จากตอนแรกกะว่าจะเขียนสั้นๆจบ ไหงกลายมาเป็นมหากาพย์ไตรภาคไปได้ ! มาสรุปหน้าตาของ OSI model กันก่อน จะเห็นได้ว่าในแต่ละชั้นจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไป …. เริ่มต้น…สมมติผมอยากจะส่งการ์ดซักใบไปจีบสาวต่างบริษัท
(เชยไปไหมวะ! เดี๋ยวนี้เค้าใช้ line กันแล้ว!) และณ ตรงนี้คุณอยู่ที่…. Application Layer (Layer 7) เมื่อเราสร้างหน้าตาของการ์ดได้แล้ว …. ขั้นตอนนี้คือ … Presentation layer (Layer 6) หลังจากเขียนข้อความไปแล้ว ใน Layer ถัดไปเราจะเรียกว่า สาม layer ข้างบนนั้นผมอยากให้มองว่านั่นคือตัวการ์ด ที่เราจะส่งไป เอาละเมื่อได้สิ่งที่อยากจะส่งไปยังปลายทางแล้ว ขั้นตอนถัดไป อันดับแรกเราอาจจะพอรู้อยู่แล้วว่า สาวน้อยที่เราอยากจะสานสัมพันธ์นั้นอยู่บริษัทอะไร …. Transport Layer (Layer 4)…. (อ้างอิงจาก TCP/IP เป็นหลัก) << สำหรับมือใหม่ไม่ต้องสนใจบรรทัดนี้ครับ สำหรับมือเก๋าผมพยายามบอกว่าผมจะอธิบายแบบง่ายๆ ฉะนั้นต้องอ้างอิง protocol อะไรซักอย่างเป็นหลัก ไม่งั้นพิมพ์กันมือหงิกแน่ๆ ถ้าผู้อ่านเคยผ่านตากับระบบ computer network มาแล้วบ้างอาจจะเคยได้ยินว่า แล้วจะรู้ได้ยังไงละว่าเลขไหนหมายถึง service อะไร ? จริงๆในส่วนของ transport layer ยังมีความสามารถอีกหลากหลายไม่ว่าจะเป็น fragmentation, data recovery, flow control, connection oriented, ฯลฯ แต่เอาไว้ไปคุยอีกทีในเรื่องของ TCP/UDP protocol ในโอกาศหลังๆๆๆๆๆ แล้วกัน เอาละตอนนี้หน้าซองของเรามีแค่แผนกหรือส่วนงานทีเราจะส่งไปเท่านั้น …Network Layer (Layer 3)… เปรียบเทียบไปตัว IP address
นั้นก็เหมือนกับที่อยู่ทางไปรษณีย์นั้นแหละ ระบุว่าจะส่งไปที่ปลายทางไหน ระบบ routing เป็นระบบการสร้างเส้นทางไปยัง address ต่างๆที่อยู่ใน network มีที่อยู่บริษัทแล้วมีแผนกแล้ว ยังขาดอะไรอีกเน้อ……… …Physical Layer (Layer 1)… ที่ว่าไปทั้งหมดเหล่านี้คือข้อมูลของ OSI model 7 layer ถามว่ามันมีประโยชน์ตรงไหน? แน่นอนว่ามันคือพื้นฐานการทำงานของการส่งข้อมูลทั้งหมด |