ราชธานี ใหม่ ที่ ย้าย มา จาก กรุงธนบุรี ตั้ง อยู่ ที่ ตํา บ ล

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์

ราชธานี ใหม่ ที่ ย้าย มา จาก กรุงธนบุรี ตั้ง อยู่ ที่ ตํา บ ล

หลัง "พระเจ้าตากสินมหาราช" กู้เอกราชคืนมาจากพม่าแล้ว สภาพบ้านเมืองของกรุงศรีอยุธยาทรุดโทรมมาก ด้วยเหตุผลนานาประการจึงทรงตัดสินใจเลือกเอา "กรุงธนบุรี" เป็นราชธานีใหม่ ในชื่อ "กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร"

วันที่ 4 ตุลาคม 2313 เมืองธนบุรีได้ถูกสถาปนาเป็นราชธานีแห่งใหม่ หลังจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือ "สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" สามารถกู้เอกราชคืนมาจากพม่า  

และเมื่อสภาพบ้านเมืองของกรุงศรีอยุธยาทรุดโทรมมากไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นเมืองหลวง  เนื่องจากกรุงศรีอยุธยาถูกทำลายและทรุดโทรมยากแก่การบูรณะ นอกจากนี้กรุงศรีอยุธยายังมีพื้นที่กว้างขวางยากแก่การรักษาบ้านเมือง และอยู่ห่างจากปากแม่น้ำไม่สะดวกในการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ 

สำหรับสาเหตุที่พระเจ้าตากสินมหาราชเลือกที่นี่ เพราะ "กรุงธนบุรี" เป็นเมืองขนาดเล็ก เหมาะสมกับกำลังป้องกันทั้งทางบกและทางน้ำ โดยตั้งอยู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาที่สะดวกในการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ และยังสะดวกในการควบคุมการลำเลียงอาวุธและเสบียงต่างๆ ไปตามหัวเมืองเมื่อเกิดศึกสงคราม

ราชธานี ใหม่ ที่ ย้าย มา จาก กรุงธนบุรี ตั้ง อยู่ ที่ ตํา บ ล

ดังนั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงทรงตัดสินใจเลือกเอา "กรุงธนบุรี" เป็นราชธานี ทรงพระราชทานนามว่า "กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร"

นอกจากนี้ หากข้าศึกยกกำลังมามากเกินกว่ากำลังจะต้านทานก็ยังสามารถย้ายไปตั้งมั่นที่จันทบุรีได้โดยอาศัยทางเรือ อีกทั้งยังมี 2 ป้อมปราการทั้งป้อมวิไชยประสิทธิ์ และป้อมวิไชเยนทร์ อยู่ทั้งสองฟากแม่น้ำที่สร้างไว้ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชใช้ป้องกันข้าศึกที่จะเข้ามารุกรานโดยยกกำลังมาทางเรือ 

"สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" ทรงสร้างพระราชวังขึ้นทางทิศใต้ของกรุงธนบุรี ขนาบข้างด้วยวัดแจ้ง หรือวัดมะกอก (ปัจจุบันคือ วัดอรุณราชวรารามราชวรวิหาร) และวัดท้ายตลาด (ปัจจุบันคือวัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร) โดยเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๓๑๓ พระราชทานนามว่า "กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร"               

ราชธานี ใหม่ ที่ ย้าย มา จาก กรุงธนบุรี ตั้ง อยู่ ที่ ตํา บ ล

สมเด็จพระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงแสดงความคิดเห็นไว้ว่า..

"ที่เจ้าตากลงมาตั้งเมืองธนบุรีเป็นราชธานี ครั้งนั้นเหมาะแก่ประโยชน์ทุกอย่าง ถ้าหากว่าสมเด็จพระอดีตมหาราชได้มาขับไล่เจ้าตากมิให้ตั้งอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา ก็ขับไล่ด้วยไมตรีจิต ตักเตือนมิให้พลาดพลั้งไปด้วยเห็นแก่เกียรติยศ

เพราะกรุงศรีอยุธยาถึงเป็นที่มีชัยภูมิด้วยลําน้ำล้อมรอบ และเป็นเมืองมีป้อมปราการมั่นคงก็จริง แต่รี้พลของเจ้าตากที่มีอยู่ไม่พอจะรักษากรุงศรีอยุธยาต่อสู้ข้าศึก และขณะนั้นศัตรูก็ยังมีมาก ทั้งพม่าและไทยก๊กอื่นอาจจะยกมาย่ำยีในเมื่อหนึ่งเมื่อใด กรุงศรีอยุธยาอยู่ในทางที่ ข้าศึกจะมาถึงได้สะดวกทั้งทางบกและทางน้ำ ถ้ามีกําลังไม่พอรักษา ขืนตั้งอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาก็คงเป็นอันตราย

การที่ลงมาตั้งอยู่เมืองธนบุรีก็ไม่ห่างไกลกับกรุงศรีอยุธยา มีอํานาจอยู่ที่เมืองธนบุรีก็เหมือนมีอํานาจอยู่ในกรุงศรีอยุธยา แต่ได้เปรียบที่เมืองธนบุรีตั้งอยู่ที่ลําน้ำลึกใกล้ทะเล แม้ข้าศึกมาทางบกไม่มีทัพเรือเป็นกําลังด้วยแล้วก็ยากที่จะมาตีเมืองธนบุรี"

อย่างไรก็ดี "อาณาจักรธนบุรี" เป็นอาณาจักรเพียงแค่ช่วงสั้นๆ ระหว่างปี 2310 - 2325 หรือเพียง 15 ปี มีพระมหากษัตริย์ปกครองเพียงพระองค์เดียว คือ "สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี"

และต่อมาสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ และทรงย้ายเมืองหลวงไปยังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา คือ กรุงเทพมหานครในปัจจุบัน

ขอบคุณภาพ-Fb.มูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม

นอกจากวันที่ 6 เมษายน จะเป็นวันรำลึกถึงการสถาปนาราชวงศ์จักรีดังได้กล่าวไว้แล้ว คนไทยจำนวนมากยังนับเนื่องให้เป็นวันสถาปนา “กรุงเทพมหานคร” ด้วยเช่นกัน

เนื่องเพราะพระองค์ท่านได้ตัดสินพระทัยที่จะย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีข้ามฝั่งแม่นํ้าเจ้าพระยามาอยู่ ณ ตำบลบางกอก ซึ่งอยู่ตรงข้าม เพื่อสถาปนาให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ ในวันแรกที่ทรงขึ้นครองราชย์จากนั้น ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ.2325 อีก 2 วันถัดมาก็ทรงมีพระบรมราชโองการให้ พระยาธรรมาธิกรณ์ และ พระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างไปวัดกะที่ดินเพื่อสร้างพระนครแห่งใหม่โดยทันที

ต่อมาในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 ทรงประกอบพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อเวลา 6 นาฬิกา 54 นาที ถือเป็นวันกำเนิดอย่างเป็นทางการของมหานครแห่งนี้

จาก พ.ศ.2325 ถึง พ.ศ.2559 จะเป็นเวลา 234 ปี พอดิบพอดี และทาง กทม.ท่านก็แถลงว่าปีนี้เป็นปีที่ 234 ของการก่อตั้งกรุงเทพฯ หรือกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการประกอบพิธีทำนํ้าพระพุทธมนต์รัตนโกสินทร์ 234 ปี ดังที่เป็นข่าวเมื่อ 2-3 วันก่อน

ครับ! 234 ปีที่ผ่านไปมีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง หัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้างสลับกันไป อันเป็นปกติวิสัยที่เกิดขึ้นแก่ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้

แต่โดยรวมๆแล้ว ราชอาณาจักรสยามซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นราชอาณาจักรไทย หรือประเทศไทยในภายหลัง ก็วัฒนาสถาพรมาตามลำดับและอยู่รอดปลอดภัยไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของใคร และมีความเป็นปึกแผ่นมาจนถึงปัจจุบัน

สำหรับตัวกรุงเทพฯเองนั้นก็ค่อยๆเติบใหญ่จากตำบลเล็กๆ กลายเป็นเมืองใหญ่กลายเป็นมหานครใหญ่ เมื่อรวมเข้ากับกรุงธนบุรีเป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อ 14 ธันวาคม 2515

มีพื้นที่ทั้งหมด 1,568 ตารางกิโลเมตรกับเศษเล็กน้อย เป็นจังหวัดที่มีความใหญ่เป็นอันดับ 68 ของประเทศไทย และเป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 73 ของโลก แต่มีประชากร 5 ล้าน 6 แสนคน จึงหนาแน่นเป็นอันดับที่ 13 ของโลกเราในปัจจุบัน

จากที่มีเพียงบ้านเรือนธรรมดา ทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพฯได้กลายเป็นเมืองที่มีตึกระฟ้ามากที่สุด เป็นอันดับ 12 ของโลก

กลายเป็นเมืองที่มีผู้คนแวะมาเยือนเป็นอันดับที่ 10 ของโลก และเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย จากรายงานของหลายสถาบันที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว รวมทั้งนิตยสารทราเวล แอนด์เลเซอร์ ก็ได้จัดให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองน่าเที่ยวมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก ในปี 2551, 2553, 2554 และ 2555

มองจากมุมนี้ก็ถือเป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชม ที่ประเทศไทยเราได้สั่งสมศิลปวัฒนธรรม และความดีงามมาตลอด 234 ปี จนมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ใครๆก็อยากมาเที่ยว

แต่ในแง่ที่น่าห่วงใยก็มีมากมาย...ดังเช่น สำนักข่าวบีบีซี เคยรายงานว่า กทม.เป็นเมืองรถติดสาหัสที่สุดในโลก เพราะมีรถวิ่งบนถนน 5 ล้านคัน ในขณะที่พื้นผิวถนนรองรับได้แค่ 2 ล้านคันเท่านั้น

ทางด้านมลพิษใน กทม. พบว่ามีถนนที่มีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก เกิน 10 ไมโครเมตร (ค่ามาตรฐาน) จำนวน 10 สาย และอีก 2 สาย มีระดับเสียงเกินมาตรฐาน (70 เดซิเบล) ทุกวัน

นอกจากนี้ เมื่อวัดค่าเฉลี่ยสารก่อมะเร็งใน กทม. ไปเปรียบเทียบกับเมืองในทวีปเอเชีย ปรากฏว่า ของ กทม.อยู่ในอันดับที่ 13

ครับ! ผมลองแลหลังกลับไป โดยไม่ต้องไปค้นอะไรที่ไหนมากนัก แค่เปิดอ่านจาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ว่าด้วยเรื่อง กรุงเทพมหานคร ก็จะพบทั้งเรื่องน่าชื่นใจ และน่าห่วงใย ดังที่คัดลอกมาบางส่วนวันนี้

สรุปว่า 234 ปี กรุงเทพฯ เรายังเปลี่ยนแปลงมากมายถึงขนาดนี้ อีก 234 ปีข้างหน้าจะเปลี่ยนไปถึงขนาดไหนหนอ...ยังไงๆ ก็ขอฝากลูกๆหลานไว้ด้วย ขอให้ช่วยกันทำให้ กทม. เปลี่ยนแปลงไปในทาง ที่น่าชื่นใจมากกว่าน่าห่วงใยก็ละกัน กรุงเทพฯจะได้เป็นเมืองสวรรค์อยู่คู่ประเทศไทยไปอีกพันปีหมื่นปี โดยมิต้องโยกย้ายไปที่ใดอีกเลย.