มหาอำมาตย์เอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (21 ตุลาคม พ.ศ. 2417 – 7 สิงหาคม พ.ศ. 2463) พระนามเดิม พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นต้นราชสกุลรพีพัฒน์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 14 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาตลับ ทรงเป็นผู้วางรากฐานด้านกฎหมายในประเทศไทย จนได้รับพระสมัญญานามว่า พระบิดาแห่งกฎหมายไทย Show
ทางด้านชีวิตส่วนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ทรงเสกสมรสกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรพัทธ์ประไพ พระธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ แต่ทรงใช้ชีวิตคู่ร่วมกันเพียงไม่นานก็ทรงหย่าขาดจากกัน โดยหลังจากนั้นทรงรับหม่อมอ่อนมาเป็นหม่อมเอก และหลังจากนั้นทรงรับหม่อมมาเพิ่มอีก 2 ท่าน คือ หม่อมแดงและหม่อมราชวงศ์สอางค์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ สิ้นพระชนม์ ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2463 สิริพระชันษา 45 ปี 290 วัน พระประวัติ[แก้]ประสูติ[แก้]พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ประสูติเมื่อวันพุธ ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 11 ปีจอ จุลศักราช 1236 ตรงกับวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2417 มีพระนามเมื่อแรกประสูติว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 14 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระองค์ที่ 2 ในเจ้าจอมมารดาตลับ มีพระเชษฐภคินีคือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอัจฉรพรรณีรัชกัญญา เมื่อทรงพระเยาว์ทรงได้รับการอภิบาลจากเจ้าจอมมารดาตลับ หม่อมราชวงศ์ พึ่งบุญ และพระยาเวียงในนฤบาล (หรั่ง เกตุทัต) การศึกษา[แก้]พระเจ้าลูกยาเธอทั้ง 4 พระองค์ที่ทรงไปศึกษาต่อในทวีปยุโรปเมื่อเจริญวัยขึ้นพระองค์ทรงเข้าศึกษาวิชาภาษาไทยเบื้องต้นกับพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) โดยใช้เก๋งกรงนกภายในพระบรมมหาราชวังเป็นที่ทรงพระอักษร เมื่อทรงศึกษาจบแล้ว ก็ทรงเข้าศึกษาต่อที่สำนักของบาบู รามซามี โดยใช้โรงเรียนทหารมหาดเล็กเป็นที่ถวายพระอักษรจนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2426 ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้เข้าศึกษาในโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ในการส่งพระราชโอรสไปศึกษายังต่างประเทศของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์เป็นพระราชโอรสกลุ่มแรกที่ทรงไปศึกษาต่อในทวีปยุโรป เมื่อ พ.ศ. 2428 พร้อมกัน 4 พระองค์ คือ
แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริให้ทรงแยกกันเรียน โดยพระองค์พระองค์โปรดเกล้าฯ เสด็จไปศึกษาที่กรุงเอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ โดยให้หมอเกาวัน เป็นผู้จัดการศึกษา ในการนี้เป็นเพียงการศึกษาเบื้องต้น จึงมีเพียงครูชาวต่างชาติมาถวายพระอักษรที่ตำหนักครึ่งวัน และหม่อมเจ้าเพิ่ม ลดาวัลย์ ถวายการสอนภาษาไทยอีกครึ่งวัน พระองค์ทรงศึกษาวิชาภาษาละติน วิชาภาษาอังกฤษ และวิชาภาษาฝรั่งเศสอยู่ 2 ปี จึงเสด็จนิวัติประเทศไทย จนถึงปี พ.ศ. 2431 จึงเสด็จไปศึกษาต่อในชั้นมัธยมอยู่ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และต่อมาปี พ.ศ. 2434 ทรงเลือกศึกษาวิชากฎหมายต่อที่วิทยาลัยไครส์ตเชิร์ช ในมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด จนกระทั่งปี พ.ศ. 2437 ทรงสามารถสอบไล่ได้ตามหลักสูตรชั้นปริญญาเกียรตินิยม จากนั้นจึงเสด็จกลับประเทศไทย ด้วยพระอัจฉริยภาพที่มีมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ จึงได้รับพระสมญาว่า เฉลียวฉลาดรพี พระราชพิธีโสกันต์[แก้]พระราชพิธีโสกันต์ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดให้ตั้งพระราชพิธีโสกันต์พระเจ้าลูกยาเธอทั้ง 3 พระองค์พร้อมกันคือ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช และพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นการสมโภช 3 วัน ตั้งแต่วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2427 ถึงวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2427 แล้วจึงประกอบพระราชพิธีโสกันต์ในวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2427 โดยโปรดให้ทรงเครื่องต้นทั้ง 4 พระองค์ ผนวช[แก้]หลังจากพระราชพิธีโสกันต์ผ่านพ้นไปแล้ว จึงโปรดให้พระเจ้าลูกยาเธอทั้ง 4 พระองค์ที่จะเสด็จไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ได้ผนวชเป็นสามเณรพร้อมกันตามโบราณราชประเพณี โดยวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2428 เวลาย่ำค่ำ มีการเวียนเทียนสมโภชทั้ง 4 พระองค์ ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เช้าวันรุ่งขึ้นแห่พระเจ้าลูกยาเธอทั้ง 4 พระองค์จากพระที่นั่งดุสิตาภิรมย์ไปวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ผนวชเป็นสามเณรโดยมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ในคืนนั้นพระองค์เจ้าสามเณรทั้ง 4 พระองค์ทรงประทับแรมที่พระพุทธปรางค์ปราสาท เช้าวันถัดมาพระองค์เจ้าสามเณรทรงรับบิณฑบาตในพระบรมมหาราชวัง เวลาย่ำค่ำจึงเสด็จไปอยู่ที่ตำหนักในวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ถึงวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2428 ทั้ง 4 พระองค์จึงทรงลาผนวช ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร รับราชการ[แก้]พระองค์ทรงเริ่มรับราชการในสำนักราชเลขาธิการ และได้รับแต่งตั้งให้เป็นองคมนตรี ทรงประกอบพระกรณียกิจ อันเป็นคุณประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อวงการกฎหมายไทยและศาลสถิตยุติธรรม ได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม ร.ศ. 115 เป็นสภานายกในกองข้าหลวงพิเศษ จัดการปรับปรุงศาลยุติธรรมสู่ระบบใหม่ จัดตั้งศาลมณฑล และศาลจังหวัด ทั่วประเทศ, ทรงเป็นประธานกรรมการตรวจชำระกฎหมายทั้งกฎหมายเก่า (พระไอยการต่าง ๆ) และในการร่างประมวลกฎหมายสมัยใหม่ที่รู้จักกันในนามกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 (พ.ศ. 2451) ทั้งยังทรงเป็นผู้ดำริให้จัดตั้งโรงเรียนกฎหมาย โดยพระองค์เองยังทรงมีบทบาทรวบรวมและแต่งตำราคำอธิบายกฎหมาย ตลอดจนทรงทำการบรรยายให้เหล่าบรรดานักเรียนด้วยพระองค์เอง, ทรงเป็นกรรมการตรวจตัดสินความฎีกาซึ่งเทียบได้กับศาลฎีกาในปัจจุบัน, เมื่อ พ.ศ. 2443 ทรงตั้งกองพิมพ์ลายมือขึ้น สำหรับตรวจลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหาในคดีอาญา ตำแหน่งสุดท้ายทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ ทรงปรับปรุงกิจการกรมทะเบียนที่ดิน สิ้นพระชนม์[แก้]ในปี พ.ศ. 2462 พระองค์ประชวรด้วยพระโรคที่ต่อมลูกหมากและมีการแทรกซ้อนต่อไปยังพระวักกะ (ไต) จึงทรงขอลาพักราชการในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2462 เพื่อรักษาพระองค์แต่อาการยังไม่ทุเลา ต่อมาจึงเสด็จไปรักษาพระองค์ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แต่พระโรคที่พระวักกะก็ยังทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเกินที่แพทย์จะเยียวยาได้ จนกระทั่งถึงวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2463 เวลาประมาณ 21 นาฬิกา จึงสิ้นพระชนม์ สิริพระชันษา 45 ปี 9 เดือน 17 วัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เอกอัครราชทูตสยามประจำประเทศฝรั่งเศสจัดการถวายพระเพลิง ณ กรุงปารีส ตามที่กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์รับสั่งไว้ หลังจากนั้นหม่อมเจ้าไขแสงรพี รพีพัฒน์ เสด็จไปรับและอัญเชิญพระอัฐิของกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์มาถึงประเทศไทยในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2463 ในคราวนั้นเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) หวนระลึกถึงรับสั่งของกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ได้ตรัสไว้ก่อนที่เสด็จไปรักษาพระองค์ที่ประเทศฝรั่งเศสว่า บางทีครูจะไม่ได้เห็นฉันอีก และไม่ได้เห็นอีกจริง ๆ พระโอรส-ธิดา[แก้]ราชสกุลรพีพัฒน์ ต้นราชสกุล คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ หม่อมเจ้าไขแสงรพี รพีพัฒน์ โอรสธิดา หม่อมราชวงศ์เติมแสงไข รพีพัฒน์ หม่อมราชวงศ์ศักดิ์รพี รพีพัฒน์ หม่อมเจ้าวิมวาทิตย์ รพีพัฒน์ โอรสธิดา หม่อมราชวงศ์วิภากร รพีพัฒน์ นัดดา หม่อมหลวงอิทธากร รพีพัฒน์ หม่อมหลวงนิภาพร รพีพัฒน์ หม่อมหลวงปกรวิช รพีพัฒน์ หม่อมเจ้าเพลิงนภดล รพีพัฒน์ โอรสธิดา หม่อมราชวงศ์อคิน รพีพัฒน์ หม่อมราชวงศ์รพีพงศ์ รพีพัฒน์ หม่อมราชวงศ์อัปษร รพีพัฒน์ นัดดา หม่อมหลวงศิริธิดา รพีพัฒน์ หม่อมหลวงกฤติกา รพีพัฒน์ หม่อมหลวงนพอร รพีพัฒน์ หม่อมเจ้าถกลไกรวัล รพีพัฒน์ โอรสธิดา หม่อมราชวงศ์มธุรา รพีพัฒน์ หม่อมเจ้ารวิพรรณไพโรจน์ รพีพัฒน์ โอรสธิดา หม่อมราชวงศ์พัฒนฉัตร รพีพัฒน์ หม่อมราชวงศ์พันธุ์รพี รพีพัฒน์ หม่อมราชวงศ์ดิเรกฤทธิ์ รพีพัฒน์ หม่อมราชวงศ์วินิตา รพีพัฒน์ หม่อมราชวงศ์นิสากร รพีพัฒน์ นัดดา หม่อมหลวงรพีพโยม รพีพัฒน์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ หลังเสด็จกลับจากศึกษาที่ประเทศอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสู่ขอพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรพัทธ์ประไพ พระธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ พระราชทานเสกสมรสให้ โดยในครั้งนั้นนับเป็นครั้งแรกที่มีการพระราชทานน้ำสังข์ แต่ทรงใช้ชีวิตคู่ร่วมกันเพียงไม่นานก็ทรงหย่าขาดจากกัน และหลังจากนั้นพระองค์จึงทรงรับหม่อมอ่อนมาเป็นหม่อมเอก โดยนอกจากหม่อมอ่อนแล้วพระองค์ยังมีหม่อมอีก 2 คน คือ หม่อมแดงและหม่อมราชวงศ์สอางค์ ปราโมช พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ มีพระโอรสและพระธิดา ที่ประสูติกับหม่อมอ่อน หม่อมแดง และหม่อมราชวงศ์สอางค์ 13 องค์ ซึ่งทุกองค์ทรงตั้งพระนามคล้องจองกันหมด และมีความหมายเกี่ยวกับ พระอาทิตย์ หม่อมอ่อน รพีพัฒน์ ณ อยุธยา หม่อมอ่อน รพีพัฒน์ ณ อยุธยา บุตรีของพระยาสุพรรณพิจิตร (โต) กับหม่อมราชวงศ์สำอาง เสนีวงศ์ เสด็จในกรมหลวงราชบุรีได้รับหม่อมอ่อนเข้ามาเป็นหม่อมในพระองค์หลังจากที่ทรงหย่ากับพระชายาแล้ว โดยมีพระโอรสพระธิดารวม 11 องค์ ดังนี้
หม่อมแดง รพีพัฒน์ ณ อยุธยา เป็นบุตรีของพ่อค้าชาวจีนเจ้าของร้านเพชรหัวเม็ด ในประมาณปี พ.ศ. 2458 เสด็จในกรมหลวงราชบุรีทรงรับหม่อมแดงเข้ามาเป็นหม่อมในพระองค์ โดยมีพระธิดา 1 องค์ คือ
หม่อมราชวงศ์สอางค์ ปราโมช ท.จ. พระธิดาในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ กับหม่อมนุ่ม โดยมีพระธิดา 1 องค์ คือ
พระกรณียกิจ[แก้]ด้านกฎหมาย[แก้]เมื่อพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม พระองค์ทรงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิรูปการศาล ซึ่งปัญหาสำคัญสำหรับศาลไทยในเวลานั้น คือ เรื่องของศาลกงสุลต่างชาติ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในยุคนั้น เป็นที่รู้กันว่าชาวต่างชาติเหล่านี้มีอำนาจอิทธิพลมาก เมื่อเกิดคดีความหรือข้อโต้แย้ง ชาวไทยมักตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะชาวต่างชาติมักจะอ้างว่ากฎหมายยังล้าหลังไม่ทันสมัยเพื่อเป็นข้ออ้างเอาเปรียบชาวไทยซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ศาลของไทยยังไม่พร้อมที่จะรับข้อกฎหมายใหม่ ๆ ในเวลานั้น พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงแก้ปัญหาเรื่องนี้โดยการจ้างชาวต่างชาติมาเป็นผู้พิพากษาเป็นเหตุให้ผู้พิพากษาศาลไทยเกิดความกระตือรือร้นเร่งศึกษากฎหมายไทยและต่างประเทศทำให้ศาลไทยมีความเชื่อถือมากขึ้นและเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติ ถึงกับยกเลิกศาลกงสุลยอมให้คนชาติตัวเองมาขึ้นศาลไทยนอกจากนั้น ยังทรงปฏิรูปการศาลในด้านอื่นอีกมากมาย อาทิ
ฯลฯ พระราชกรณียกิจที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือในปี พ.ศ. 2440 ได้ทรงจัดตั้งโรงเรียนกฎหมายขึ้น โดยมีเจ้าพระยาอภัยราชาสยามานุกูลกิจ (โรลังยัคมินส์) เป็นที่ปรึกษา และพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงเข้าสอนเป็นประจำ ต่อมาได้จัดให้มีการสอบไล่ขึ้นด้วย ในปีแรกที่มีการสอบปรากฏว่ามีผู้สอบผ่านเพียง 9 คนจากจำนวนกว่าร้อยคน และแม้ใน 14 ปีแรกมีผู้สอบผ่านเพียง 129 คนเท่านั้น แต่ก็ถือเป็นการผลิตนักกฎหมายที่มีคุณภาพให้สังคมเป็นอย่างมาก ต่อมายังทรงเป็นประธานกรรมการตรวจชำระกฎหมาย, กรรมการตรวจตัดสินความฎีกา และกรรมการตรวจร่างกฎหมายลักษณะอาญาอีกด้วย พระเกียรติยศ[แก้]ธรรมเนียมพระยศของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ธงประจำพระอิสริยยศ ตราประจำพระองค์ การทูลใต้ฝ่าพระบาทการแทนตนข้าพระพุทธเจ้าการขานรับพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ พระอิสริยยศ[แก้]
ภายหลังสิ้นพระชนม์
พระยศ[แก้]พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ รับใช้กระทรวงยุติธรรม กระทรวงเกษตราธิการ กองเสือป่าชั้นยศมหาอำมาตย์เอก มหาเสวกเอก นายกองตรี พระยศพลเรือน[แก้]
พระยศเสือป่า[แก้]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์[แก้]พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังต่อไปนี้ พระสมัญญา[แก้]
สถานที่อันเนื่องด้วยพระนาม[แก้]
รถยนต์พระที่นั่ง[แก้]รถยนต์พระที่นั่งแก้วจักรพรรดิ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์เสด็จไปทอดพระเนตรโรงงานผลิตรถยนต์ของบริษัท Diamler - Motorin - Gesellschaft ในปี พ.ศ. 2447 และทรงว่าจ้างให้บริษัทดังกล่าวประกอบรถยนต์ขึ้นจำนวน 1 คัน โดยเป็นรถเมอร์ซิเดส - เดมเลอร์สีเหลืองหลังคาเปิดประทุนซึ่งต่อมาพระองค์จึงทรงถวายรถคันนี้แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในภายหลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้กรมหลวงราชบุรีฯ สั่งซื้อรถเมอร์ซิเดส - เดมเลอร์สีแดงเข้ามาอีก 1 คัน แต่ปรากฏว่าไอน้ำมันระเหยขึ้นติดตะเกียงไฟลุกไหม้ประตูรถเสียหายไป 1 บาน หลังจากที่ซ่อมแซมเสร็จแล้วจึงนำขึ้นถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงพระราชทานนามรถพระที่นั่งคันนี้ว่า "แก้วจักรพรรดิ์" การระลึก[แก้]วันรพี[แก้]นักกฎหมายได้ถือเอาวันสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ คือวันที่ 7 สิงหาคม ของทุกปีเป็นวันรพีเพื่อเป็นวันรำลึกถึงคุณงามความดีของพระองค์ที่มีต่อวงการกฎหมายไทย โดยจะมีการจัดกิจกรรมวันรพีที่อนุสาวรีย์พระรูปพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ หน้าสำนักงานศาลยุติธรรม โดยมีการจัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 อนุสาวรีย์พระรูปหน้าสำนักงานศาลยุติธรรม[แก้]เมื่อ พ.ศ. 2498 คณะกรรมการเนติบัณฑิตยสภาได้มีมติจัดสร้างอนุสาวรีย์พระรูปพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ขึ้น โดยได้จัดการเรี่ยไรเงินจำนวน 500,000 บาท ต่อมาวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2507 ได้รับเงินบริจาครวมทั้งหมดเป็นจำนวน 296,546.75 บาท ซึ่งก็ยังไม่ครบตามจำนวนที่ตั้งไว้ แต่แม้จำนวนเงินบริจาคนั้นจะยังไม่ครบ แต่ในส่วนของตัวอนุสาวรีย์นั้นได้มีการปั้นเสร็จในปี พ.ศ. 2506 และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอนุสาวรีย์พระรูปพระองค์เจ้ารพีพัฒน์ศักดิ์ในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2507 พงศาวลี[แก้]พงศาวลีของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ 16. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช 8. พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย 17. สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี 4. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 18. เงิน แซ่ตัน 9. สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี 19. สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ 2. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 20. พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว 10. สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ 21. เจ้าจอมมารดาทรัพย์ ในรัชกาลที่ 3 5. สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี 22. บุศย์ 11. หม่อมน้อย ศิริวงศ์ ณ อยุธยา 23. แจ่ม 1. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ 24. พระยาเพ็ชรพิไชย (เกตุ) 12. พระยาเพ็ชรพิไชย (หนู) 25. ไข่ 6. พระยาเวียงในนฤบาล (หรั่ง) 13. แจ่ม 3. เจ้าจอมมารดาตลับ ในรัชกาลที่ 5 7. ขรัวยายอิ่ม หมายเหตุ[แก้]
อ้างอิง[แก้]เชิงอรรถ
|