เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา ร.ต.ต.นพคุณ เชื้อแก้ว รองสารวัตรป้องกัน สภ.เมืองอุบลราชธานี รับแจ้งมีพลเมืองดีพบวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดวางอยู่ด้านข้างตู้ ATM ธนาคารกรุงไทย ภายในปั๊มน้ำมัน ปตท.สาขาบ้านด้ามพร้า ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมืองอุบลราชธานี จึงรุดเข้าตรวจสอบพร้อมกับนายเกริกชัย ผ่องแผ้ว ปลัดจังหวัดอุบลราชธานี ที่ทราบเรื่องและรีบเข้ามาร่วมตรวจสอบด้วย Show
โดยหน้าตู้ ATM ดังกล่าว พบวัตถุทรงกระบอกห่อด้วยผ้าคลุมลายพรางทหารมีกระดาษ เขียนข้อความ “จองตู้ กด ฉลาก วันที่ 6 พ.ย.” พร้อมทั้งมีกระดาษเขียนหมายเลขโทรศัพท์ติดไว้ด้านข้างด้วย แต่เพื่อความปลอดภัยเจ้าหน้าที่ได้ประสานให้เจ้าหน้าที่ EOD ตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี เข้าพิสูจน์ว่าภายในห่อดังกล่าวเป็นวัตถุระเบิดจริงหรือไม่ แต่เพื่อความไม่ประมาทเจ้าหน้าที่ได้นำกรวยและถังขยะมาวางล้อมป้องกันสะเก็ดระเบิดวัตถุดังกล่าวไว้ก่อน ด้านนายเกริกชัย ผ่องแผ้ว ปลัดจังหวัดอุบลราชธานี ที่เข้าร่วมดูเหตุการณ์และคาดว่าไม่น่าจะเป็นวัตถุระเบิด จึงได้โทร.ไปยังหมายเลขที่เขียนไว้ด้านข้างวัตถุดังกล่าว โดยผู้รับสายระบุชื่อนางชนัญธิดา เจริญพร อายุ 52 ปี พักอยู่เลขที่ 30 บ้านห้วยหมาก ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมกับให้ข้อมูลว่าวัตถุต้องสงสัยดังกล่าวเป็นเปลนอนที่นำมาวางไว้ เพื่อแสดงสัญญาลักษณ์ว่าได้จองคิวตู้ ATM นี้ เพื่อกดจองสลากินแบ่งรัฐบาลงวดประจำวันที่ 16 พ.ย. ระหว่างวันที่ 6-7 พ.ย.ก่อนจะไปกางเต็นท์นอนหลังรถห่างจากตู้ ATM ประมาณ 50 เมตร นายเกริกชัยจึงได้เชิญนางชนัญธิดาออกมาแสดงตัวเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย พร้อมแนะนำให้เปลี่ยนวิธีการใช้วัตถุมาวางเป็นการเขียนกระดาษติดไว้ที่ตู้ ATM แทน เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกของผู้มาพบเห็นขึ้นอีก นางชนัญธิดาบอกว่า ตนเองเดินทางมาจากอำเภอโขงเจียม เพื่อมาจองคิวในการกดสั่งสลากกินแบ่งรัฐบาลตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 5พ.ย. แต่จะให้นั่งหน้าตู้กดเงินทั้งวันก็คงไม่ไหวจึงได้นำเอาผ้าเต็นท์มาวางไว้เป็นสัญลักษณ์ว่าตนจองคิวแรกไว้แล้ว แต่ถึงจะเป็นคิวแรกแต่ก็ไม่ได้สิทธิ์ในการซื้อตลอดไป เมื่อวันที่ 8 ส.ค.เจ้าหน้าที่เร่งคลี่คลายคดีระเบิดหลายจุดในกรุงเทพฯ ชุดสืบสวนนครบาล พฐ. อีโอดี นำสุนัขตำรวจ k-9 เข้าเก็บหลักฐานในอพาร์ตเมนต์ ซอยรามคำแหง 53 พบชิ้นส่วนประกอบระเบิดตรงกับที่ระเบิดในกรุงเทพฯ นนทบุรี หลังทราบว่าคนร้ายใช้ห้องนี้เป็นที่ประกอบระเบิดที่นำไปวางทั้ง 4 จุดจากกรณีเกิดเหตุวางระเบิดในศูนย์ราชการ สถานีรถไฟฟ้า หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน้าสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ช่วงวันที่ 1-2 ส.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เร่งคลี่คลายคดี โดย ผู้บังคับการสืบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รอง ผบก.สส.บช. พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ กำลังตำรวจ เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด (อีโอดี) สุนัขดมกลิ่นหาสารระเบิด (K-9) เข้าตรวจค้นอพาร์ตเมนต์ไม่มีชื่อ เลขที่ 527/50 ในซอยรามคำแหง 53 แยกซอยลูกจันทร์ แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ ให้บริการแบบเข้าพักรายวันและรายเดือน สืบเนื่องจากกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุวางระเบิดรวม 4 จุด บริเวณร้านค้าตลาดไซด์วอล์ก ภายในซอยเพชรบุรี 19 อยู่ด้านหลังโรงแรมอินทรา ที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ร้านค้าเสียหาย 60 แผง ยังมีร้านเสื้อผ้าชื่อร้านฮ็อบ และร้านปุ๋ย แฟชั่น นอกจากนี้ยังมีห้องแถวท้องที่ สน.พญาไท โดยกลุ่มคนร้ายทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกัน และมาพักอยู่ที่อพาร์ตเมนต์แห่งนี้ เจ้าหน้าที่กันผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกไปเพื่อความปลอดภัย จากนั้นได้เก็บหลักฐานที่อยู่ภายในห้อง 512 ชั้น 2 พบชิ้นส่วนใช้ประกอบระเบิดจำนวนหนึ่งซึ่งเชื่อมโยงกับระเบิดที่นำไปวางหลายจุด ส่วนภายนอกอาคารเจ้าหน้าที่ใช้สุนัขตำรวจดมกลิ่นที่ถังขยะ 7 ถัง และถังใหญ่ขนาด 200 ลิตร เพื่อหาวัตถุประกอบระเบิดที่คนร้ายอาจนำมาทิ้ง ลูกสาวเจ้าของอพาร์ตเมนต์ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเย็นวันที่ 20 กรกฎาคม มีชาย 2 คนมีรูปพรรณสันฐานตรงกับที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำภาพมาให้ดู ได้เข้ามาติดต่อขอเช่าห้องพักโดยตอนแรกติดต่อขอเช่าแบบรายวัน จำนวน 5 วัน ซึ่งทางอพาร์ตเมนต์คิดค่าเช่าวันละ 350 บาท ซึ่งระหว่างที่เข้ามาติดต่อขอเช่าห้องนั้นชายทั้ง 2 คนไม่มีการปิดบังใบหน้าและสื่อสารกันด้วยภาษาไทย แต่ภายหลังชายทั้ง 2 คนตัดสินใจเช่าห้องพักแบบรายเดือน โดยจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า 3,000 บาท ค่าประกันห้องพัก 3,000 บาท รวมเป็นเงิน 6,000 บาท ก่อนที่ทั้ง 2 คนจะเข้าพักที่ห้องพักเลขที่ 512 ซึ่งอยู่ที่ชั้น 2 แต่หลังจากที่ตกลงเช่าห้องวันที่ 20 กรกฎาคมแล้วก็ไม่พบเห็นชายทั้ง 2 คนอีกเลย ขณะที่เจ้าของที่ดินและอพาร์ตเมนต์ใกล้เคียงกัน ให้ข้อมูลว่า ก่อนเกิดเหตุ 2-3 วัน ก็พบเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์แปลกหน้าเข้ามาพักอาศัยในอพาร์ตเมนต์ดังกล่าว โดยกลุ่มนี้จะเดินจับกลุ่มกันครั้งละ 2-3 คน สื่อสารกันด้วยภาษายาวี และมักจะสะพายกระเป๋าเป้ติดตัวอยู่ตลอดเวลา เนื้อหาในบทความนี้ล้าสมัย โปรดปรับปรุงข้อมูลให้เป็นไปตามเหตุการณ์ปัจจุบันหรือล่าสุด ดูหน้าอภิปรายประกอบ ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และบางอำเภอของจังหวัดสงขลา (อำเภอจะนะ อำเภอนาทวี อำเภอเทพา อำเภอสะบ้าย้อย) สถานะ ยังดำเนินอยู่คู่สงคราม สนับสนุน:
อดีตผู้สนับสนุน:
อดีตผู้สนับสนุน:
สถานการณ์ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย (มลายู: Pemberontakan di Thailand Selatan) หรือ ไฟใต้ หมายถึง ความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามจังหวัด คือ จังหวัดปัตตานี ยะลาและนราธิวาส ระหว่างรัฐไทยกับกลุ่มก่อความไม่สงบหลายกลุ่ม อย่างไรก็ดี บางครั้งมีการลุกลามมาถึงบางอำเภอของจังหวัดสงขลา และบางทีมีการโทษว่าการก่อการร้ายในกรุงเทพมหานครและจังหวัดภูเก็ตเป็นฝีมือของกลุ่มก่อความไม่สงบภาคใต้ด้วย ภูมิภาคสามจังหวัดภาคใต้ดังกล่าวนั้นเดิมเป็นรัฐสุลต่านปตานีดารุสซาลามซึ่งปกครองตนเองมาก่อน จนเมื่อมีการกลืนวัฒนธรรมทำให้เกิดความขัดแย้งเริ่มตั้งแต่ปี 2491 เป็นการก่อกำเริบการแยกออกทางเชื้อชาติและศาสนาในภูมิภาคมลายูปัตตานี มีความรุนแรงเพื่อแบ่งแยกดินแดนระดับต่ำในภูมิภาคดังกล่าวหลายทศวรรษ แต่เหตุการณ์บานปลายหลังปี พ.ศ. 2544 โดยมีการกลับกำเริบในปี 2547 ระหว่างปี 2547–2554 มีผู้เสียชีวิต 4,500 คนและได้รับบาดเจ็บ 9,000 คน ลักษณะการก่อเหตุมีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้แค้นมากขึ้น และเป็นการโจมตีไม่เลือกลดลง กลุ่มก่อความไม่สงบในระยะแรกมีเป้าหมายเพื่อแยกตัวออกเป็นอิสระ เช่น BNPP และ PULO ผู้นำท้องถิ่นเรียกร้องอัตตาณัติระดับหนึ่งแก่ภูมิภาคปัตตานีอย่างต่อเนื่อง และขบวนการผู้ก่อการกำเริบแยกตัวออกบางส่วนเรียกร้องให้มีการเจรจาสันติภาพ อย่างไรก็ดี หลังความรุนแรงรอบใหม่ในปี 2544 แม้ยังไม่ทราบกลุ่มก่อความไม่สงบแน่ชัด แต่มีการชี้ว่า GMIP, BRN-C และ RKK (กลุ่มติดอาวุธของ BRN) เป็นผู้นำการก่อเหตุ ซึ่งบางรายงานระบุว่ากลุ่มเหล่านี้ไม่ได้ต้องการแยกตัวเป็นอิสระ แต่ต้องการทำให้ภูมิภาคปาตานีปกครองไม่ได้ สภาพ[แก้]ระหว่างปี 2547–2554 มีผู้เสียชีวิตกว่า 4,500 คน และได้รับบาดเจ็บกว่า 9,000 คนจากความไม่สงบ นับเป็นความขัดแย้งที่มียอดผู้เสียชีวิตสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2554 สถานการณ์กลายเป็นการคุมเชิงระดับต่ำ ส่วนใหญ่ลักษณะการก่อเหตุเป็นการประกบยิง แต่มีเหตุระเบิดแสวงเครื่องบ้างเฉลี่ย 12 ครั้งต่อเดือน มีเหตุการณ์ความรุนแรงกว่า 11,000 ครั้งและการวางระเบิดกว่า 2,000 ครั้ง ข้างฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบไม่มีข้อเรียกร้องทางการเมืองออกมาชัดเจนจึงบอกไม่ได้ว่าเหตุใดความไม่สงบจึงปะทุกลับมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตการณ์เสนอว่ามีการเปลี่ยนจากเป้าหมายด้านเชื้อชาติและชาติพันธุ์และแบ่งแยกดินแดนมาเป็นอิสลามิสต์หัวรุนแรง สถานที่ก่อเหตุย้ายจากป่าเข้ามาในหมู่บ้าน เมืองและนคร สภาพดังกล่าวทำให้มีการใช้กลุ่มนักรบขนาดเล็ก 5–10 คน กลางปี 2549 ตำรวจประเมินว่ามีนักรบ 3,000 คนปฏิบัติการใน 500 เซลล์ ทางการเชื่อว่าผู้ก่อความไม่สงบในเซลล์ในหมู่บ้านสองในสามจากทั้งหมด 1,574 แห่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โครงสร้างแบบเซลล์นี้ทำให้ไม่ต้องใช้เงินทุนสนับสนุนมากนัก ผู้ก่อความไม่สงบบางส่วนใช้เงินทุนสนับสนุนจากการจ้างงานของตนเอง รายงานของกลุ่มวิกฤตระหว่างประเทศปี 2548 ระบุว่า ผู้ก่อเหตุเป็นเยาวชน เคร่งศาสนา ติดอาวุธไม่ดีและพร้อมสละชีพเพื่ออุดมการณ์ กลางปี 2548 ยอดผู้เสียชีวิตมุสลิมสูงกว่ายอดผู้เสียชีวิตพุทธ ซึ่งเชื่อว่ามุสลิมที่ตกเป็นเป้านั้นใกล้ชิดกับทางการไทยหรือค้านความคิดอิสลามิสต์ จากข้อมูลของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ พบว่า ความถี่ของการก่อเหตุขึ้น ๆ ลง ๆ แต่สูงสุดในปี 2550 (2,409 เหตุการณ์) และ 2555 (1,851 เหตุการณ์) ซึ่งศูนย์ฯ ตั้งข้อสังเกตว่าความถี่ของเหตุการณ์อาจเพิ่มขึ้นและลดลงเป็นวัฏจักรโดยจะมีความถี่สูงสุดทุก 5 ปี ยอดผู้เสียชีวิตรายปีลดลงทุกปีนับแต่ปี 2556 พื้นที่ที่มีการก่อเหตุสูงสุด (มกราคม 2547–เมษายน 2560) อันดับ พื้นที่ จำนวนครั้ง 1 อำเภอเมือง จังหวัดยะลา 1,713 2 อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส 1,191 3 อำเภอรามัน จังหวัดยะลา 1,099 4 อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส 1,054 5 อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา 1,035 6 อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี 1,016 7 อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี 863 8 อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี 840 9 อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี 790 10 อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส 639 ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ตั้งข้อสังเกตว่าพื้นที่ที่มีการก่อเหตุสูงสุดเป็น 7 หัวเมืองประวัติศาสตร์เดิม อันประกอบด้วย เมืองปัตตานี ยะหริ่ง หนองจิก ยะลา รามัน สายบุรี และระแงะ การก่อเหตุ[แก้]ส่วนใหญ่ผู้ก่อเหตุมุ่งเป้าไปยังกำลังความมั่นคงและสัญลักษณ์อำนาจของรัฐไทยอย่างข้าราชการ โรงเรียนและวัด แต่ผู้เสียชีวิตกว่า 90% เป็นพลเรือน มีการตัดศีรษะ แขวนคอและทุบตี มีการฆ่าผู้หญิง เด็ก ครูและพระสงฆ์ และมีการหายตัวอยู่เป็นนิจ การโจมตีระยะแรก ๆ เป็นการประกบยิงใส่นายตำรวจที่ลาดตระเวนจากมือปืนหรือจักรยานยนต์ หลังปี 2544 ลักษณะการก่อเหตุบานปลายเป็นการโจมตีที่มีการประสานงานกันอย่างดีใส่สถานที่ตั้งของตำรวจ เช่น สถานีตำรวจและด่านตรวจ แล้วหลบหนีไปพร้อมกับขโมยอาวุธและเครื่องกระสุน ยุทธวิธีอื่นที่ใช้เพื่อเรียกชื่อเสียงจากความตื่นตระหนกและหวาดกลัว ได้แก่ การฆ่าพระสงฆ์ การวางระเบิดวัด การตัดศีรษะ การข่มขู่พ่อค้าหมูและลูกค้า ตลอดจนการวางเพลิงโรงเรียน ฆ่าครูและอำพรางศพ จุดมุ่งหมายของการก่อเหตุมีลักษณะโจมตีไม่เลือกลดลง และเป็นการโจมตีแก้แค้นมากขึ้น โดยมีกำลังความมั่นคง ข้าราชการและมุสลิมสายกลางเป็นเป้าหมาย มีการใช้ระเบิดแสวงเครื่องขนาดใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 5–10 กิโลกรัม สร้างขึ้นจากถึงแก๊สหุงต้ม หรือถังดับเพลิงบรรจุแอมโมเนียมไนเตรตซึ่งมีราคาถูก ระเบิดในภายหลังมีแนวโน้มใช้อุปกรณ์วิทยุจุดแทนโทรศัพท์เคลื่อนที่ และมีการใช้ระเบิดแสวงเครื่องแบบหน่วงเวลา (time-delayed) มากขึ้นเพื่อมุ่งเป้าไปยังผู้รับแจ้งเหตุ การลอบยิง ซึ่งอาจเป็นการซุ่มโจมตีหรือการยิงประกบจากมอเตอร์ไซค์ เป็นวิธีการฆ่าหลัก และเปลี่ยนมามีรูปแบบการแก้แค้นมากขึ้น ความรุนแรงระหว่างมุสลิมด้วยกันเป็นเรื่องการแก่งแย่งอำนาจมาโดยตลอด กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบต้องการไล่พุทธออกจากพื้นที่ ส่วนพุทธที่เหลืออยู่อยู่ในพื้นที่ที่มีอาวุธแน่นหนา การก่อเหตุลอบวางเพลิงลดลง ส่วนหนึ่งเพราะมีทหารคุ้มครอง และบางส่วนเพราะมุสลิมไม่พอใจที่โรงเรียนถูกเผา ผู้ก่อความไม่สงบไม่เต็มใจยิงปะทะและมักเป็นไปเพื่อป้องกันตัว แต่มีแหล่งข่าวระบุว่ามีการยิงปะทะยืดเยื้อเฉลี่ยเดือนละ 4 ครั้ง ในปี 2561 การโจมตีกำลังความมั่นคงลดลงเหลือ 1–2 ครั้งต่อเดือน ยุทธวิธีที่นิยมใช้ยังเป็นการวางระเบิดริมถนนและการยิง มีการใช้ระเบิดท่อเหล็ก เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม79 และปืนเล็กยาวเอ็ม16 ในการก่อเหตุ เบื้องหลัง[แก้]ภูมิหลังประวัติศาสตร์[แก้]บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งหรือเกี่ยวข้องกับ วิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2548–2553 พรรคการเมืองหลักที่เกี่ยวข้อง องค์กร กลุ่มบุคคล ที่เกี่ยวข้อง การเมืองไทย • ประวัติศาสตร์ไทย อดีตรัฐสุลต่านปาตานีซึ่งกินอาณาเขตสามจังหวัดชายแดนใต้ของไทยปัจจุบัน ได้แก่ จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส ตลอดจนบางส่วนของจังหวัดสงขลาที่อยู่ใกล้เคียง และส่วนตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศมาเลเซียส่วนที่อยู่ปลายคาบสมุทรมลายูปัจจุบันถูกราชอาณาจักรรัตนโกสินทร์พิชิตในปี พ.ศ. 2328 สนธิสัญญาอังกฤษ–สยาม พ.ศ. 2452 ยืนยันการปกครองของสยามเหนือดินแดนดังกล่าว ทว่า ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 รัฐบาลรัตนโกสินทร์ปล่อยให้ดินแดนดังกล่าวมีอำนาจปกครองตัวเองเป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งการคงกฎหมายอิสลาม จนในปี 2486 จอมพล แปลก พิบูลสงคราม ริเริ่มกระบวนการแผลงเป็นไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกลืนวัฒนธรรมชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในประเทศ รวมทั้งชาวปาตานี ในปี 2487 มีการใช้บังคับกฎหมายแพ่งของไทยในภูมิภาคปาตานีแทนการปกครองแบบอิสลามท้องถิ่นเดิม หลักสูตรในโรงเรียนมีการทบทวนให้ยึดไทยเป็นศูนย์กลาง และสอนเป็นภาษาไทย ศาลมุสลิมตามประเพณีถูกแทนที่ด้วยศาลแพ่งที่รัฐบาลกลางในกรุงเทพมหานครเห็นชอบ การกลืนวัฒนธรรมแบบบังคับนี้เป็นที่ระคายเคืองต่อชาวมาเลย์ปาตานี ในปี 2490 หะยีสุหลง ผู้ก่อตั้งขบวนการประชาชนปาตานี เริ่มการรณรงค์ร้องทุกข์ โดยเรียกร้องอัตตาณัติ สิทธิทางภาษาและวัฒนธรรม และการใช้กฎหมายอิสลาม ในเดือนมกราคม 2491 สุหลงถูกจับฐานกบฏร่วมกับผู้นำท้องถิ่นอื่น และถูกตราว่าเป็น "ผู้แบ่งแยกดินแดน" ในเดือนเมษายน 2491 เกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและชาวบ้านไทยมุสลิมเชื้อสายมลายู เรียก กบฏดุซงญอ ต่อมา สุหลงได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำในปี 2495 ก่อนหายตัวไปภายใต้พฤติการณ์น่าสงสัยในปี 2497 ผู้นำปาตานีปฏิเสธการรับรองว่าเป็นชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ และตอบโต้นโยบายของรัฐบาลไทย ขบวนการชาตินิยมปาตานีเริ่มเติบโตขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลใจจากอุดมการณ์อย่างนิยมนัสเซอร์ (Nasserism) ในคริสต์ทศวรรษ 1950 โดยในปี 2502 อดุลย์ ณ สายบุรีก่อตั้งขบวนการแนวร่วมปลดแอกแห่งชาติปัตตานี (BNPP) ซึ่งเป็นกลุ่มกบฏมลายูกลุ่มแรก ตามมาด้วยองค์กรปลดปล่อยสหปัตตานี (PULO) ในปี 2511 ณ เวลาการก่อตั้ง เป้าหมายของกลุ่มชาตินิยมเหล่านี้ได้แก่การแยกตัวออก มีการเน้นสู่การต่อสู้ด้วยอาวุธสู่รัฐเอกราชซึ่งชาวปาตานีสามารถใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีโดยไม่ถูกบังคับด้วยค่านิยมวัฒนธรรมต่างด้าว หลังจากนั้นมีการกำเนิดกลุ่มแบ่งแยกดินแดนหลายกลุ่มในภาคใต้ แม้มีอุดมการณ์ต่างกันแต่ส่วนใหญ่มีเป้าหมายแบ่งแยกดินแดนร่วมกัน ล้วนใช้ความรุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมาย มีการกำหนดรูปแบบการโจมตีที่ตั้งของตำรวจและทหาร เช่นเดียวกับโรงเรียนและสถานที่ราชการ อย่างไรก็ดี ประสิทธิภาพของกลุ่มเหล่านี้จำกัดด้วยความขัดแย้งภายในและการขาดความเป็นหนึ่งเดียวกัน ขอบเขตของความไม่สงบลดลงอย่างมากในปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 เนื่องจากไม่มีกลุ่มพูโล และรัฐบาลไทยเริ่มเพิ่มงบประมาณในพื้นที่และเพิ่มความเข้าใจในท้องถิ่น จนมีการตั้งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอบต.) เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว อย่างไรก็ดี รัฐบาลไทยดำเนินการช้าในการยกฐานะทางเศรษฐกิจในพื้นที่และยังมีการปิดกั้นชาวมลายูมุสลิมในธุรกิจและการปกครองท้องถิ่น จนมีการยุบ ศอบต.:8–9 ความรุนแรงรอบใหม่เริ่มขึ้นในปลายปี 2544 หลังจากนั้นระดับความไม่สงบค่อย ๆ สูงขึ้นในช่วงสองปีถัดมา จนต้นปี 2547 มีปฏิบัติการปล้นอาวุธจากค่ายทหารในจังหวัดนราธิวาส:9 แม้ยังไม่อาจทราบตัวการแน่ชัดและไม่มีข้อเรียกร้องเป็นรูปธรรม แต่มีการระบุว่ากลุ่มที่ได้รับฟื้นฟูอย่าง ขบวนการมูจาฮีดีนอิสลามปัตตานี (GMIP), บีอาร์เอ็น โคออร์ดิเนต (BRN-C) และฝ่ายติดอาวุธตามอ้าง รุนดากุมปูลันเกอจิล (RKK) เป็นหัวหอกการก่อการกำเริบใหม่นี้ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ[แก้]มีการอ้างว่าความยากจนและปัญหาเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยหนึ่งเบื้องหลังการก่อการกำเริบด้วย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลส่อความว่าภาคใต้ไม่ได้มีปัญหาความยากจน ภาคใต้มีสุขภาพและการเคหะติดอันดับต้น ๆ ของประเทศ ในแง่ของดัชนีความสำเร็จของมนุษย์นั้น จังหวัดภาคใต้ติดอันดับทั้งต้นและท้าย ในแง่ของรายได้ครัวเรือน ห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ติดอันดับครึ่งบนของประเทศ ยกเว้นจังหวัดปัตตานี อย่างไรก็ดี จังหวัดดังกล่าวมีปัญหาเรื่องการว่างงานและการกระจายรายได้ ปัจจัยทางการศึกษา[แก้]ในระบบโรงเรียนปอเนาะ (Ponok) ของไทย พบว่ามีบางโรงเรียนที่มีเป้าหมายการแบ่งแยกดินแดน หรือการทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ เพื่อตอบโต้รัฐบาลไทย ที่ชาวมุสลิมมลายูในพื้นที่เชื่อว่ากดขี่ข่มเหงพวกเขาชัดเจน ระบบโรงเรียนดังกล่าวถูกกลุ่มแบ่งแยกดินแดนหัวรุนแรงแทรกซึม แล้วเผยแพร่ลัทธิอุดมการณ์ ซึ่งหน่วยข่าวกรองกองทัพบก ระบุว่า โรงเรียนสอนศาสนากลายเป็นแหล่งบ่มเพาะสมาชิกใหม่ของกลุ่มต่าง ๆ และหัวหน้ากลุ่มแบ่งแยกดินแดนนั้น ก็สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนปอเนาะ ขบวนการ[แก้]ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี (BRN) ควบคุมกำลังก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้มากที่สุด ขบวนการดังกล่าวมีโครงสร้างแบบแบ่งเป็นส่วนซึ่งให้สมาชิกมีอัตตาณัติและความยืดหยุ่นในการลงมือ มีสภาปกครองเรียก สภาองค์กรนำ (Dewan Pimpinan Parti หรือ DPP) มีสมาชิกเกือบ 10,000 คน ซึ่งร่วมสายข่าว ผู้สนับสนุนและผู้เห็นใจด้วย ในเดือนมกราคม 2560 ดุนเลาะ แวะมะนอเป็นผู้นำกลุ่มแทนสะแปอิง บาซอ ดุนเลาะเป็นที่ทราบกันว่าเป็นสายแข็ง และหลังเขาดำรงตำแหน่งผู้นำ การก่อเหตุในปี 2561 แสดงให้เห็นว่ามีการวางแผนอย่างดีโดยมีการวางระเบิดหลายจุดประสานงานกัน ผู้ก่อความไม่สงบในประเทศไทยมีอุดมการณ์ต่างจากรัฐอิสลามอิรักและลิแวนต์ เพราะต้องการตั้งมาตุภูมิของตนเอง ไม่ใช่รัฐเคาะลีฟะฮ์ข้ามชาติ นอกจากนี้ผู้ก่อความไม่สงบในประเทศไทยยังไม่ใช้วิธีโจมตีฆ่าตัวตาย ไม่เลือกเป้าหมายหรือโจมตีเน้นยอดผู้เสียชีวิตมากเพราะเกรงว่าจะเสียผู้สนับสนุน ขบวนการผู้ก่อความไม่สงบเองก็ไม่มีเอกภาพและมีหลายกลุ่มแยกเช่นเดียวกับรัฐ ผู้อาวุโสและมีประสบการณ์มากกว่ามักมีแรงจูงใจชาตินิยมและศาสนามากกว่า ส่วนนักรบท้องถิ่นด้อยอาวุโสมีความสัมพันธ์กับเครือข่ายอาชญากรท้องถิ่นมากกว่า สเปกตรัมของผู้ก่อความไม่สงบ ระดับ ลักษณะ จือแว "ตัวจริง" อุดมการณ์เข้มแข็ง ฝึกอย่างดี ไม่ยุ่งกับกิจกรรมผิดกฎหมาย มีความรู้ จือแว "ระดับสอง" พวกหัวรุนแรง "ดี" ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ค้าไม้ผิดกฎหมาย ปฏิบัติตามคำสั่ง จือแว "ระดับสาม" พวกหัวรุนแรง "ไม่ดี" ซื้อขายยาเสพติด เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจผิดกฎหมาย ปฏิบัติการอิสระ โจร ใช้ยาเสพติด ปล้น ฆ่าไม่เลือก กลุ่มก่อความไม่สงบปัจจุบันประกาศญิฮัดและไม่ใช่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนอีกต่อไป ส่วนใหญ่มีสายแข็งซาลาฟีเป็นหัวหน้า ซึ่งมีเป้าหมายสุดขั้วและข้ามชาติ อย่างรัฐเคาะลีฟะฮ์อิสลาม โดยไม่มีอัตลักษณ์วัฒนธรรมปาตานีหรือชาตินิยม กลุ่มญิฮัดซาลาฟีเป็นปรปักษ์ต่อมรดกทางวัฒนธรรมและวัตรของมุสลิมมลายูตามประเพณีโดยกล่าวหาว่าทั้งสองสิ่งนี้ไม่เป็นอิสลาม กลุ่มนี้ไม่เดือดร้อนเกี่ยวกับการเป็นชาติเอกราช แต่เป้าหมายคือทำให้ภูมิภาคปาตานีปกครองไม่ได้ เหตุการณ์สำคัญ[แก้]ปี 2547
การพยายามแก้ปัญหาของภาครัฐ[แก้]ปฏิบัติการปราบปรามการก่อการกำเริบของทางการมีระบบราชการที่ล่าช้าและการขาดความเป็นมืออาชีพเป็นอุปสรรค รวมทั้งมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและความไม่ไว้วางใจรัฐบาล นโยบายการตอบสนองต่อความไม่สงบของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ทำให้เหตุการณ์บานปลายยิ่งขึ้น รัฐบาลวางกำลังตำรวจและทหารรวม 24,000 นายในภาคใต้:17 ในปี 2547 กองทัพภาคที่ 4 ตั้งกองบัญชาการส่วนหน้าเพื่อประสานงานปฏิบัติการทางทหารในภาคใต้ ปีเดียวกันมีการประกาศกฎอัยการศึกทั่วจังหวัดปัตตานี ยะลาและนราธิวาส ทำให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจจับกุมบุคคลโดยไม่มีหมายศาล และสามารถค้นและกักขังโดยไม่ต้องแจ้งข้อหาได้:18 มีการเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการถึง 3 ครั้งระหว่างปี 2547–49 นอกจากนี้ยังมีการขัดขากันเองของหน่วยงานในกองทัพภาคที่ 4 และการวางกำลังแบบอยู่กับที่ จึงมีผลทำให้ยกชนบทให้แก่ผู้ก่อการกำเริบ ในปี 2548 รัฐบาลตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ เพื่อส่งเสริมสันติภาพและความปรองดองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีการเสนอแนะนโยบายและวิธีดำเนินงานหลายอย่าง แต่รัฐบาลไม่รับทำ หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 รัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ กล่าวขอโทษต่อประชาชนภาคใต้ ปรับปรุงความสัมพันธ์กับประเทศมาเลเซีย และเสนอการปฏิรูปหลายอย่าง แต่มีการปฏิบัติจริงเพียงเล็กน้อย รัฐบาลให้ตั้งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ใหม่ แต่กว่าหน่วยงานดังกล่าวจะเข้ามามีบทบาทเข้มแข็งในการประสานงานปฏิบัติการข่าวกรองและยุทธวิธีก็ปลายปี 2552–ต้นปี 2553 หลายรัฐบาลตั้งแต่รัฐบาลทักษิณมาจนถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาความไม่สงบต่ำ มีการจัดอาสาสมัครป้องกันหมู่บ้านเพื่ออารักขาครูในพื้นที่ แต่อาสาสมัครดังกล่าวติดอาวุธเบา และไม่มีเครื่องป้องกัน นอกจากนี้ ทหารพรานซึ่งมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือเสียมาก มีการชั่งใจในการเลือกเป้าหมายต่ำและมักก่อวิสามัญฆาตกรรมและการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างอื่น อาวุธปืนมักเป็นอาวุธที่ปลดประจำการแล้ว พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก สั่งเพิ่มทหารและการลาดตระเวน ทำให้การก่อเหตุที่สูงสุดในปี 2550 ค่อย ๆ ลดลง ในปี 2554 ทางการมีกำลังความมั่นคงในพื้นที่ 60,000 นาย โดยรวมทหารพราน 10,000 นาย จนถึงปีนั้น รัฐบาลใช้งบประมาณเพื่อพยายามแก้ปัญหาในพื้นที่ 145,000 ล้านบาท ในปี 2550 กองทัพใช้วิธีกักขังหมู่ผู้ต้องสงสัยกว่า 2,000 คน ในคดีความมั่นคงกว่า 7,400 คดีนั้น ปิดคดีไม่ได้กว่า 77% และชาวบ้านที่ถูกตำรวจจับจนถึงปี 2554 นั้นมีเพียง 19% ที่ถูกตั้งข้อหา ศาลสั่งปล่อยตัวผู้ต้องขังกว่า 90% ด้านกองทัพใช้วิธีกักขังซึ่งอาจนานถึง 12 ถึง 18 เดือน แล้วหลังปล่อยตัวไม่ได้รับให้กลับภูมิลำเนาเดิม รัฐบาลอภิสิทธิ์อัดฉีดงบประมาณพัฒนาห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ปี 2552–2555 เป็นจำนวน 63,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีนโยบายลงโทษ "พื้นที่สีแดง" คือ จะให้งบประมาณแก่พื้นที่ที่มีอัตราความไม่สงบต่ำ นอกจากนี้ยังมีองค์การนอกภาครัฐระบุว่างบพัฒนาหายไป 20% และหลายคนเสนอว่างบประมาณอาจไปสนับสนุนฐานเสียงพรรคประชาธิปัตย์ วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามคำสั่งนายกรัฐมนตรี กำหนดให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คผบ.จชต.) ประกอบด้วย ประธาน 1 คน และคณะกรรมการ 5 คน ซึ่งมี 5 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านความมั่นคง 2. ด้านการต่างประเทศ 3. ด้านการศึกษา 4. ด้านเศรษฐกิจ และ 5. ด้านสังคมพหุวัฒนธรรม มีวาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปี วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานคณะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2564 นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งหมด 5 รายชื่อ ประกอบด้วย 1. พล.อ.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ ด้านความมั่นคง 2. รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ด้านการต่างประเทศ 3. นายเชื่อง ชาตอริยะกุล ด้านเศรษฐกิจ 4. นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ด้านการศึกษา 5. นายดลเดช พัฒนรัฐ ด้านสังคมพหุวัฒนธรรม งบประมาณแผ่นดินเพื่อการแก้ปัญหาและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน่วย: ล้านบาท) การเจรจา[แก้]รัฐบาลไทยเจรจาโดยอ้อมกับผู้ก่อความไม่สงบตั้งแต่สมัยนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร แต่ไม่ใช่ทุกกลุ่มที่เห็นชอบกับการเจรจา ผู้นำองค์การปัตตานีมีการประชุมกันทุก 2 เดือนในประเทศมาเลเซีย โดยองค์การข่าวกรองภายนอกและกระทรวงกลาโหมมาเลเซียเป็นผู้ผลักดัน แต่การเจรจาไม่มีความคืบหน้าตั้งแต่ปี 2550 ผู้นำกลุ่ม BRN-C ที่ก่อเหตุมากที่สุด ไม่เห็นประโยชน์ของการเจรจา รวมทั้งสมาชิกเข้าร่วมการประชุมในมาเลเซียแต่ไม่ยอมเจรจากับรัฐบาลไทย ในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ผู้แทนรัฐบาลยิ่งลักษณ์และกลุ่ม BRN ลงนาม "ฉันทามติทั่วไปว่าด้วยกระบวนการเจรจาสันติภาพ" ที่แสดงเจตนาของรัฐบาลที่จะเจรจากับผู้ก่อความไม่สงบ ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ นับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไทยรับรองกลุ่มก่อความไม่สงบอย่างเปิดเผย:3 อย่างไรก็ดี นักวิจารณ์มองว่าทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ริเริ่มนโยบายดังกล่าว และมองว่าเขาต้องการแก้ไขภาพลักษณ์ของตนที่ดำเนินนโยบายผิดพลาดในสมัยรัฐบาลเขา และสภาผู้นำ BRN ไม่รับรองการเจรจาดังกล่าว ต่อมา BRN มอบหมายให้ผู้นำสายแข็งสองคนก่อนการประชุมรอบแรกในเดือนมีนาคม 2556:3–4 BRN ออกข้อเรียกร้องห้าข้อในรูปวิดีทัศน์ทางยูทูบก่อนการประชุมรอบแรก ซึ่งในการประชุมรอบสองในเดือนเมษายน 2556 รัฐบาลแถลงว่ากำลังพิจารณาเพิกถอนหมายจับผู้ต้องสงสัยก่อความไม่สงบซึ่งเป็นข้อเรียกร้องหนึ่ง ในการประชุมรอบสามในเดือนมิถุนายน ผู้แทน BRN ตกลงว่าจะพยายามลดความรุนแรง:4–5 การเจรจาดังกล่าวทำให้เกิดข้อริเริ่มสันติภาพเราะมะฎอนซึ่งมุ่งลดความรุนแรงในช่วงถือศีลอด:5 วันที่ 12 กรกฎาคม ประเทศมาเลเซียประกาศว่าทั้งสองฝ่ายพยายามลดความรุนแรงตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคมถึง 18 สิงหาคม:5 อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ระเบิดแสวงเครื่องและการตอบโต้ของทางการทำให้การลดความรุนแรงล้มเหลว วันที่ 6 สิงหาคม มีวิดีทัศน์จากกลุ่ม BRN ว่ากลุ่มระงับการเจรจากับรัฐบาลไทย:6 ในเดือนเมษายน 2560 กลุ่มบีอาร์เอ็นออกแถลงการณ์เรียกร้องเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลไทย โดยให้มีตัวกลางไกล่เกลี่ยที่เป็นกลางจริง ๆ มีอำนวยการ แต่บีอาร์เอ็นจะรอจนฝ่ายการเมืองของกลุ่มมีความพร้อมเสียก่อน และจะไม่เจรจาหากถูกกดดัน ต่อมาได้มีการแต่งตั้งหัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ จาก พล.อ.อักษรา เกิดผล เป็น พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ และมี พล.ต.อ.ตัน สรี อับดุล ราฮิม บินโมฮัมหมัด นูร์ เป็นหัวหน้าคณะผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประเทศมาเลเซีย คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้[แก้]ผลกระทบ[แก้]ระหว่างปี 2547–2552 มีมุสลิมเสียชีวิต 2,337 คน พุทธเสียชีวิต 1,607 คน มุสลิมได้รับบาดเจ็บ 2,389 คน และพุทธได้รับบาดเจ็บ 4,207 คน จนถึงปี 2554 ความไม่สงบทำให้เกิดหญิงหม้าย 2,100 คนและเด็กกำพร้า 5,000 คน ในปี 2562 ยอดเด็กกำพร้าในพื้นที่เพิ่มเป็น 9,800 คน ผลทำให้ประชากรพุทธกว่า 20% หนีออกจากพื้นที่ ชาวพุทธที่เหลือส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมือง ชาวพุทธในชนบทส่วนมากอยู่รวมกันโดยติดอาวุธแน่นหนา มีผู้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าที่การก่อเหตุลดลงเพราะผู้ก่อเหตุประสบความสำเร็จในการขับไล่ชาวพุทธบางส่วนออกจากพื้นที่ ผลจากการฆ่าพระสงฆ์ในพื้นที่ทำให้สภาสงฆ์นราธิวาสสั่งงดบิณฑบาต ทำให้ชาวพุทธในพื้นที่เสียกำลังใจ เหตุการณ์ดังกล่าวยังทำให้มีการลงมือตอบโต้กับนักบวชและครูมุสลิม ในเดือนมิถุนายน 2552 เกิดเหตุแก้แค้นโจมตีมัสยิดในอำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ถูกกลุ่มมือปืนโจมตี ซึ่งมีผู้ต้องสงสัยเป็นกลุ่มอาสาสมัครหมู่บ้านและมีผู้สนับสนุนระดับสูง อัตรามารดาเสียชีวิตขณะคลอดในจังหวัดปัตตานี ยะลาและนราธิวาสคิดเป็น 9% ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานประเทศสามเท่า โดยสาเหตุมาจากความรุนแรงทำให้ไม่ได้รับการฝากครรภ์อย่างเหมาะสม อัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้นสองเท่าระหว่างปี 2546 ถึง 2549 อัตราตายทารกสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ 30% นอกจากนี้ยังมีปัญหาไม่ได้แจ้งเกิด ไม่ได้รับวัคซีนและทุพโภชนาการ ปัญหาความไม่สงบยังทำให้ขาดแคลนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ โดยมีการขอย้ายออกกว่า 9,000 คน และคงเหลือพยาบาลภาครัฐในห้าจังหวัดใต้สุดของประเทศ 1,300 คน ดูเพิ่ม[แก้]
อ้างอิง[แก้]
|