การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชิวิต เป็นลักษณะโดดเด่นของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักร์สัตว์ ที่ทำให้เผ่าพันธุ์อยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ การเคลื่อนที่ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการหาอาหาร การล่า การหนี และการผสมพันธุ์ ซึ่งเป็นพฤติกรรมพฤติกรรมสำหรับการดำรงชีวิตและเจริญเติบโตการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต แต่ละชนิดแตกต่างกันออกไป ตามโครงสร้างทางสรีรวิทยาและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนที่เข้าหาสิ่งเร้า (Stimuli) เพื่อตอบสนองต่อปัจจัยที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น แหล่งอาหาร แหล่งน้ำ แหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งสืบพันธุ์ และการเคลื่อนที่ออกห่างเพื่อหลีกหนีภัยอันตราย เช่น ศัตรูตามธรรมชาติ สารเคมี และความร้อน เป็นต้น การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต สามารถจำแนกออกเป็น 4 กลุ่ม ตามโครงสร้างทางสรีรวิทยาของสิ่งมีชีวิต ดังนี้ การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ในอาณาจักรโพรทิสตา (Kingdom Protista) คือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่มีระบบเนื้อเยื่อและโครงกระดูกเหมือนสัตว์ชั้นสูงชนิดอื่น ๆ ดังนั้น การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจึงจำเป็นต้องอาศัยโครงร่างค้ำจุนภายในเซลล์ที่เรียกว่า “ไซโทสเกเลตอน” (Cytoskeleton) ซึ่งประกอบด้วยเส้นใยโปรตีนจำนวนมาก เช่น ไมโครฟิลาเมนท์ (Microfilament) ที่ประกอบขึ้นจากโปรตีน 2 ชนิด ได้แก่ แอคติน (Actin) และไมโอซิน (Myosin) ทำหน้าที่คงรูปร่างไปพร้อมกับการกำหนดลักษณะการเคลื่อนไหว การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว มี 2 ลักษณะ คือ
การเคลื่อนที่ของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง มีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามปัจจัยการดำรงชีวิตและสภาพแวดล้อม เช่น
การเคลื่อนที่ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง สัตว์มีกระดูกสันหลังทุกชนิดมีระบบโครงกระดูกที่ทำหน้าที่เป็นทั้งโครงร่างค้ำจุนร่างกายและช่วยส่งเสริมการเคลื่อนที่ ซึ่งสัตว์มีกระดูกสันหลังทั้งที่อาศัยอยู่ในน้ำและบนบก ต่างมีลักษณะการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันออกไปตามปัจจัยการดำรงชีวิตและสภาพแวดล้อมของตนเช่นเดียวกัน การเคลื่อนไหวโดยอาศัยการไหลเวียนของไซโตพลาสซึม (cyclosis)
1. การเคลื่อนไหวโดยอาศัยการไหลเวียนของไซโตพลาสซึม (cyclosis) พบใน
การเคลื่อนไหวโดยอาศัยการไหลเวียนของไซโตพลาสซึม (cyclosis) เกิดจาก การหดตัวและคลายตัวของไมโครฟิลาเมนท์(microfilament) ซึ่งอยู่ไซโทพลาสซึม(microfilament = โปรตีน actin+ โปรตีน myosin มีการเลื่อนผ่านเข้าหากัน ทำให้เกิดการหดและคลายตัว ) 1. การเคลื่อนไหวของอะมีบา (amoeboid movement) ไมโครฟิลาเมนต์ หดและคลายตัว ( actin+ myosin เลื่อนเข้าหากัน) ไซโทพลาสซึมไหลไปในทิศทางที่ต้องการดันเยื้อหุ้มเซลล์ให้โป่งออกคล้ายเท้าเทียมยื่นออกมา เรียกว่า เท้าเทียม หรือ pseudopodium ไซโทพลาสซึมไหลไปในทิศทางที่ต้องการ เกิดการเคลื่อนที่ เรียกว่าการเคลื่อนที่แบบอะมีบา(amoeboid movement) 2. การเคลื่อนไหวโดยใช้แฟลกเจลลัม หรือ ซิเลีย
ซิเลีย(cilia)
เซลล์ที่เยื้อบุหลอดลมและที่ท่อนำไข่ของคน แฟลกเจลลัม (flagellum)
การเคลื่อนไหวของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ใช้กล้ามเนื้อกับโครงสร้างพิเศษช่วยในการเคลื่อนที่ ตัวอย่างการเคลื่อนไหวของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง 1. ไส้เดือนดิน (earth worm) - Phylum Annelida - ลำตัวมีลักษณะเป็นปล้อง - แต่ละปล้องมีโครงสร้างพิเศษ เรียก เดือย (setae) ยื่นออกมาจากด้านข้างของลำตัว การเคลื่อนไหวของไส้เดือนดินเกิดจาก
หากกล้ามเนื้อวงหดตัว กล้ามเนื้อตามยาวจะคลายตัวหากกล้ามเนื้อวงคลายตัว กล้ามเนื้อตามยาวจะคลายตัว**กล้ามเนื้อทั้ง 2 ชุดจะทำงานในสภาวะตรงข้าม เรียกการทำงานแบบสภาวะตรงข้ามว่า (antagonism)
2. พลานาเรีย (planaria) -Phylum Platyhelminthes -ภาวะปกติลอยที่ผิวน้ำ จะใช้ซิเลีย (cilia) -คืบคลานบนวัตถุใต้น้ำ โดยอาศัยกล้ามเนื้อ 3 ชุดคือ 1. กล้ามเนื้อวง (circular muscle) 2. กล้ามเนื้อตามยาว (longitudinal muscle) 3. กล้ามเนื้อบน-ล่าง (dorsoventral muscle)
3. แมงกะพรุน (jelly fish) -Phylum Coelenterata -การหดตัวของเนื้อเยื่อบริเวณขอบกระดิ่ง และเนื้อเยื่อบริเวณผนังลำตัว เกิดการเคลื่อนที่ -ลำตัวจะมีการเคลื่อนที่ตรงข้ามกับน้ำที่พ่น(อาศัยแรงดันน้ำในการเคลื่อนที่ hydrostatic 4. ไฮดรา (hydra) -Phylum Coelenterata -ส่วนใหญ่จะเกาะอยู่กับที่ (sessile animals) -อาจเคลื่อนที่โดยการ คืบคลาน ว่ายน้ำหรือแบบตีลังกา 5. หมึก (squid) -Phylum Mollusca -เคลื่อนที่โดยการหดตัวของกล้ามเนื้อ และพ่นน้ำออกทางท่อไซฟอน (อวัยวะเคลื่อนที่) -ลำตัวเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงข้ามกับน้ำที่พ่นออก -ครีบช่วยเคลื่อนที่โดยการกระพือน้ำ(อาศัยแรงดันน้ำหรือ hydrostatic pressure) 5. ดาวทะเล (starfish) - Phylum Echinodermata - เคลื่อนที่โดยอาศัยกล้ามเนื้อที่ทิวบ์ฟีต (tube feet) ซึ่งอยู่ด้านล่างของลำตัวและระบบหมุนเวียนของน้ำในร่างกาย - อาศัยแรงดันน้ำในการเคลื่อนที่ hydrostatic pressure 6. แมลง (insect) - Phylum Arthropoda - กล้ามเนื้อที่ยึดเปลือกหุ้มส่วนอก และกล้ามเนื้อตามยาวที่ยึดกับปีก จะมีการทำงานแบบสภาวะตรงข้ามกัน (antagonism)
- กล้ามเนื้อที่ยึดเปลือกหุ้มส่วนอกจะหดตัว (antagonism) - กล้ามเนื้อตามยาวจะคลายตัว
- กล้ามเนื้อที่ยึดเปลือกส่วนอกจะคลายตัว - กล้ามเนื้อตามยาวจะหดตัว การเคลื่อนที่ของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง - Phylum chordata เช่น นก แมว ปลา จระเข้ - มีโครงร่างแข็งอยู่ภายในร่างกาย (endoskeleton) - เกิดจากการทำงานของระบบประสาทกับกล้ามเนื้อ รวมทั้งการทำงานที่สัมพันธ์กันระหว่างกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อต่ออีกด้วย - การเต้นของหัวใจ การทำงานของปอด การบีบตัวของลำไส้ เป็นการเคลื่อนไหวของอวัยวะภายในของร่างกาย โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคน 1.1 กระดูกแกน (axial skeleton) ปกด. - กระดูกกะโหลก (skull) เป็นที่อยู่ของสมอง - กระดูกกะโหลกและกระดูกย่อยหลายชิ้นเชื่อมติดกัน - กระดุกสันหลัง (vertebral column) ช่วยค้ำจุนและรองรับน้ำหนัก กระดูกแต่ละข้อเชื่อมต่อด้วยกล้ามเนื้อและเอ็น - กระดูกซี่โครง (rib) มีหน้าที่ป้องกันอันตรายให้กับหัวใจ ปอด และอวัยวะภายในต่างๆ มีกล้ามเนื้อ 2 ชุดยึดติดระหว่างด้านนอกและด้านใน ซึ่งการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อทั้งสองจะช่วยในการหายใจ หมอนรองกระดูก อยู่ระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละข้อหมอนรองกระดูกมีหน้าที่รองและเชื่อมกระดูกสันหลังเพื่อป้องกันการเสียดสีถ้าเสื่อม จะไม่สามารถบิดตัวได้ 2. ข้อต่อ (joint) จุดหรือบริเวณที่กระดูกตั้งแต่ 2 หรือมากกว่า 2 ชิ้นขึ้นไปมาต่อกัน โดยส่วนของกระดูที่มาประกบกันนั้นเป็นกระดูกอ่อนแบ่งเป็น 2 ชนิดคือ 2.1 ข้อต่อที่เคลื่อนไหวไม่ได้ ได้แก่ข้อต่อกระดูกกะโหลกศีรษะ ซึ่งเรียกว่า suture 2.2 ข้อต่อที่เคลื่อนไหวได้ แบ่งเป็น 2.2.1 ข้อต่อแบบสไลด์ (gliding joint) - เคลื่อนไหวได้เล็กน้อย คล้ายงูเลื้อย - ข้อต่อกระดูกข้อมือ ข้อต่อกระดูกสันหลัง 2.2.2 ข้อต่อแบบบานพับ (hinge joint) - เคลื่อนไหวได้ทิศทางเดียวคล้ายบานพับ - ข้อศอก ข้อต่อบริเวณหัวเข่า ข้อต่อของนิ้วมือต่างๆ 2.2.3 ข้อต่อแบบเดือย (pivot joint) - ข้อต่อที่ทำให้ กระดูกชิ้นหนึ่งเคลื่อนที่ไปรอบๆแกนกระดูกอีกชิ้นหนึ่ง - ข้อต่อระหว่างกะโหลกศีรษะและกระดูกสันหลังสวนคอชิ้นแรก ทำให้ศีรษะหมุนไปมาได้ 2.2.4 ข้อต่อแบบลูกกลมในเบ้ากระดูก (ball and socket joint) - ข้อต่อมีลักษณะกลม (ball) อยู่ภายในแอ่ง (socket) - ข้อต่อมีการเคลื่อนไหวได้หลายทิศทางและคล่องมาก (แกว่งได้) - หัวของกระดูกต้นแขนกับกระดูกสะบัก หัวของกระดูกต้นขากับกระดูกเชิงกราน *** แต่ละข้อต่อจะมีกระดูกอ่อนและน้ำไขข้ออยู่ (กระดูกอ่อนที่ไขสันหลังเรียกหมอนรองกระดูก หากกระดูกอ่อนสึกกร่อน น้ำไขข้อลดลงจะทำให้ข้ออักเสบ เช่น ข่อเข่าเสื่อม ข่อสะโพกเสื่อม เป็นต้น) 3. เอ็น มีหน้าที่ - ยึดกระดูกและกล้ามเนื้อให้การยึดเกาะเหนียวแน่น แข็งแรง - เกิดการเคลื่อนที่อย่างมีประสิทธิภาพ - ป้องกันการสะเทือนได้ดี แบ่งเป็น 1. เอ็นยึดกระดูก หรือ เทนดอน (tendon) ยึดกล้ามเนื้อให้ติดกับกระดูก 2. เอ็นยึดข้อ หรือ ลิกาเมนท์ (ligament) ยึดกระดูกกับกระดูก (เอ็นร้อยหวาย ยึดระหว่างน่องกับกระดูกส้นเท้า) กล้ามเนื้อในร่างกาย จะมีการทำงานร่วมกันเป็นคู่ๆ ในสภาวะ ตรงข้าม คือ กล้ามเนื้อด้านหนึ่งหดตัว กล้ามเนื้อด้านตรงข้ามจะคลายตัวทำให้เกิด การเคลื่อนไหว |