ทำไมเวียดนามที่ยังตามหลังเราอยู่ กลับมีเมืองใหญ่ที่เจริญทัดเทียมกันอยู่ 2 เมือง คือ ฮานอย กับโฮจิมินห์แต่ไทยเราที่ตอนนี้ยังเจริญกว่ากลับมีกรุงเทพที่เจริญอยู่เมืองเดียวครับ (โตเดี่ยวอยู่เมืองเดียวทั้งประเทศ) ที่เวียดนามมีเมืองเจริญทัดเทียมกันทั้ง 2 เมือง (ฮานอย กับโฮจิมินห์) ไม่ทราบว่ามีผลมาจากสงครามเวียดนามที่มีการแบ่งประเทศเป็น เวียดนามเหนือ กับเวียดนามใต้รึป่าวครับ เลยมีเมืองเจริญทัดเทียมกันตั้ง 2 เมือง (ตอนสงครามเวียดนาม ฮานอยเป็นเมืองหลวงของเวียดนามเหนือ และโฮจิมินห์เป็นเมืองหลวงของเวียดนามใต้) ผิดกับไทยที่ไม่เคยมีการแบ่งประเทศ เลยเจริญเดี่ยว แค่ กรุงเทพฯ อยู่เมืองเดียว (เชียงใหม่ ภูเก็ต ยังเจริญไม่เท่ากรุงเทพฯน่ะครับ แต่ฮานอยกับโฮจิมินห์ ความเจริญ จำนวนประชากร เศรษฐกิจ แทบไม่ต่างกันเลย) เวียดนามนี่คล้ายกับญี่ปุ่นที่มี โตเกียว โอซาก้า เยอรมันมีแฟรงค์เฟิร์ตกับมิวนิค อิตาลีมีโรมกับมิลาน ออสเตรเลียมีซิดนีย์กับเมลเบิร์น สเปนมีมาดริดกับบาร์เซโลน่า ที่มีเมืองเจริญ 2 เมือง เท่าเทียมกัน ส่วนอเมริกาเจริญหลายเมืองมาก นับไม่ถ้วน ยังมีหลายคนบอกว่า เชียงใหม่ ขอนแก่น อุบล อุดร หาดใหญ่ หัวหิน ก็เจริญ แต่เอาจริงๆมันเจริญเท่าเทียมกับกรุงเทพมั้ยอ่ะ ก็ไม่นิ่ มันไม่เหมือนเคสของ ฮานอย กับโฮจิมินห์เลยน่ะ อันนั้นเจริญเท่ากัน คนหลั่งไหลมาทำงาน 2 เมืองนี้ พอๆกัน แต่ประเทศไทยหลั่งไหลมาทำแต่ที่กรุงเทพฯและปริมณฑล อีกสิ่งที่วัดได้คือ จำนวนสายการบินต่างชาติที่มาลง และขนาดของสนามบิน เชียงใหม่ ภูเก็ตมีสายการบินต่างชาติมาลงเยอะเท่ากรุงเทพรึป่าว แล้วดูของเวียดนาม สายการบินต่างชาติมาลงเยอะทั้งฮานอย ทั้งโฮจิมินห์ในจำนวนที่พอๆกันเลย สายการบินต่างชาติสะท้อนเศรษฐกิจได้น่ะครับ ไม่จำเป็นต้องท่องเที่ยวอย่างเดียว ติดต่อธุรกิจก็บินมาครับ และ 2 เมืองนี้ ขนาดสนามบินก็พอๆกัน ไฟลท์เยอะเหมือนกันด้วย และระบบขนส่งสาธารณะอีก กรุงเทพระบบขนส่งดีกว่าทุกเมือง มีทั้งรถไฟฟ้า รถเมล์ มีจังหวัดไหนมีบ้างล่ะครับ (ไม่นับปริมณฑลที่ได้อานิสงฆ์จากกรุงเทพฯ) เป็นฮับของการขนส่งทุกรูปแบบ ซึ่งฮานอย และโฮจิมินห์ระบบขนส่งสาธาณะพอๆกัน เป็นฮับของการขนส่งทั้งคู่ ได้ฤกษ์หยิบเอาทริปที่ดองไว้ในโหลจนเค็มได้ที่มาฝากกัน 55555 สี่สาว backpackers มือสมัครเล่น ตะลุยเวียดนาม บัดเจ็ตหมื่นนึงมีทอน ไปมา 3 เมืองด้วยกันคือ ดาลัด มุยเน่ โฮจิมินห์ ไปมาเมื่อสงกรานต์ 2562 นะคะ เขินเลย ดองนานเกินไปมั้ย แต่ว่ายังเก็บข้อมูลไว้อยู่บ้าง ซึ่งทริปนี้มันสนุก มันจึ้งตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง อาม่าบอกแล้ว ปีชงอย่ามาเที่ยว ช่วงนี้จะเห็นแต่รีวิวฮานอย ซาปา หรือทางเวียดนามกลางเป็นส่วนใหญ่ ถ้าอยากจะสวนกระแส ก็ลงใต้ไปเลยดีกว่า เผื่อใครกำลังวางแพลนการเดินทางเที่ยวเวียดนามใต้ เอาไว้ประกอบการตัดสินใจนะคะ แพลนการเดินทาง Route นี้ถือว่าระยะทางของแต่ละเมืองค่อนข้างไกลกัน พวกเราก็เลยตัดสินใจเดินทางแบบไม่ย้อนกลับ บินลงดาลัด เที่ยวลงใต้มาเรื่อย ๆ และบินกลับไทยจากโฮจิมินห์ค่ะ แบบนี้ไม่เหนื่อยมาก แพลนการเดินทางจะออกมาหน้าตาแบบนี้นะคะ DAY 1 กทม. – ดาลัด {วันแรกถูก Rescheduled แบบไม่ทันตั้งตัว} Day 2 ดาลัด – มุยเน่ (Dalat City Tour – sleeping bus to Mui Ne) Day 3 มุยเน่ - โฮจิมินห์ (Mui Ne tour – sleeping bus to Ho Chi Minh) Day 4 โฮจิมินห์ - กทม. ข้อมูลเบื้องต้นแต่ละเมือง Dalat - ดาลัด เป็นเมืองที่อากาศดีแทบจะทั้งปี เทียบไปจะคล้ายเชียงใหม่ เขาค้อ ประมาณนี้ค่ะ เป็นเมืองในหุบเขา ขนาดเราไปช่วงเมษา อากาศยังประมาณ 10 กว่าองศา นอนไม่ต้องเปิดแอร์เลย ดอกไม้ใบหญ้าสวยเชียว ดอกไฮเดรนเยียใหญ่เท่ากระด้งแน่ะ Muine - มุยเน่ เมืองตากอากาศติดทะเล คนชอบมาเล่นเซิร์ฟกัน Vibe ดีสุดดดดด ๆ อากาศดี อาหารทะเลราคาดี เราเจอร้านอาหารที่ชอบมากที่สุดในทริปอยู่ที่เมืองนี้แหละ ที่นี่เป็นที่ตั้งของ Sand dunes หรือทะเลทรายนะคะ Ho Chi Minh - โฮจิมินห์ เมืองทางใต้ที่เจริญมาก ๆ เมื่อก่อนชื่อเมืองไซง่อน แต่เปลี่ยนมาเป็นโฮจิมินห์ซิตี้หลังจากลุงโฮรวมประเทศนั่นเองค่ะ เมืองนี้อากาศพอ ๆ กับไทย ผู้คนรถราเยอะแยะไปหมด และคาเฟ่เริ่ด ๆ ก็เยอะเช่นกัน ใครสาย Café hopping รับรองถูกใจแน่นอน เวียดนามใช้ Timezone เดียวกับเรา ไม่ต้องปรับเวลาค่ะ ประเทศนี้ที่เที่ยวหลากหลาย แต่ละเมืองมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ใช้เงินสกุล ดอง (VND) 10.000 VND ราว15บาทไทย คนเยอะ มอเตอร์ไซค์เยอะ บีบแตรกันสนุก ของถูก (ถ้าไม่ถูกโกง) คนเตือนให้ระวังเรื่องถูกโกง แต่จะระวังยังไงไหว 555 เดี๋ยวสรุปค่าใช้จ่ายเราลงไว้หลังรีวิวเสร็จนะคะ ถูกจนน่าตกใจ จนแบบ เฮ้ย มันถูกจังวะ (นี่ขนาดโดนโกงด้วยนะเนี่ย สภาพ) เรทเงินขออนุญาตคิดกลม ๆ 10.000 VND เท่ากับ 15 บาทไทยนะคะ พร้อมข้อดี ข้อเสียของการท่องเที่ยวครั้งนี้ไว้ให้ค่ะ ในที่สุดก็ได้ไปเที่ยวอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานถึง 2 ปี ทริปนี้เราไปเที่ยวเวียดนามกัน อีกหนึ่งประเทศที่กำลังอิตมากเพราะเปิดประเทศแล้ว เที่ยวแบบไม่ต้องกักตัว ไม่ต้องเตรียมเอกสารให้ยุ่งยาก แพลนของเราคือเวียดนามกลางอีกภูมิภาคที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เพราะเดินทางสะดวก สถานที่ท่องเที่ยวก็หลากหลาย ทั้งหมู่บ้านพักตากอากาศบนเขา พระราชวังโบราณ และเมืองมรดกโลก ที่สำคัญเป็นครั้งแรกที่เราจะไปกับทัวร์เพราะเป็นทริปของบริษัท (ขอกราบผู้บริหาร ) แต่ก่อนจะเดินทางเราก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อน1. เอกสารสำหรับการเดินทาง: อัพเดท 08/2022 การผ่านเข้าเวียดนามใช้เพียงแค่พาสปอร์ตที่มีอายุเกิน 6 เดือนนับจากวันเดินทาง ส่วน Vaccine Passport ใช้ check in ก่อนขึ้นเครื่องที่ไทย (แนะนำให้สอบถามกับสายการบินก่อน) 2. การแลกเงิน: ใช้เงินสกุล VND เป็นหลัก บางสถานที่รับ USD หรือเงินบาท ให้แลกจากไทยเลย สะดวกดี 3. ซิมการ์ด: มีขายที่สนามบิน แต่ถ้าไม่อยากยุ่งยากให้ซื้อจากไทย ราคาไม่ต่างมาก สัญญาณดี (บนบานาฮิลล์ก็ใช้ได้) 4. เครื่องแต่งกาย: เสื้อแขนยาว แว่นกันแดด หมวกและร่มต้องพร้อม เพราะเวียดนามกลางอากาศร้อนและแดดแรงมาก 5. ปลั๊กไฟมีทั้งแบบ 2 ขาและ 3 ขาเหมือนไทย กระแสไฟ 220 V 6. ใช้เขตเวลาเดียวกัน ไม่ต้องปรับนาฬิกา ถ้าพร้อมแล้ว เราไปลุยเวียดนามกลางกันครับ !!!! Bana Hill เมืองพักตากอากาศบนยอดเขาบานา ที่ถูกเนรมิตให้เป็นหมู่บ้านฝรั่งเศส ด้านบนมีสวนสนุก สวนดอกไม้ และมีมุมถ่ายรูปสวยๆเยอะ โดยเฉพาะสะพานมือยักษ์ที่เป็นจุดดึงดูดให้นักเที่ยวขึ้นมาบนบานาฮิลล์ Hue (เว้) คนเวียดนามจะออกเสียงว่า เ(ห)ว่ เมืองที่ถูกขนานนามว่าเป็นนครแห่งจักรพรรดิ เคยเป็นเมืองหลวงเก่าในช่วงปี ค.ศ. 1802-1945 และเป็นศูนย์กลางการปกครองของราชวงศ์สุดท้ายในเวียดนาม Hoi An(ฮอยอัน) เมืองขนาดเล็กในจังหวัดกว่างนัม ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ในฐานะเมืองท่าที่เก่าแก่ ทั้งเมืองเต็มไปด้วยอาคารเก่าสีเหลืองมัสตาร์ด จนกลายเป็นเสน่ห์ของเมืองนี้ Da nang (ดานั๋ง) ประตูสู่เวียดนามกลาง ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทางผ่านไปยังเมืองอื่นอีกแล้ว แต่กลายเป็นอีกเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของเวียดนาม เราเดินทางสู่เวียดนามด้วยสายการบิน Vietjet ขั้นตอนการ check in เจ้าหน้าที่จะขอตรวจ Vaccine Passport ใครเดินทางช่วงนี้อาจจะต้องเตรียมเผื่อไว้ก่อน ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 1.5-2 ชั่วโมง ก็ถึงสนามบินเมืองดานัง พิธีการผ่านเข้าเมืองก็สบายๆ ไม่ตรวจเอกสารเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนเลย ใช้แค่พาสปอร์ต หลังจากรับกระเป๋าเรียบร้อย เราก็นั่งรถบัสมุ่งหน้าสู่เว้ จากดานังไปเว้ใช้เวลาประมาณ 90 นาที ไกด์เล่าว่าการเดินทางสมัยนี้สะดวกมาก เนื่องจากรัฐบาลเจาะอุโมงค์ทะลุผ่านภูเขา (เป็นอุโมงค์ที่ยาว ที่สุดในอาเซียน) ทำให้การเดินทางไปยังเว้ประหยัดเวลามากขึ้น เทียบกับสมัยก่อนที่ต้องขับอ้อมขึ้นภูเขา ซึ่งช้าและเส้นทางอันตรายมากกว่า สถานที่แรกในเว้ที่เราไปก็คือ ตลาดดงบา แต่ยังไม่ทันได้สำรวจตลาดก็โดนตกด้วย แหนมเนืองซะก่อน 😆รสชาติคล้ายกินที่ไทยแต่น้ำจิ้มจะหวานกว่า ทีเด็ดของที่นี่คือหมูย่าง ขอคารวะฝีมือการย่างของคนเวียดนามเลย ราคาไม้ละ 10,000 VND ส่วนแป้งที่ห่อผักมาให้ก็คำละ 10,000 VND เช่นกัน ต่อด้วย แจ่ (Che) ขนมหวานของเวียดนาม มีความคล้ายขนมหวานที่ใส่กะทิของไทย มีเครื่องให้เลือกเยอะ ถ้าไม่รู้จะสั่งอะไร ให้สั่ง ถัดก๋ำ (Thap Cam) แปลว่ารวมมิตร รสชาติจะหวานกว่าขนมที่ไทยมากราคาแก้วนี้ 25,000 VND ตลาดดงบา (Cho Dong Ba) เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเมือง เป็นแหล่งรวมของสินค้าทุกอย่าง ของก๊อปเกรดเอ ของฝากต่างๆ และมีโซนด้านหลังที่เป็นตลาดขายของสดด้วย ด้วยภูมิประเทศที่อยู่ติดทะเล อาหารทะเลที่นี่จึงสดและราคาถูกมาก ส่วนผักและผลไม้ต่างๆ ดูขนาดใหญ่กว่าที่ไทยเยอะเลย ไกด์สอนเทคนิคการต่อราคา ถ้าไม่ได้ราคาที่ขอ ให้เดินหนีเดี่ยวแม่ค้าจะวิ่งตามพร้อมลดราคาให้เองปล. ต้องระมัดระวังทรัพย์สินมีค่าระหว่างเดินในตลาดด้วยนะครับ ถ้าเก็บไว้ข้างหลัง มันอาจจะไม่ใช่ของเราอีกต่อไป 😂 จากตลาดดงบานั่งรถเพียง 5 นาที ก็ถึงพระราชวังเมืองเว้ (Imperial Citadel city) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการเมืองเว้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำหอม ถูกสร้างในสมัยกษัตริย์ยาลอง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหงียน (Nguyen) การออกแบบได้รับอิทธิพลจากพระราชวังกู้กงของจีน ภายในมีตำหนัก มากมายเดินทั้งวันก็อาจจะยังไม่ครบเวลาเปิด-ปิด 08.00-17.00 ค่าเข้าชม 150,000 VND สมัยสงครามเวียดนามพระราชวังได้รับความเสียหายมาก หลังสงครามจบก็ยังไม่ได้รับการบูรณะ เพราะชาวเวียดนามมีความเชื่อว่าพระราชวังเป็นสัญลักษณ์ของระบบศักดินาในอดีต ต่อมาความคิดทางการเมืองเปลี่ยนไป สถานที่นี้จึงได้รับการบูรณะและกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเว้ ทางเข้าวังมีปืนใหญ่ 9 กระบอก เป็นตัวแทนของธาตุทั้ง 5 และอีก 4 กระบอกเป็นตัวแทนของฤดูกาลทั้ง 4 ฤดูฝั่งตรงข้ามประตูทางเข้าของวัง มีลานกว้างและป้อมหอสังเกตุการณ์และธงชาติเวียดนามขนาดใหญ่ ความพีคเกิดขึ้นตอนที่เดินมาถึงหน้าพระราชวัง ถึงรู้ว่าปิดเพื่อทำการบูรณะ 😭 เศร้ามากเพราะตั้งใจจะมาดูความสวยงามของพระราชวังแห่งนี้ เลยทำได้แค่เดินถ่ายรูปจากมุมหน้าพระราชวัง หลังจากเข้าวังไม่ได้เลยต้องเปลี่ยนโปรแกรมไปนั่งรถซิกโลหรือรถสามล้อชมวิวรอบวังแทน อาคารที่อยู่รอบวังจะเป็นอาคารขนาดเล็ก เนื่องจากไม่สามารถสร้างสูงเกินพระราชวังได้ ทำให้อาคารขนาดใหญ่ ย่านธุรกิจ รวมถึงโรงแรมหรู จึงตั้งอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำหอมแทน บรรยากาศรอบๆพระราชวัง ยังคงเสียใจอยู่ที่ไม่ได้เข้าไปข้างใน คิดว่าต้องกลับมาอีกหลังบูรณะเสร็จ เสร็จจากที่พระราชวังเว้ เราก็ข้ามฝั่งแม่น้ำหอมเพื่อมาล่องเรือมังกรแม่น้ำหอม ชื่อในภาษาเวียดนามคือ ซงเฮือง (Sông Hương) ที่มาของชื่อเกิดจากป่าที่เป็นแหล่งต้นน้ำอุดมไปด้วยดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม เมื่อดอกร่วงหล่นและลอยมาตามน้ำจึงทำให้เกิดกลิ่นหอมขึ้น แต่เดิมการแสดงดนตรีบนเรือมังกรที่ล่องไปตามแม่น้ำหอม เป็นการแสดงเฉพาะสำหรับเชื้อพระวงศ์เท่านั้น ต่อมารัฐบาลอนุญาติให้การแสดงนี้ สามารถจัดให้คนทั่วไปชมได้ การล่องเรือมังกรจึงกลายเป็นอีกไฮไลท์ของการมาท่องเที่ยวที่เมืองเว้ นักร้องส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่มาจากมหาวิทยาลัยศิลปะชื่อดังของเว้ นอกจากเพลงเวียดนามแล้วยังมีเพลงไทยด้วย ปิดท้ายด้วยเพลงลอยกระทง ก่อนจะให้นักท่องเที่ยวปล่อยกระทงลงสู่แม่น้ำหอม ปิดท้ายวันแรกด้วยร้านอาหารแถวโรงแรม รสชาติของอาหารภาคกลางจะค่อนข้างจืด ถ้าชอบทานรสจัดอาจจะไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ โชคดีที่เป็นคนกินง่าย กินอะไรก็อร่อย 😆 หลังจากแยกย้ายเข้าโรงแรมแทนที่จะพักผ่อน ก็หาทำด้วยการออกมาคาเฟ่ เป็นร้านดังที่มีสาขาทั่วเวียดนาม ชื่อร้าน Highlands Coffeeพนักงานแนะนำกาแฟดำใส่นมข้น ภาษาเวียดนามเรียก กาแฟเสือด๊า ( Ca Phe = กาแฟ; Sua = นม; Da = น้ำแข็ง ) ราคา: แก้วเล็ก 35,000 VND แก้วใหญ่ 39,000 VND เช้าวันที่ 2 หลังทานอาหารเช้าเสร็จก็ขอแวะคาเฟ่หน้าโรงแรมสักหน่อย คาเฟ่ที่เวียดนามไม่ค่อยเปิดแอร์ ลูกค้าส่วนใหญ่จะชอบมานั่งเก้าอี้เตี้ยๆที่หน้าร้านแทน จนกลายเป็นภาพที่ชินตาไปแล้ว ก่อนเดินทางไปยังบานาฮิลล์ เราแวะอีกสถานที่สำคัญของเมืองเว้คือ วัดเทียนมู่ (Thien Mu Pagoda) เป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธนิกายเซนด้านหน้าวัดมีเจดีย์ทรงเก๋งจีนแปดเหลี่ยม สูง 7 ชั้นเป็นตัวแทนชาติภพทั้ง 7 ของพระพุทธเจ้า เวลาเปิด-ปิด 08.00-18.00 ไม่เก็บค่าเข้าชม การสร้างวัดแห่งนี้ เกิดจากเรื่องเล่าของชาวบ้านแถบนี้ ว่ามีคนเห็นเทพธิดาสวมชุดสีแดงนั่งอยู่ที่บริเวณวัด และบอกกับชาวบ้านว่าจะมีผู้ยิ่งใหญ่มาสร้างเจดีย์ที่นี่และนำสันติสุขมาสู่เมือง เมื่อกษัตริย์ Nguyen Hoang ผ่านมาและทราบเรื่องจึงสร้างเจดีย์ขึ้น และให้ชื่อว่า Chua Thien Mu มีความหมายว่า เจดีย์นางฟ้านั่นเอง ด้านข้างเจดีย์มีระฆังสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ หนัก 2ตัน เมื่อตีระฆังเสียงจะดังไกลถึง 16 กม. ด้วยเหตุนี้ทำให้ทางวัดไม่อนุญาติให้ตีระฆังแล้ว เพราะทนเสียงไม่ไหว 😆 เดินได้สักพักก็หลบแดดมาของกินแทน 😆 หน้าวัดมีร้านขายเต่าหู (Tau Hu) คล้ายเต้าฮวยน้ำขิง แต่กินแบบเย็น เนื้อเต้าฮวยเด้งคล้ายพุดดิ้ง แล้วราดด้วยน้ำเชื่อมใส่ขิงนิดหน่อย กินตอนอากาศร้อนๆ แล้วสดชื่นมาก หวานๆ เย็นๆ ราคาถ้วยละ 20,000 VNDจบโปรแกรมที่วัดก็ถึงเวลาต้องบอกลาเมืองเว้แล้ว เรานั่งรถลอดผ่านอุโมงค์เพื่อมุ่งหน้าไปยังบานาฮิลล์ |