจสเตรล ซึ่งเป็นตัวยาสำคัญที่ปล่อยจากแท่งยาอย่างต่อเนื่องและออกฤทธิ์ ดังนี้

  • ยับยั้งการตกไข่ซึ่งเป็นกลไกที่สำคัญในการป้องกันการตั้งครรภ์### ลดปริมาณมูกปากมดลูกและทำให้มูกปากมดลูกข้นหนืดจึงขัดขวางการเคลื่อนที่ของตัวอสุจิ### ลดการโบกพัดของขนอ่อนในท่อนำไข่### ลดขนาดและลดจำนวนต่อม ซึ่งทำหน้าที่สร้างสารคัดหลั่งที่เยื่อบุมดลูก

    ขั้นตอนการยาฝังคุมกำเนิด ใช้อย่างไร ?

    การเตรียมตัวฝังยาคุมกำเนิด ต้องมั่นใจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์อยู่และผ่านการตรวจการตั้งครรภ์แล้ว เพราะยาที่ฝังจะมีผลในทันที โดยผู้ที่ต้องการคุมกำเนิด สามารถเข้ารับการฝังยาคุมกำเนิดในช่วง 5 วันแรกของการมีประจำเดือน หรือหลังแท้งบุตรธรรมชาติทันทีหรือ 2-3 สัปดาห์ หรือหลังคลอด 4-6 สัปดาห์ มีขั้นตอน ดังนี้

    • แพทย์จะทำความสะอาดผิวหนังด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ### ฉีดยาชาเฉพาะที่ไปที่บริเวณใต้ท้องแขนที่จะฝังยาเข้าไป### ใช้เข็มเปิดแผลที่ท้องแขนขนาด 0.3 เซนติเมตร### สอดใส่แท่งที่มีหลอดยาบรรจุอยู่เข้าไปในเข็มนำ### เมื่อหลอดยาเข้าไปใต้ผิวหนังเรียบร้อยแล้ว นำเข็มและแท่งนำหลอดยาออก### ปิดแผลด้วยพลาสเตอร์เล็ก ๆ ตามด้วยผ้าพันแผลพันทับอีกชั้นหนึ่ง### แพทย์จะให้ยาแก้ปวดกลับไปรับประทาน หากมีอาการปวดแผล

      การฝังยาคุมกำเนิดใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 10-20 นาที หลังฝังยาคุมกำเนิดเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะลองจับบริเวณที่ฝัง เพื่อตรวจสอบตำแหน่งของยา

      ที่ฝังเข้าไป หรือหากมีความจำเป็นอาจต้องทำอัลตราซาวด์หรือ X-Ray เพื่อยืนยันว่ายาฝังคุมกำเนิดได้ถูกฝังเอาไว้อย่างถูกต้อง

      การดูแลตัวเองหลังฝังยาคุม

      • หลัง 24 ชั่วโมง สามารถนำผ้าพันแผลออกได้ แต่ยังคงเหลือพลาสเตอร์ปิดแผลเอาไว้ ### หลัง 3-5 วัน นำพลาสเตอร์ปิดแผลออกได้ ระวังไม่ให้แผลเปียกน้ำ ### งดการมีเพศสัมพันธ์หรือให้คุมกำเนิดด้วยการใช้ถุงยางอนามัยเป็นเวลา 7 วัน ### ครบ 7 วัน แพทย์จะนัดมาดูแผลอีกครั้ง ### เมื่อครบกำหนด 3-5 ปี มาเปลี่ยนยาคุมกำเนิดแท่งเดิมออก เพราะประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดจะลดลงและฝังยาคุมกำเนิดแท่งใหม่

        ข้อควรระวังหลังรับยาฝังคุมกำเนิด

        ผลไม่พึงประสงค์ของยาคุมกำเนิดชนิดฝัง อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งในบริเวณที่ฝังยาและระบบต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งหากมีการใช้ยาอื่นร่วมด้วย ดังนี้

        1. ผลไม่พึงประสงค์บริเวณที่ฝังแท่งยา

        อาการที่พบ เช่น เจ็บ บวม คัน ระคายผิว รอยช้ำ เกิดการติดเชื้อและแผลเป็น ผิวหนังฝ่อ เกิดพังผืดรอบแท่งยาโดยเฉพาะหากมีการติดเชื้อ

        นอกจากนี้หากฝังแท่งยาไม่ถูกต้องอาจเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดและเส้นประสาท การฝังแท่งยาตื้นเกินไปอาจทำให้รู้สึกเจ็บ

        รบกวนการรับความรู้สึกที่ผิวหนังบริเวณที่ฝังแท่งยาและเกิดผิวหนังอักเสบโดยไม่มีการติดเชื้อ

        ส่วนการฝังแท่งยาใต้ผิวหนังลึกจะเสี่ยงต่อการเคลื่อนที่ของแท่งยาไปตำแหน่งอื่น ทำให้ตัวยาปล่อยสู่กระแสเลือดมากขึ้น

        และยังเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายจากแท่งยาได้เชื้อ

        2. ผลไม่พึงประสงค์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้น

        ในช่วง 2-3 เดือนแรก อาจเกิดผลไม่พึงประสงค์ เช่น ประจำเดือนมาผิดปกติ, ปวดศีรษะ, เวียนศีรษะ, เจ็บคัดเต้านม, คลื่นไส้, ปวดท้อง, อารมณ์แปรปรวน, ซึมเศร้า, ช่องคลอดอักเสบและแห้ง, สิว, ฝ้า, บวมน้ำ, น้ำหนักตัวเพิ่ม เมื่อเวลาผ่านไป ผลข้างเคียงเหล่านี้จะหายไปเอง แต่ถ้าหากพบว่ามีอาการต่อไปหรือพบว่ามีผลข้างเคียงอื่น ๆ เกิดขึ้น ควรไปพบแพทย์

        3. ผลไม่พึงประสงค์จากการใช้ร่วมกับยาอื่น

        ยาฝังคุมกำเนิดอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่ใช้ร่วมกัน ซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มการสร้างเอนไซม์ที่เปลี่ยนแปลงยาฮอร์โมนในกลุ่มโพรเจสติน ไปเป็นสารอื่นที่ไม่มีฤทธิ์ ทำให้ระดับยาในเลือดลดลง ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดลงได้ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่าใช้ยาอะไรอยู่เป็นประจำ

        ข้อดี-ข้อเสีย หลังรับยาฝังคุมกำเนิด

        ก นยาค ลท ม ผลต อการต งท องหร อไม

        ข้อดี-ข้อเสียฝั่งยาคุมกำเนิด

        ข้อดี ### ประสิทธิภาพสูง ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของตัวยา ### อัตราความล้มเหลวในการป้องกันการตั้งครรภ์ต่ำ ไม่เกิน 0.1% ### สะดวกกว่าการนับวันตกไข่ กินยาคุมกำเนิด หรือฉีดยาคุมกำเนิด ### ประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว เมื่อเทียบกับระยะเวลาคุมกำเนิด ### ไม่มีฮอร์โมนในกลุ่มเอสโตเจน จึงปลอดจากภาวะไม่พึงประสงค์ของเอสโตรเจน ความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง, ### ภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดดำ และใช้ได้ในผู้ที่ไม่สามารถใช้ยาที่มีเอสโตรเจน ### ประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว เมื่อเทียบกับระยะเวลาคุมกำเนิด

        ข้อเสีย ### ไม่สามารถเริ่มใช้หรือหยุดใช้ด้วยตนเอง การฝังแท่งยาและการนำแท่งยาออก ต้องทำโดยบุคลากรทางการแพทย์ ### อาจเกิดผลไม่พึงประสงค์ เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ, ปวดศีรษะ, เวียนศีรษะ, เจ็บคัดเต้านม, คลื่นไส้, ปวดท้อง, อารมณ์แปรปรวน, ซึมเศร้า, รบกวนความรู้สึกทางเพศ, ช่องคลอดอักเสบและแห้ง, เกิดสิว ฝ้า, บวมน้ำ, น้ำหนักตัวเพิ่ม ### หากฝังไม่ถูกวิธี อาจเกิดอันตรายต่อหลอดเลือดและเส้นประสาท ### หากฝังยาลึกเกินไป อาจเกิดการเคลื่อนที่ผิดตำแหน่ง กระทบการออกฤทธิ์ของยา และเกิดอันตรายจากแท่งยาได้ ### อาจเกิดอาการข้างเคียง เช่น เจ็บ, บวม, ช้ำ, ระคายเคือง, ติดเชื้อ, ผิวหนังฝ่อ และเกิดพังผืดรอบแท่งยา ### ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ต่างจากการใช้ถุงยางอนามัย

        นำแท่งยาคุมกำเนิดชนิดฝังออกได้เมื่อไร ? ### ยุติการคุมกำเนิด เมื่อต้องการตั้งครรภ์ ### เปลี่ยนวิธีการคุมกำเนิด เมื่อต้องการเปลี่ยนไปใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นแทน ### ครบกำหนดระยะเวลา ตัวยาคุมกำเนิดแบบฝังอยู่ได้นานประมาณ 3-5 ปี ขี้นอยู่กับชนิดของตัวยา หากต้องการคุมกำเนิดด้วยวิธีฝังยาคุมกำเนิดต่อ ต้องนำยาคุมกำเนิดแท่งเดิมออกและฝังยาคุมกำเนิดแท่งใหม่ ### แท่งยาคุมชำรุด เกิดการหักของแท่งยาคุม ทำให้ยาถูกปล่อยออกมาเร็วเกินจนเหลือยาไม่เพียงพอที่จะป้องกันการตั้งครรภ์ในระยะเวลาที่กำหนด ต้องนำยาคุมกำเนิดแท่งเดิมออกและฝังยาคุมกำเนิดแท่งใหม่ ### เกิดผลไม่พึงประสงค์ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด (ischemic heart disease) หรือสมองขาดเลือด (stroke) หลังการฝังยา, ภาวะลิ่มเลือดหลุดอุดหลอดเลือดดำ (venous thromboembolism) ทั้งภาวะลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดดำลึก (deep vein thrombosis) และภาวะลิ่มเลือดอุดตันในปอด (pulmonary embolism), ความดันโลหิตสูงจนควบคุมไม่ได้, โรคดีซ่านหรือภาวะเหลือง (jaundice), โรคไมเกรนที่มีอาการเตือน (migraine with aura) และภาวะซึมเศร้าอย่างชัดเจน ### แท่งยาคุมกำเนิดเคลื่อนที่ หากยาฝังคุมกำนิดเคลื่อนที่จนคลำไม่ได้ ต้องตรวจหาตำแหน่ง เช่น อัลตราซาวน์, X-Ray, CT Scan แล้วนำยาคุมกำเนิดแท่งเดิมออกและฝังยาคุมกำเนิดแท่งใหม่ เพราะการที่ยาเคลื่อนที่ ทำให้ยาถูกปล่อยออกมาเร็วเกินจนเหลือยาไม่เพียงพอที่จะป้องกันการตั้งครรภ์ในระยะเวลาที่กำหนด และเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อเนื้อเยื่อหรืออวัยวะ

        ทั้งนี้ การนำแท่งยาคุมกำเนิดออก ไม่ควรนำออกเอง ต้องนำออกโดยบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น

        คำถามที่พบบ่อย

        1. ยาฝังคุมกำเนิด แพงไหม ?

        ยาฝังคุมกำเนิด มีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับระยะเวลาคุมกำเนิด ซึ่ง จะแตกต่างกันแล้วแต่สถานที่รับบริการ

        ก นยาค ลท ม ผลต อการต งท องหร อไม

        แพ็กเกจและโปรโมชั่นฝังยาคุมกำเนิด

        แผนกสูติ-นรีเวชกรรมโรงพยาบาลพีเอ็มจี ให้บริการ วางแผนครอบครัว มีบริการคุมกำเนินดังนี้ ยาเม็ดคุมกำเนิด, ยาฉีดคุมกำเนิด, ยาฝังคุมกำเนิด

        โดยทีมสูตินรีแพทย์และพยาบาลวิชาชีพที่มีความเชี่ยวชาญ ทางโรงพยาบาลพร้อมดูแลและให้คำปรึกษา

        2. ขั้นตอนการฝังยาคุมเจ็บไหม ?

        การฝังยาคุมกำเนิด อาจรู้สึกเจ็บ แต่เป็นความเจ็บแบบทนได้ เนื่องจากต้องฝังบริเวณท้องแขนด้านใน แต่จะมีอุปกรณ์พิเศษในการใส่ยาเข้าไป

        มีขนาดรอยแผลไม่ถึง 1 เซนติเมตร และจะมีการฉีดยาชาก่อนทำ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องความเจ็บ หรืออาจมีอาการข้างเคียง เช่น รอยช้ำ ปวด ตึงรั้งบริเวณท้องแขน อาการเหล่านี้เป็นปกติสามารถหายได้เอง หรือรับประทานแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้

        3. หลังยาฝังคุมกำเนิด มีเพศสัมพันธ์ ได้เมื่อไหร่ ?

        สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ หลังฝังยาคุมกำเนิดเป็นเวลา 7 วัน

        4. หลังยาฝังคุมกำเนิด แล้วตั้งครรภ์เกิดจากสาเหตุใด ?

        ก นยาค ลท ม ผลต อการต งท องหร อไม

        ยาฝังคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพสูงในการตั้งครรภ์ แต่ก็พบว่ามี 0.05-0.1% ที่เกิดการตั้งครรภ์ หรือ 1 ใน 1,000 คน สาเหตุอาจเกิดได้จาก แท่งยาคุมชำรุด เกิดการหัก หรือเคลื่อนที่ เปลี่ยนตำแหน่ง สาเหตุเหล่านี้ ทำให้ยาถูกปล่อยออกมาและดูดซึมเข้ากระแสเลือดเร็วเกินไป จนไม่เหลือเพียงพอที่จะป้องกันการตั้งครรภ์ในระยะเวลาที่กำหนด ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ ซึ่งหากเกิดการตั้งครรภ์จะมีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้มากกว่าปกติ

        สรุป

        การฝังยาคุมกำเนิดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง ปัจจุบันมีใช้อยู่ 2 ประเภท สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของตัวยา โดยแพทย์จะฝังยาคุมกำเนิดไว้ที่ท้องแขนด้านใน เหมาะกับผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดในระยะเวลานาน ด้วยวิธีที่ปลอดภัย สะดวก เห็นผลเร็ว และมีความคุ้มค่า หากต้องการตั้งครรภ์ เพียงแค่นำยาฝังคุมกำเนิดออก ก็มีโอกาสกลับมาตั้งครรภ์ได้ตามปกติ

        กินยาคุมแบบ28เม็ดกี่วันถึงมีเพศสัมพันธุ์ได้

        โดยทั่วไปเมื่อเริ่มรับประทานยาคุมกำเนิดในวันอื่นใดที่ไม่ใช่วันแรกที่มีประจำเดือน เพื่อความปลอดภัยแนะนำให้ใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย เช่น การใช้ถุงยางอนามัย เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 7 วัน แต่หากเริ่มรับประทานยาคุมกำเนิดในวันแรกที่มีประจำเดือนอาจไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยก็ได้ ดังนั้นในกรณีดังกล่าวการ ...

        กินยาคุมมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง

        ยาคุมกำเนิดมีผลข้างเคียง ดังนี้ คลื่นไส้อาเจียน, มีเลือดออกผิดปกติ, อารมณ์แปรปรวน และมีหลอดเลือดอุดตัน อาการนี้มักจะเกิดในคนที่อายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป หรือในคนที่สูบบุหรี่ ฉะนั้นแพทย์จะไม่แนะนำให้คนอายุมากกินยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม

        กินยาคุมแบบ 21 กี่วัน ถึงมี เพศ สั ม พัน ได้

        ยาคุมกำเนิดแบบแผงจำนวน 21 เม็ดนั้นเป็นการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงมาก หากได้กินติดต่อกันทุกวันจนหมดแผงยา โดยการเริ่มยาควรเริ่มภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือนเพื่อให้สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ทันที หากเริ่มช่วงเวลาอื่น อาจจะต้องกินติดต่อกันให้ครบ 7 วันก่อนค่อยมีเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกันได้ หรือถ้ากินต่อแผงทันที (คือเว้น 7 ...

        กินยาคุมแผงที่ 2 วันแรกปล่อยในได้เลยไหม

        หากได้ทานยาคุมกำเนิดเป็นแผงที่ 2 แล้ว โดยได้ทานต่อเนื่องจากแผงแรก คือหากเป็นชนิดที่มี 21 เม็ด ได้เว้นระยะ 7 วันก่อนที่จะเริ่มทานแผงใหม่ หรือหากเป็นชนิดที่มี 28 เม็ด ได้ทานจนครบ 28 เม็ดแล้วเริ่มทานแผงใหม่ต่อทันที ยาคุมกำเนิดในแผงที่ 2 นี้ ก็จะสามารถออกฤทธิ์ในการป้องกันการตั้งครรภ์ต่อเนื่องมาจากแผงแรก ดังนั้น สามารถที่จะ ...