ความเสี่ยง (Risk) |
1) | ความเสี่ยงทางด้านกลยุทธ์ (Strategic Risk : SR) |
2) | ความเสี่ยงทางด้านการเงิน (Financial Risk : FR) |
3) | ความเสี่ยงทางด้านการปฏิบัติงาน (Operational Risk : OR) |
4) | ความเสี่ยงทางด้านกฎหมาย และข้อกำหนดผูกพันองค์กร (Compliance Risk : CR) |
ปัจจัยความเสี่ยง (Risk Factor)
ปัจจัยความเสี่ยง หมายถึง ต้นเหตุ หรือสาเหตุที่มาของความเสี่ยง ที่จะทำให้ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยต้องระบุได้ด้วยว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดที่ไหน เมื่อใดและจะเกิดขึ้นได้อย่างไรและทำไม ทั้งนี้สาเหตุของความเสี่ยงที่ระบุควรเป็นสาเหตุที่แท้จริง เพื่อจะได้วิเคราะห์และกำหนดมาตรการความเสี่ยง ในภายหลังได้อย่างถูกต้อง
ปัจจัยความเสี่ยงพิจารณาได้จาก
1) | ปัจจัยภายนอก เช่น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง กฎหมาย ฯลฯ |
2) | ปัจจัยภายใน เช่น กฎระเบียบ ข้อบังคับภายในองค์กร ประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่ ระบบการทำงาน ฯลฯ |
การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment)
การประเมินความเสี่ยง หมายถึง กระบวนการระบุความเสี่ยง การวิเคราะห์ความเสี่ยงและจัดลำดับความเสี่ยง โดยการประเมินจากโอกาสที่จะเกิด (Likelihood) และผลกระทบ (Impact)
1) | โอกาสที่จะเกิด (Likelihood) หมายถึง ความถี่หรือโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ ความเสี่ยง |
2) | ผลกระทบ (Impact) หมายถึง ขนาดความรุนแรงของความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหากเกิด เหตุการณ์ความเสี่ยง |
3) | ระดับของความเสี่ยง (Degree of Risk) หมายถึง สถานะของความเสี่ยงที่ได้จากประเมินโอกาสและผลกระทบของแต่ละปัจจัยเสี่ยงแบ่งเป็น 5 ระดับ คือ สูงมาก สูง ปานกลาง น้อย และน้อยมาก |
การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)
การบริหารความเสี่ยง หมายถึง กระบวนการที่ใช้ในการบริหารจัดการให้โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ความเสี่ยงลดลงหรือผลกระทบของความเสียหายจากเหตุการณ์ความเสี่ยงลดลงอยู่ในระดับที่องค์กรยอมรับได้ ซึ่งการจัดการความเสี่ยงมีหลายวิธีดังนี้
1) | การยอมรับความเสี่ยง (Risk Acceptance) เป็นการยอมรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น เนื่องจากไม่คุ้มค่า ในการจัดการควบคุมหรือป้องกันความเสี่ยง |
2) | การลด/การควบคุมความเสี่ยง (Risk Reduction) เป็นการปรับปรุงระบบการทำงานหรือการออกแบบวิธีการทำงานใหม่เพื่อลดโอกาสที่จะเกิด หรือลดผลกระทบให้อยู่ในระดับที่องค์กรยอมรับได้ |
3) | การกระจายความเสี่ยง หรือการโอนความเสี่ยง (Risk Sharing) เป็นการกระจายหรือถ่ายโอนความเสี่ยงให้ผู้อื่นช่วยแบ่งความรับผิดชอบไป |
4) | เลี่ยงความเสี่ยง (Risk Avoidance) เป็นการจัดการความเสี่ยงที่อยู่ในระดับสูงมากและหน่วยงานไม่อาจยอมรับได้ จึงต้องตัดสินใจยกเลิกโครงการ/กิจกรรมนั้น |
การควบคุม (Control)
การควบคุม หมายถึง นโยบาย แนวทาง หรือขั้นตอนปฏิบัติต่าง ๆ ซึ่งกระทำเพื่อลดความเสี่ยง และทำให้การดำเนินบรรลุวัตถุประสงค์ แบ่งได้ 4 ประเภท คือ
1) | การควบคุมเพื่อการป้องกัน (Preventive Control) เป็นวิธีการควบคุมที่กำหนดขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยง และข้อผิดพลาดตั้งแต่แรก |
2) | การควบคุมเพื่อให้ตรวจพบ (Detective Control) เป็นวิธีการควบคุมที่กำหนดขึ้นเพื่อค้นพบข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นแล้ว |
3) | การควบคุมโดยการชี้แนะ (Directive Control) เป็นวิธีการควบคุมที่ส่งเสริมหรือกระตุ้นให้เกิดความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ |
4) | การควบคุมเพื่อการแก้ไข (Corrective Control) เป็นวิธีการควบคุมที่กำหนดขึ้นเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นให้ถูกต้องหรือเพื่อหาวิธีการแก้ไขไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดซ้ำอีกในอนาคต |
ที่มา : http://www.thai-sciencemuseum.com
AMTsolution
วางระบบบัญชี
ที่ปรึกษาบริษัทเตรียมเข้าตลาดฯ
วางระบบบริษัทเตรียม IPO
ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศไทยยังได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากวิกฤติโควิด-19 นั้น มักจะมีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับบริษัทต่างๆ ทั้งขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ ที่ประสบปัญหาในการดำเนินงานจนถึงขั้นต้องปิดกิจการหรือล้มละลาย
โดยปกติความเสี่ยงทางการเงินเป็นสิ่งที่บริษัทต่างๆ ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษอยู่แล้ว แต่เมื่อประสบกับภาวะวิกฤติ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นวิกฤติเศรษฐกิจหรือวิกฤติโรคภัยอย่างเช่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จึงมีความจำเป็นที่ผู้บริหารจะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ
หากเราจะนิยามความเสี่ยงทางการเงินก็จะสามารถพูดถึงได้ง่ายๆ ว่าเกี่ยวกับความสามารถของธุรกิจในการชำระหนี้ หรือประสิทธิภาพในการจัดการกับภาระหนี้ ทั้งในส่วนที่มาจากการกู้ยืมเงินหรือการจัดการกับเจ้าหนี้การค้าของธุรกิจ หรืออาจจะมองอีกอย่างหนึ่งว่าบริษัทสามารถจัดการเงินสดรับให้มีมากกว่าเงินสดจ่ายในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างไร
ในบางครั้งเมื่อพูดถึงความเสี่ยงทางการเงินอาจจะรวมไปถึงความเสี่ยงทางด้านเครดิต ความเสี่ยงทางด้านสภาพคล่อง ความเสี่ยงจากการลงทุน และความเสี่ยงทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น
วิธีการจัดการความเสี่ยงทางการเงินในยุควิกฤตินี้อาจจะแบ่งเป็น 2 ประการดังนี้
1) การวิเคราะห์ทางการเงินเบื้องต้น คือการสังเกตการเปลี่ยนแปลงในส่วนของสินทรัพย์และรายรับขององค์กร โดยเฉพาะในส่วนของรายรับให้ดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงในลูกค้ากลุ่มใดที่มีความผันผวนมาก โดยจะต้องมีการติดตามเป็นพิเศษ ในขณะเดียวกัน คือการมองหาโอกาสในการเพิ่มรายรับจากกลุ่มที่ยังมีโอกาสเติบโต และควรควบคุมไม่ให้มีการเพิ่มสินทรัพย์กลุ่มที่ดินอาคารและอุปกรณ์ที่มากเกินไป เพราะการเพิ่มสินทรัพย์กลุ่มนี้มักจะมีการผูกพันในระยะยาว
2) การวิเคราะห์เชิงปริมาณโดยใช้อัตราส่วนทางการเงินประกอบการพิจารณาแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอัตราส่วนทางการเงินประเภทต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราส่วนทางการเงินด้านหนี้สิน เช่น อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt / Equity Ratio) ซึ่งเป็นการเทียบระหว่างหนี้สินรวมกับส่วนของ (ทุน) เจ้าของ ซึ่งหากอัตราส่วนนี้เท่ากับ 1 แสดงว่าหนี้สินและส่วนของทุน มีมูลค่าเท่ากันในการใช้อัตราส่วนนี้ บริษัทไม่ควรให้อัตราส่วนนี้เพิ่มขึ้นสูงเกินไป ซึ่งจะมีผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ และอีกอัตราส่วนทางการเงินที่ช่วยตรวจสอบความสามารถในการชำระหนี้ คือ อัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio) ซึ่งดูได้จากกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่ายและภาษีต่อดอกเบี้ยจ่าย ซึ่งอัตราส่วนที่สูงแสดงถึงความสามารถในการชำระดอกเบี้ยที่ดีของบริษัท ซึ่งแนวทางวิเคราะห์ง่ายๆ ว่า หากอัตราส่วนนี้ต่ำกว่า 1.5 อาจจะแสดงให้เห็นถึงปัญหาในการชำระหนี้
นอกจากนี้ ในการจัดการหนี้สินระยะสั้นโดยอาจจะดูจากอัตรส่วนเงินสด (Cash Ratio) คือเงินสดและหลักทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่าย และ อัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio) ซึ่งหาได้จาก สินทรัพย์ระยะสั้นเทียบกับหนี้สินระยะสั้น ซึ่งอาจจะกล่าวสำหรับการใช้อัตราส่วนเงินสดและอัตราส่วนสภาพคล่องแบบง่ายๆ คือ อัตราส่วนทั้งสองตัวนี้ควรจะมีค่ามากกว่า 1 และหากอัตราส่วนทั้งสองนี้หากมีค่าสูงแสดงถึงความสามารถในการบริหารความเสี่ยงทางการเงินระยะสั้นได้มีประสิทธิภาพ
อีกประการสำคัญในการใช้อัตราส่วนทางการเงินข้างต้นนี้ คือการดูแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 3 ช่วงเวลา เช่น 3 ไตรมาส เพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงหรือแนวโน้ม และหากสามารถเทียบกับบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันก็จะยิ่งทำให้บริษัทสามารถเห็นถึงตำแหน่งในการดำเนินการทางธุรกิจของเราได้ดีขึ้น
การบริหารความเสี่ยงทางการเงินนั้นไม่ได้อยู่ที่การวิเคราะห์เบื้องต้นทางการเงิน หรือการวิเคราะห์เชิงปริมาณเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับการวางแผนการจัดการความเสี่ยงด้านการเงินที่ดี เช่น 1) การมีทีมงานวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงิน โดยมีการแยกแยะและแบ่งประเภทความเสี่ยงทางการเงินที่บริษัทต้องเกี่ยวข้องออกให้ชัดเจน รวมถึงระยะเวลาที่ภาระหนี้สินทางการเงินจะครบอายุอย่างละเอียด 2) พิจารณาในเรื่องของการป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน โดยนโยบายประกันภัยประเภทต่างๆ 3) เตรียมเงินกองทุนเพื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากการเตรียมเงินสำรองไว้เป็นการเตรียมความพร้อมกับผลกระทบอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในภาวะวิกฤติ 4) การมองหาโอกาสเพื่อการปรับตัวหรือขยายธุรกิจไปในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ยังมีการเติบโต และ 5) การมีวินัยทางการเงินที่ดี เพราะหากมีการดำเนินธุรกิจด้วยวินัยทางการเงินที่ดีเป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงที่ดีที่สุดประการหนึ่ง วิธีการจัดการความเสี่ยงทางการเงินอื่นๆ ได้แก่ การสร้างเครดิตทางการเงินให้มีความน่าเชื่อถืออย่างสม่ำเสมอ การลดการซื้อสินทรัพย์ถาวรที่จะมีภาระผูกพันในระยะยาว และการจำกัดการเพิ่มหนี้สินใหม่ๆ โดยไม่จำเป็น
สรุปคือการจัดการความเสี่ยงทางการเงินในช่วงวิกฤติเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับธุรกิจประเภทต่างๆ และการหมั่นตรวจสอบผลการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอและวินัยทางการเงินที่ดี จะสร้างผลประกอบการที่ดีและนำไปสู่การเติบโตของธุรกิจได้ในระยะยาว
Business Todayhttps://businesstoday.co
Supporting Thailand's business communities./ FB Page: Business Today Thai/ Social: Business Today Thai (สำหรับ Twitter, YouTube, Telegram)/ LINE: @Business today/ เว็บที่เกี่ยวข้อง: Thailand Today: www.thailandtoday.co/ FB: Thailantoday.co (English)/ Thailand Today News: www.thailandtoday.news/ FB: Thailandtoday.news (Mandarin Chinese)