Design thinking ของ Stanford d.school ได้แบ่งขั้นตอนกระบวนการคิดออกเป็น 5ขั้นตอน ได้แก่ Empathize, Define, Ideate, Prototype, และ Test จากทั้ง 5 ขั้นตอนนี้ จะเห็นได้ว่า ขั้นตอนที่หนึ่งและสอง (Empathize และ Define) เป็นขั้นตอนทำความเข้าใจและตีความปัญหา ขั้นตอนที่สาม (Ideate) คือขั้นตอนในการใช้ความคิดสร้างสรรค์และมุมมองจากหลายๆ ด้านมาสร้างไอเดีย และขั้นตอนที่สี่และห้า (Prototype และ Test) คือขั้นตอนในการทดสอบแนวคิดและพัฒนาต้นแบบที่เป็นตัวอย่างแนวคิด Show
UK Design Council Design Thinking แบ่งออกเป็น 3 ส่วนตามภาพนี้
Tips:
ถอดวิธีคิดเชิงออกแบบของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช EMPATHIZE DEFINE IDEATE PROTOTYPE TEST Design Thinking ก็คือ การนำศาสตร์การคิดของนักออกแบบ มาปรับและประยุกต์ใช้เข้ากับลักษณะธุรกิจขององค์กรนั้นๆ เพื่อสร้างสรรค์แนวทางหรือนวัตกรรมที่ตอบโจทย์กับองค์กรและผู้ใช้Empathize: การทำความเข้าใจต่อกลุ่มเป้าหมาย เช่น การสัมภาษณ์ สุ่มตัวอย่าง การสังเกต หรือ จำลองสถานการณ์ Define: ตีความหมายของปัญหาที่เกิดขึ้น Ideate: การรวบรวมมุมมองและใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหานั้นอย่างไม่มีกรอบจำกัด (หมายเหตุ: รวบรวมความคิด ไม่ใช่การวิพากษ์ความคิด) Prototype: จำลองสถานกาณ์ของแนวทางการแก้ไขปัญหานั้นขึ้นมา เพื่อสร้างประสบการณ์จากการเรียนรู้จริง Test: การทดสอบกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อรวบรวม Feedback และข้อเสนอแนะ เพื่อพัฒนาแนวทางต่อไป นักออกแบบ หรือ คิดแบบ Design Thinking จะช่วยให้เรามองเห็นมุมมองที่กว้างขึ้น ใส่ใจกับกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง ซึ่งไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมสินค้าหรือบริการที่ผ่านกระบวนการคิดอย่างนักออกแบบ (Design Thinking) ถึงมักจะประสบความสำเร็จ คิด…อย่างนักออกแบบ (Design Thinking)นักออกแบบที่ดีควรมีกระบวนการคิดอย่างไร ไนเจล ครอส (Nigel Cross) นักทฤษฎีด้านการออกแบบคนสำคัญในช่วงปี 1980s-1990s เคยกล่าวถึงวิธีคิดของนักออกแบบไว้ว่า นักออกแบบชอบคิดนอกกรอบ • นักออกแบบมักใช้สัญชาตญาณในการทำงานโดยที่เขาอาจไม่รู้ตัวเลย • ทุกครั้งที่ทำงาน หัวสมองของนักออกแบบจะหาคำตอบและหนทางแก้ไขให้กับแต่ละปัญหาได้ • นักออกแบบพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงแนวคิดตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป • นักออกแบบคิดหาหนทางแก้ไขเป็นภาพ มากกว่าเขียนเป็นตัวอักษร
Empathy เป็นการทำความเข้าใจต่อกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด โดยการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เมื่อจะสร้างสรรค์ หรือแก้ไขสิ่งใดก็ตามจะต้องเข้าใจถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างถ่องแท้เสียก่อน เพราะนั่นจะเป็นก้าวแรกที่นำไปสู่การพัฒนาความสำเร็จในทุกๆ ธุรกิจ Define การสังเคราะห์ข้อมูล การตั้งคำถามปลายเปิดที่ผลักดันให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ไม่จำกัดกรอบของการแก้ปัญหา ซึ่งภายหลังจากที่เราเรียนรู้และทำเข้าใจต่อกลุ่มบุคคลเป้าหมายแล้ว ก็ต้องวิเคราะห์ปัญหา กำหนดให้ชัดเจนว่าจริงๆ แล้วปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไร เลือกและสรุปแนวทางความเป็นไปได้ Ideate การระดมความคิดใหม่ๆ อย่างไม่มีขีดจำกัด หรือการสร้างความคิดต่างๆ ให้เกิดขึ้น โดยเน้นการหาแนวคิดและแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้มากที่สุด หลากหลายที่สุด โดยความคิดและแนวทางต่างๆ ที่คิดขึ้นมานั้นก็เพื่อตอบโจทย์ปัญหาที่เกิดขึ้นในขั้น Define Prototype การสร้างแบบจำลอง หรือการสร้างต้นแบบขึ้นมา เพื่อให้ผู้ใช้สามารถทดสอบและตอบคำถามหรือกระตุ้นให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อที่เราจะได้เข้าใจสิ่งที่เราอยากรู้มากยิ่งขึ้น และยิ่งสร้างเร็วเท่าไรก็ยิ่งได้ลองหาข้อผิดพลาด และเรียนรู้เกี่ยวกับไอเดียของเราได้เร็วเท่านั้น Test หรือการทดสอบ โดยเรานำแบบจำลองที่สร้างขึ้นมาทดสอบกับผู้ใช้ หรือกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสังเกตประสิทธิภาพการใช้งาน โดยนำผลตอบรับ ข้อเสนอแนะต่างๆ ตลอดจนคำแนะนำมาใช้ในการพัฒนา และปรับปรุงต่อไป กระบวนการทั้ง 5 ขั้นตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องทำเรียงตามลำดับแบบนี้เสมอไป อาจจะถึงขั้น 3 แล้วกลับไปขั้น 1 ใหม่ก็ได้ ให้เลือกตามความเหมาะสมของงาน ที่สำคัญคือหลักการของ Design Thinking นั้นเน้น Human-Center Approach หรือเน้นที่ตัวคนเป็นหลัก ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ ความคิด ความคิดเห็นของคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ซึ่ง Design Thinking EMPATHIZE : อากาศที่ร้อนขึ้นทุกๆวัน บรรยากาศที่ไม่อยากเดินทางไปไหน ทำให้เจ้าของธุรกิจต่างๆก็ต้องปิดกิจการลงเพราะไม่มีผู้บริโภค Remix Desert Coffee ก็ประสบกับปัญหานี้ ในช่วงเวลากลางวันจำนวนคนที่เข้าร้านจะน้อยมากๆหรือบางวันไม่มีคนเข้าเลย DEFINE : ปัญหาที่เกิดจากบรรยากาศที่ร้อนภายนอก ทำให้คนไม่อยากออกไปข้างนอก จึงหลีกเหลี่ยงการเดินทาง IDEATE : ออกแบบตัวช่วยแก้ปัญหานี้ ที่ทำให้คนไม่ต้องเดินทางไปซื้อเองแต่ก็ยังได้รับสินค้าสบายๆอยู่ที่บ้าน ได้ทั้งผู้ค้ากับผู้บริโภค PROTOTYPE : ทำการออกแบบแอพพลิเคชั่น สำรวจความต้องการและลงพื้นที่ด้วยตัวเอง เพื่อที่จะได้เข้าใจให้มากต่อการออกแบบ เริ่มตั้งแต่คิดฟังก์ชั่นการใช้งานและคำนึงถึงความเข้าใขในการใช้แอพพลิเคชั่น TEST : ได้ทำการสอบถามความคิดเห็นจากผู้อื่นของหน้าแอพพลิเคชั่นซึ่งพบว่ามีความเข้าใจและสะดวกต่อการใช้งาน ประเด็นอื่นที่น่าสนใจออกแบบชีวิต (Designing Your Life) ด้วย Design ThinkingChapter 1: Start Where You Areการออกแบบคือการแก้ปัญหา และก่อนที่จะเริ่มแก้ปัญหาได้ เราต้องรู้ก่อนว่าปัจจุบันเราอยู่ตรงไหน หรือก็คือการตั้งโจทย์ให้ถูก คนหลายคนใช้เวลาเป็นปี ๆ หรือกระทั่งทั้งชีวิต ในการแก้โจทย์ที่ผิด ประเด็นคืออย่าเอาชีวิตไปติดหล่มอยู่กับปัญหาที่ไม่มีทางแก้ได้ เลือกแก้ปัญหาให้ถูก ส่วน gravity problem สิ่งที่ทำได้คือแค่ยอมรับมัน Chapter 2: Building a Compassหลังจากเรารู้ว่าเราอยู่ตรงไหนใน chapter ที่แล้ว chapter นี้คือการสร้างเข็มทิศเพื่อให้เราไปถึงจุดที่เราต้องการได้ การจะสร้างเข็มทิศได้เราต้องรู้สองอย่างเกี่ยวกับตัวเรา คือ Workview (มุมมองต่อการทำงาน) และ Lifeview (มุมมองต่อชีวิต) เป้าหมายของการทำแบบนี้คือการออกแบบชีวิตที่มีความสอดคล้อง (coherent) ของ:
เช่น ถ้า Lifeview คืออยากจากโลกไปโดยทำให้โลกนี้ดีขึ้น แต่ทำงานในบริษัทที่สร้างมลพิษ แบบนี้คือไม่ coherent ซึ่งจะทำให้ไม่มีความสุข เข็มทิศคือสิ่งที่ช่วยให้เราเดินทางไปตามทางที่ coherent ได้ Workviewคำว่า Work นี่ไม่ใช่แค่งานที่ได้เงิน แต่เป็นสิ่งที่กว้างกว่านั้น เช่น ออกจากงานมาเลี้ยงลูกเป็นหลัก แบบนี้ Work ก็คือการเลี้ยงลูก สามารถค้นหา Workview ของตนเองได้โดยการตอบคำถาม เช่น
คำถามเพื่อค้นหา Lifeview เช่น
ความเข้าใจ Workview และ Lifeview ของตนเองนี้คือเข็มทิศของเรา ไว้คอยเช็คอยู่เสมอว่าทางที่เราจะเลือกเดินนั้นสอดคล้องกับเข็มทิศนี้หรือเปล่า และเข็มทิศนี้เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตลอดช่วงอายุของเรา (เด็กคิดแบบหนึ่ง โตมาคิดอีกแบบ) ดังนั้นต้องคอยเช็คเสมอเป็นระยะ Chapter 3: WayfindingWayfinding คือการค้นหาเส้นทางในการเดินทาง ชีวิตเราไม่ได้มีระบบว่าใส่ปลายทางที่ต้องการแล้วจะมี GPS มาบอกว่าต้องเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตรงไหน เราทำได้แค่อาศัยร่องรอย (clues) 2 อย่างที่เรามี คือ Engagement และ Energy ผู้เขียนแนะนำให้เราจดบันทึกสองอย่างนี้ลงไปในสิ่งที่เรียกว่า Good Time Journal ของเรา Engagement คือเมื่อเรารู้สึก สนุก มีสมาธิ และรู้สึกดีในงานที่ทำ ส่วน Disengagement ก็คือเมื่อเรารู้สึกเบื่อหน่าย หงุดหงิด หรือไม่มีความสุขในงาน ส่วน Flow คือภาวะที่ Engage อย่างมาก เรารู้สึกถูกดึงดูดเข้าไปในงานจนไม่รู้เวลาโดยรู้สึกโดยรวมค่อนข้างดีตลอดช่วงเวลานั้น ให้จดบันทึกว่ากิจกรรมอะไรทำให้เรา engage, disengage, และ flow Energy คือการค้นหาว่ากิจกรรมอะไรที่เรารู้สึกว่าทำแล้วเพิ่มพลังงานให้กับเรา ทำแล้วกระปรี้กระเปร่ามีแรง และหากิจกรรมที่ดูดพลังงานไปจากเรา กิจกรรมที่เพิ่มหรือดูดพลังงานนี้ไม่เกี่ยวกับว่า Engage หรือไม่ บางกิจกรรมเรารู้สึก engage แต่ทำเสร็จแล้วหมดพลังมากก็มี Chapter 4: Getting Unstuckคนส่วนมากคิดว่าตัวเองเจอทางตันของชีวิตไปไหนไม่ได้ แต่จริง ๆ คือเขาตันเพราะยึดติดกับไอเดียบางอย่าง Anchor problem คือปัญหาที่คน ๆ หนึ่งติดอยู่กับมันนาน ๆ แต่ก็แก้ไม่ได้ซักที อันนี้นั้นต่างจาก gravity problem ตรงที่ anchor problem มันไม่ใช่แก้ไม่ได้ คือมันแก้ได้ แต่คน ๆ นั้นไปยึดติดกับ solution ที่ไม่ถูกและไม่ยอมปรับ เช่น อาจารย์คนหนึ่งอยากเปิดคอร์สใหม่ แต่ไปยึดติดว่าต้องสร้างตึกใหม่ ต้องทำอะไรหลาย ๆ อย่าง ต้องขอทุน ผ่านไปสองปีก็ทำไม่ได้ซักที สุดท้ายคิดได้ว่าไม่ต้องขอทุนก็ได้ ไปเปิดสอนได้ด้วยวิธีอื่น สถานที่อื่น เกิดเป็นคอร์สใหม่ได้เหมือนกัน เป็นต้น Chapter 5: Design Your Lives ปัญหาของคนส่วนใหญ่คือคิดว่าตัวเองจะมีชีวิตที่ราบรื่น สวยงาม เพียงแค่เขาสามารถเลือกทางที่ถูกต้อง ดีที่สุด จริงแท้หนึ่งเดียวได้ มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่เป็นทางที่ดีที่สุดของชีวิต แล้วก็เดินไปตามทางนั้น ความจริงคือ คนเราแต่ละคนสามารถมีชีวิตที่ดีได้หลายแบบ Odyssey Plansขั้นต่อไปในการออกแบบชีวิตคือการลองสร้าง Odyssey Plans หรือแบบจำลองของชีวิตในอีก 5 ปีข้างหน้า 3 แบบ เพื่อมาเป็นตัวเลือกในการ prototype ต่อไป ทั้ง 3 แผนเป็นแผนที่ดีทั้งหมด ทั้ง 3 แผนนั้นคือ
Prototype ใน design thinking คือการสร้างบางอย่างมาเพื่อทดสอบว่า solution ของเราถูกต้อง prototype Brainstorming Prototype Experienceขั้นตอนการสร้าง prototype เริ่มต้นด้วยการ brainstorm จะดีกว่าถ้าเราสามารถหากลุ่ม 3–6 คนมาร่วม brainstorm ได้ ลองนำแผนที่อยู่ใน Odyssey plan ที่เรารู้สึกยังมีคำถามบางอย่างที่ต้องตอบ หรือมีบางอย่างที่เราไม่เช้าใจ มาเข้า brainstorm เริ่มจาก:
ผู้เขียนอธิบายถึงปัญหาการหางานในปัจจุบัน:
ผู้เขียนบอกโลกนี้ไม่มีหรอก dream job ทุกงานมีข้อเสีย แต่มันก็มีงานดี ๆ ที่ใกล้เคียงอยู่ ซึ่งงานพวกนี้จะอยู่ใน hidden job market มันจะไม่ใช่งานที่ประกาศตามอินเตอร์เน็ต (ในสหรัฐอเมริกา งานแค่ 20% เท่านั้นที่ลงประกาศในอินเตอร์เน็ต) งานพวกนี้ เฉพาะคนใน network เท่านั้นที่จะเข้าถึง ซึ่งคนนอกไม่สามารถเข้าไปได้ Chapter 9: Choosing Happinessขั้นตอนการเลือก มี 4 ขั้นตอนคือ ขั้นที่ 1: รวบรวมข้อมูลและสร้างทางเลือก
ขั้นที่ 2: ตัดทางเลือกที่มีให้เหลือน้อยลง
ขั้นที่ 3: เลือกอย่างรอบคอบ
ขั้นที่ 4: ปล่อยมันไปและก้าวต่อไป
Prototype ที่เราสร้างสามารถ fail ได้เสมอ แต่มันคือการ fail เพื่อให้เราเรียนรู้บางอย่าง มันคือ fail by design Failure Reframe Exercise เป็นการบันทึกเพื่อให้เราเรียนรู้จากความผิดพลาด ประกอบด้วย 3 อย่าง
Life design ก็เหมือนการออกแบบอื่น ๆ จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าทำเป็นทีม และทีมสามารถมีส่วนร่วมได้ในทุก process ตั้งแต่เริ่มต้น พยายามหาทีมมาร่วมใน life design project ของเรา Conclusionอันนี้ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ เป็นการสรุปเนื้อหาของทุกบท และเน้นย้ำถึง mindset 5 อย่างในการทำ life design
แหล่งข้อมูล/แหล่งอ้างอิง DEX Space. (2016). DESIGN THINKING คืออะไร (OVERVIEW). Retrieved from https://medium.com/base-the-business-playhouse/design-thinking-คืออะไร-overview-dc8c8e7547dbWhiteTofu WhiteTofu. (2016).คิดอย่างนักออกแบบ(Design Thinking).Retrieved from http://www.applicadthai.com/articles/ Rath Panyowat. (2017).ออกแบบชีวิต(Design Your Life)ด้วย Design Thinking.Retrieved from https://rath.asia/2017/02/designing-your-life-with-design-thinking/ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC). (2016). ถอดวิธีคิดเชิงออกแบบ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช. นิตยสารคิด (Creative Thailand), ปีที่ 8 ฉบับที่ 3, 6. เป้าหมายของขั้นตอน Ideate คืออะไรIdeate การระดมความคิดใหม่ๆ อย่างไม่มีขีดจำกัด หรือการสร้างความคิดต่างๆ ให้เกิดขึ้น โดยเน้นการหาแนวคิดและแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้มากที่สุด หลากหลายที่สุด โดยความคิดและแนวทางต่างๆ ที่คิดขึ้นมานั้นก็เพื่อตอบโจทย์ปัญหาที่เกิดขึ้นในขั้น Define.
เป้าหมายของการใช้ Design Thinking คืออะไร?กระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) จะทำให้เรามองเห็นวิธีการใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหา สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ตลอดจนสร้างนวัตกรรมตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ กระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) จะทำให้เรารู้จักมองปัญหาตลอดจนโจทย์ของการทำงานต่างๆ ได้รอบทิศและรอบคอบขึ้น
ข้อใดเป็นกิจกรรมที่ทําในขั้นตอนของ Designขั้นตอนการทำ Design Thinking สำหรับการแก้ไขปัญหาต่างๆ. ขั้นที่ 1 เอาใจใส่ (Empathise) ยึดความต้องการของมนุษย์เป็นหลัก ... . ขั้นที่ 2 ระบุปัญหา (Define) ระบุปัญหาด้วยการเอามนุษย์เป็นศูนย์กลาง ... . ขั้นที่ 3 นำไอเดียมาสร้างสรรค์ (Ideate) คิดไอเดียให้หลากหลายที่สุด ... . ขั้นที่ 4 สร้างต้นแบบ (Prototype) ... . ขั้นที่ 5 ทดสอบ (Test). เป้าหมายสุดท้ายของ Design Thinking คืออะไรขั้นตอนสุดท้ายคือการทดสอบแนวทางแก้ไขปัญหาหรือผลิตภัณฑ์ทั้งหมดอย่างเข้มงวดอีกครั้ง โดยมุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
|