ภาพรวมแนวโน้มอุตสาหกรรมไทยในระยะ 3 ปีข้างหน้าจะพิจารณาครอบคลุมทั้งปัจจัยด้านความท้าทายและโอกาสที่สะท้อนความน่าสนใจ (Attractiveness) ในการทำธุรกิจของแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาค และปัจจัยภายในเฉพาะด้านของอุตสาหกรรมนั้น Show
เศรษฐกิจโลกปี 2566-2568: ประเทศแกนหลักมีแนวโน้มชะลอตัว ท่ามกลางกระแส Deglobalization การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก...มีผลต่อทิศทางธุรกิจ/อุตสาหกรรมในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยปี 2566-2568: การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศช่วยบรรเทาผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ปี 2565 ดัชนีชี้วัดความสามารถในการแข่งขัน (IMD World Competitiveness Ranking) ของไทยลดลงอยู่อันดับที่ 33 จาก 63 ประเทศทั่วโลก โดยอันดับลดลงทุกด้าน ได้แก่ ด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic performance) ลดลงสูงสุดถึง 13 อันดับ (ภาพที่ 10) เนื่องจากไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี ด้านประสิทธิภาพภาครัฐ (Government efficiency) ลดลง 11 อันดับ จากการขาดดุลการคลังและหนี้สาธารณะปรับเพิ่มขึ้น ด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business efficiency) ลดลง 9 อันดับ จากผลิตภาพและประสิทธิภาพที่ไทยแข่งขันกับประเทศอื่นได้น้อยลงในภาพรวม ท่ามกลางกำลังแรงงานที่เติบโตชะลอลง และท้ายสุด คือ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ลดลง 1 อันดับจากปัจจัยด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม สำหรับประเทศที่ได้อันดับ 1 คือ เดนมาร์ก ซึ่งมีความก้าวหน้าด้านดิจิทัลสูงสุดในโลก ส่วนประเทศเพื่อนบ้านที่มีอันดับดีขึ้น ได้แก่ สิงคโปร์ (อันดับ 3 จากเดิม 5) และฟิลิปปินส์ (อันดับ 48 จากเดิม 52) เมื่อพิจารณาสัดส่วนการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา R&D) ของไทยอยู่ที่ระดับเพียง 1.3% ของ GDP ต่ำสุดเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในเอเชีย (ภาพที่ 11) และยังห่างจากเป้าหมาย 2% ที่กำหนดไว้ในปี 2570 ขณะที่กลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับบนเช่นเดียวกับไทย และประเทศรายได้สูงจะมีสัดส่วนเฉลี่ยที่ 1.4% และ 2.4% ตามลำดับ (ที่มา: UNESCO) สะท้อนว่าการเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการวิจัยและพัฒนา และปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อเร่งสร้างนวัตกรรมเพิ่มผลิตภาพทุกภาคส่วนให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เป็นปัจจัยท้าทายสำคัญของภาครัฐและเอกชนที่จะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของไทยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืนท่ามกลางสภาวะแวดล้อมของโลกที่มีความผันผวนสูง การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบต่างๆ ของทางการที่อาจมีผลต่อภาคอุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์
ภาคการผลิต
อุตสาหกรรมยานยนต์ การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยานยนต์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีสาระสำคัญดังนี้
− รถ HEV ความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 cc แบ่งเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 ตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 ถึง 31 ธันวาคม 2570 เก็บภาษีอัตรา 6-24% ตามปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2 ช่วงที่ 2 ตั้งแต่ 1 มกราคม 2571 ถึง 31 ธันวาคม 2572 อัตรา 8-26% และช่วงที่ 3 ตั้งแต่ 1 มกราคม 2573 เป็นต้นไป อัตรา 10-28% ส่วนรถ HEV ความจุกระบอกสูบเกิน 3,000 cc เก็บภาษีอัตรา 40% ตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 − รถ PHEV ความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 cc กรณีวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไม่ต่ำกว่า 80 กม./การประจุไฟฟ้า 1 ครั้ง และถังน้ำมันไม่เกิน 45 ลิตร อัตราภาษีอยู่ที่ 5% ส่วนกรณีวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ต่ำกว่า 80 กม. และถังน้ำมันมากกว่า 45 ลิตร จัดเก็บอัตรา 10% สำหรับรถ PHEV ความจุกระบอกสูบเกิน 3,000 cc เก็บภาษีอัตรา 30% ตั้งแต่ 1 มกราคม 2569
− รถยนต์นั่งความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 cc แบ่งเป็น ช่วงที่ 1 ตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 ถึง 31 ธันวาคม 2570 จัดเก็บภาษีอัตรา 13-34% ตามปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2 ช่วงที่ 2 ตั้งแต่ 1 มกราคม 2571 ถึง 31 ธันวาคม 2572 อัตรา 14-36% และช่วงที่ 3 ตั้งแต่ 1 มกราคม 2573 เป็นต้นไป อัตรา 15-38% − รถยนต์นั่งความจุกระบอกสูบเกิน 3,000 cc จัดเก็บภาษี 50% ตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 เพื่อสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
\> มาตรการอุดหนุนยานยนต์ไฟฟ้า BEV โดยภาครัฐให้เงินอุดหนุนแก่ผู้บริโภคในวงเงิน 70,000-150,000 บาท สำหรับรถราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท และ 18,000 บาท สำหรับรถราคาไม่เกิน 1.5 แสนบาท ในช่วงปี 2565-2568 เพื่อดึงดูดผู้บริโภค \> การปรับลดภาษีประจำปีสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า BEV โดยรถที่จดทะเบียนระหว่าง 1 ตุลาคม 2565 ถึง 30 กันยายน 2568 ให้ปรับลดภาษี 80% ของอัตราภาษีประจำปี เป็นเวลา 1 ปี เพื่อส่งเสริมและจูงใจให้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม ลดปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2 และปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในอากาศ ภาคพลังงานและสิ่งแวดล้อม
ธุรกิจการเงิน
ภาคท่องเที่ยว
อื่นๆ
วิจัยกรุงศรีประเมินว่าปัจจัยแวดล้อมด้านเศรษฐกิจมหภาคและภาคธุรกิจ/อุตสาหกรรมดังกล่าวข้างต้น จะเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของผู้ประกอบการในภาคธุรกิจ/อุตสาหกรรม ที่ต้องเร่งปรับตัวให้สอดคล้องกับบริบทของเศรษฐกิจและสังคมโลก รวมถึงกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อวางรากฐานและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้ภาคธุรกิจ/อุตสาหกรรมเติบโตได้อย่างแข็งแรงและยั่งยืนในระยะยาว แนวโน้มธุรกิจและอุตสาหกรรมไทย ปี 2566-68อุตสาหกรรมเกษตรข้าวสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
ยางพาราสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
มันสำปะหลังสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
น้ำตาลและกากน้ำตาลสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
ปาล์มน้ำมันสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
ไก่แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูปสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
ปลากระป๋องสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
อุตสาหกรรมพลังงานและสาธารณูปโภคผลิตไฟฟ้าสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
โรงกลั่นน้ำมันสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568 วิจัยกรุงศรีคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะเฉลี่ยที่ 82 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลในปี 2566 แม้ภาวะเศรษฐกิจโลกจะซบเซา แต่อุปทานน้ำมันที่ถูกจำกัดจากการสู้รบรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ ส่งผลให้ราคาน้ำมันยังทรงตัวสูงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาน้ำมันจะปรับลดลงในปี 2567 และ 2568 อยู่ที่ระดับเฉลี่ย 76 และ 70 ดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ จากปัจจัยด้านสงครามที่คลี่คลาย ทำให้ราคาน้ำมันกลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น สำหรับทิศทางธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน สรุปได้ดังนี้
เอทานอลสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
ไบโอดีเซลสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีปิโตรเคมีสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ยาแผนปัจจุบันสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
ปุ๋ยเคมีสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ผู้ผลิตรถยนต์สถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ใหม่สถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
ผู้จำหน่ายรถยนต์มือสองสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
รถจักรยานยนต์สถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
ชิ้นส่วนยานยนต์สถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) สถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
แผงวงจรรวม (IC) สถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
เครื่องใช้ไฟฟ้า สถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
อุตสาหกรรมอื่นๆเครื่องมือแพทย์สถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
ธุรกิจก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างรับเหมาก่อสร้างสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568 มูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวม 3 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มขยายตัวเฉลี่ย 4.5-5.0% ต่อปี ปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการเร่งลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และภาวะเศรษฐกิจที่จะทยอยฟื้นตัว ซึ่งจะหนุนให้การลงทุนก่อสร้างภาคเอกชนทั้งโครงการที่อยู่อาศัยและโครงการเพื่อการพาณิชย์กระเตื้องขึ้น
วัสดุก่อสร้างสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
กลุ่มผู้ค้าวัสดุก่อสร้าง
เหล็กเหล็กแผ่นรีดร้อน สถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
เหล็กเส้นและเหล็กรูปพรรณสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568 ตลาดที่อยู่อาศัยในระยะ 3 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง สรุปได้ดังนี้
ที่อยู่อาศัย (6 จังหวัดหลักภูมิภาค)สถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568 ธุรกิจที่อยู่อาศัยใน 6 จังหวัดหลักมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ผลจาก (1) เป็นพื้นที่ที่กำลังซื้อ (ไทยและต่างชาติ) จะกลับมาได้เร็ว จากความโดดเด่น อาทิ การเป็นเมืองท่องเที่ยว การเป็นที่ตั้งของเมืองอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ EEC และการเป็นศูนย์กลางของจังหวัดในภูมิภาค (2) การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ อาทิ รถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินจะหนุนให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเติบโตตามมา ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยในชลบุรีและระยองฟื้นตัวได้เร็วกว่าจังหวัดอื่น (3) ความต้องการบ้านเพื่อเป็นที่พักอาศัย/บ้านหลังที่ 2 ที่มีพื้นที่ทำงานแบบ Hybrid workplace มีมากขึ้น และ (4) การแข่งขันในทำเลกรุงเทพฯ และพื้นที่โดยรอบมีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะราคาที่ดินปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การเติบโตของธุรกิจยังถูกจำกัดจาก (1) หนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มทรงตัวระดับสูงส่งผลให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ (2) ต้นทุนการพัฒนาโครงการมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นตามราคาวัสดุก่อสร้างและราคาพลังงาน และ (3) การกลับมาใช้เกณฑ์กำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV Ratio) ของธปท.3/ หลังผ่อนคลายชั่วคราวในช่วง COVID-19 แพร่ระบาด อาจทำให้ผู้ซื้อชะลอการตัดสินใจซื้อโดยเฉพาะกลุ่มซื้อเพื่อลงทุนในตลาดคอนโดมิเนียม
อาคารเชิงพาณิชย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลอาคารสำนักงาน สถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
พื้นที่ค้าปลีกให้เช่า[1]สถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
นิคมอุตสาหกรรมสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568 ยอดขายและให้เช่าที่ดินฯ ในแต่ละปีคาดว่าจะกลับมาขยายตัวดีที่ 18.0-20.0% ต่อปี อยู่ที่ 2,200 ไร่ 2,700 ไร่ และ 3,000 ไร่ ในปี 2566, 2567 และ 2568 ตามลำดับ ปัจจัยหนุนจาก (1) ภาวะคลี่คลายของ COVID-19 และการเปิดประเทศของไทยมากขึ้น หนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติให้ทยอยฟื้นตัว (2) แนวโน้มการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติมาอาเซียนรวมถึงไทยมากขึ้น จากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ล่าสุด มีบริษัทต่างชาติขยายฐานการผลิตมาไทยหลายราย เช่น บริษัท บีวายดี ออโต้อินดัสทรี จำกัด จากประเทศจีน ขยายการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้านอกประเทศแห่งแรกที่นิคมฯ ในจังหวัดระยอง เป็นต้น (3) ความคืบหน้าของโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC และ (4) มาตรการกระตุ้นการลงทุนจากภาครัฐที่ทยอยออกมาต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการนิคมฯ มีแนวโน้มมุ่งพัฒนานิคมฯ ในรูปแบบ Smart park ที่มีความทันสมัยด้านเทคโนโลยีและพัฒนานิคมฯ เชิงนิเวศ (Eco Factory and Eco Industrial Town) ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เน้นทำธุรกิจเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะสามารถดึงดูดนักลงทุนทั้งจากไทยและต่างชาติได้ในระยะข้างหน้า
ธุรกิจให้บริการโรงแรมสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568 คาดธุรกิจโรงแรมมีแนวโน้มฟื้นตัวในอัตราเร่งต่อเนื่อง โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนวิกฤต COVID-19 (ปี 2562) ได้ในปี 2568 ที่ประมาณ 42 ล้านคน ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวไทยมีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้เร็วกว่า โดยคาดว่าจะกลับมาอยู่ในระดับปกติในปี 2567 ประมาณ 185 ล้านทริป จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการโรงแรมรายใหญ่ยังคงขยายการลงทุนต่อเนื่อง แม้อาจล่าช้ากว่าแผนอยู่บ้าง โดยคาดว่าอัตราเข้าพักทั่วประเทศจะทยอยปรับเพิ่มขึ้นเป็นลำดับเฉลี่ยที่ 64% ในปี 2566 เป็น 68% ในปี 2567 และจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับก่อนวิกฤต (ปี 2562) ที่ 71% ในปี 2568
โรงพยาบาลเอกชนสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568 รายได้ของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนมีแนวโน้มปรับดีขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 13.0-15.0% ต่อปี จากปัจจัย ดังนี้
ธุรกิจค้าปลีกร้านค้าปลีกสมัยใหม่สถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
ธุรกิจบริการทางการเงินบัตรเครดิตสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
ธุรกิจบริการอื่นๆบริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่สถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568 ธุรกิจบริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่มีแนวโน้มเติบโตแต่ในอัตราไม่สูงนัก คาดรายได้ค่าบริการจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.0-3.0% ต่อปี จากปัจจัยหนุนดังนี้
โลจิสติกส์คลังสินค้าทั่วไป สถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
บริการเดินรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
บริการขนส่งสินค้าทางทะเลสถานการณ์ปี 2565
แนวโน้มปี 2566-2568
บริการดิจิทัลและซอฟต์แวร์สถานการณ์ปี 2565 รายได้ของธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตดีในอัตรา 24.0% ในปี 2565 จาก 26.8% ในปี 2564 โดยการแข่งขันในธุรกิจมีทิศทางรุนแรงขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เล่นรายใหม่ที่เข้ามาพัฒนาแพลตฟอร์มที่หลากหลาย
ซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์: รายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 11.0-12.0% จากการขยายตัวของเทคโนโลยีระบบ Cloud พร้อมกับการพัฒนาเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุมมากขึ้น เอื้อต่อระบบให้บริการด้าน Cloud-based Software as a Service (SaaS) รองรับการปรับตัวของภาคเอกชนสู่ Digital transformation ที่เข้มข้นมากขึ้นตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิตและบริการ และทำให้บริษัททั้งขนาดใหญ่และ SMEs มีการลงทุนด้านซอฟต์แวร์ในการพัฒนาองค์กรมากขึ้น โดยธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูง ได้แก่ SaaS, Software integration & consultation |