“เงินตรากระดาษ” เริ่มผลิตขึ้นใช้เป็นครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยเรียกว่า “หมาย” แต่ออกมาใช้ได้ไม่นานนักก็ไม่เป็นที่นิยม และยกเลิกไป เนื่องจากประชาชนยังยึดมั่นเชื่อถือในเงินตราโลหะประเภทเหรียญอยู่ ในเวลาต่อมา ยังคงมีการผลิตเงินตรากระดาษประเภทต่างๆออกมาใช้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น “อัฐกระดาษ” “บัตรธนาคาร” “เงินกระดาษหลวง” จนกระทั่งกลายเป็น “ธนบัตร” ที่เราใช้กันแบบทุกวันนี้ คือในปี พ.ศ.2445 (ร.ศ.121) ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5ธนบัตรแบบ 1 จัดพิมพ์จากบริษัทโทมัส เดอ ลา รู ประเทศอังกฤษ โดยมีลวดลายแต่ข้างหน้า ด้านหลังเป็นกระดาษเปล่าไม่มีรอยพิมพ์ใดๆ นักสะสมเรียกธนบัตรแบบนี้ว่า “แบงค์หน้าเดียว” ซึ่งในระยะแรกผลิตขึ้นทั้งหมด 5 ชนิดราคา ได้แก่ 5 10 20 100 และ 1,000 บาท สาเหตุที่ไม่ออกธนบัตรใบละบาท เพราะตอนนั้นเรามีเหรียญบาทใช้กันอยู่แล้ว จนกระทั่งปี พ.ศ.2461 จึงได้มีการผลิตธนบัตรใบละหนึ่งบาทออกใช้ด้วย ณ ปัจจุบันแบงค์หน้าเดียว ชนิดราคา 1,000 บาท ในสภาพสวยสมบูรณ์มีนักสะสมต้องการรับซื้อในราคาหลักล้านกันเลยทีเดียว Show
ธนบัตรหน้าเดียว (แบงค์หน้าเดียว) ธนบัตรแบบ 2 ออกใช้ในปี พ.ศ.2468 ลวดลายด้านหลังเป็นรูปงานพระราชพิธี จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ นักสะสมนิยมเรียกธนบัตรแบบนี้ว่า “แบงค์ไถนา” ซึ่งแบ่งออกเป็นสองรุ่น รุ่นแรกเขียนว่า “สัญญาจะจ่ายเงินให้แก่ผู้ที่นำธนบัตรนี้มาขึ้นเป็นเงินตราสยาม” ส่วนรุ่นที่สองเขียนว่า “ธนบัตรเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย”ธนบัตร 1 บาท ไถนา(แบงค์ 1 บาท ไถนา) ธนบัตรแบบ 3 เป็นธนบัตรรุ่นแรกที่มีการนำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์มาใส่ไว้บนหน้าธนบัตร แบ่งออกเป็น 2 รุ่น รุ่นแรกเป็นพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 7 และรุ่นที่สองเป็นพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 8ธนบัตรแบบ 4 ในช่วงแรกผลิตที่โรงพิมพ์ของบริษัทโทมัส เดอ ลา รู ได้มีการปรับขนาดของธนบัตรให้ขนาดกระทัดรัดยิ่งขึ้น เมื่อพิมพ์ธนบัตรที่บริษัทโทมัสได้ไม่นาน ก็เกิดสงครามโลกขึ้น ทำให้การขนส่งไม่สะดวก ต้องย้ายไปพิมพ์ที่กรมแผนที่ทหาร นักสะสมเรียก “แบงค์พิมพ์กรมแผนที่”ธนบัตรแบบ 5 ทางรัฐบาลไทยได้สั่งพิมพ์ธนบัตรจากประเทศญี่ปุ่น ธนบัตรแบบ 5 จะมีความแตกต่างจากธนบัตรรุ่นอื่น คือ พระบรมฉายาลักษณ์ถูกย้ายมาอยู่ทางฝั่งขวามือตามแบบของญี่ปุ่น เมื่อเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ทำให้การขนส่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก มีธนบัตร 10 บาท ที่พิมพ์เสร็จได้ถูกขนส่งไปไว้ที่สิงคโปร์ ผ่านทางรถไฟมายังกรุงเทพ เพื่อมาให้ทางรัฐบาลไทยพิมพ์หมายเลขและลายเซ็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ข่าวนี้รั่วไหลไปสู่แก็งค์หัวขโมย เมื่อรถไฟมาถึงสถานีบ้านฉาง (ห่างจากสุราษฎร์ธานี ประมาณ 25 กิโลเมตร) ได้ถูกหัวขโมยงัดตู้แล้วถีบกระสอบใส่ธนบัตรลงมา ต่อมาธนบัตรชุดที่ถูกขโมยไปนั้นได้ถูกปลอมแปลงลายเซ็นแล้วนำออกใช้ จนข่าวไปถึงกระทรวงการคลัง จึงแจ้งว่าธนบตรชุดดังกล่าวเป็นธนบัตรที่ไม่ถูกกฎหมาย แต่เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนธนบัตรในขณะนั้น จึงนำมาแก้ราคา โดยใช้หมึกสีดำพิมพ์ทับชนิดราคา 10 บาท กลายเป็นชนิดราคา 50 สตางค์แทน นักสะสมเรียกธนบัตรรุ่นนี้ว่า “ธนบัตรไทยถีบ”ธนบัตรไทยถีบ (แบงค์ไทยถีบ) ธนบัตรแบบ 6 และ ธนบัตรแบบ 7 พิมพ์ในประเทศ ใช้กระดาษจากโรงงานกระดาษที่ปราณบุรี คุณภาพไม่ค่อยดี ปัจจุบันจึงหาธนบัตรรุ่นนี้ในสภาพดีได้ค่อนข้างยากธนบัตรแบบ 8 พิมพ์ที่บริษัททิวดอร์ รัฐแมนซาชูเซทท์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ผลิตขึ้นทั้งหมด 5 ชนิดราคา ได้แก่ 1 5 10 20 และ 100 บาท โดยธนบัตรชนิดราคา 20 และ 100 บาท จะมีรูปร่างและขนาดยาวคล้ายธนบัตรดอลล่าร์ของสหรัฐอเมริกา นักสะสมเรียกธนบัตรรุ่นนี้ว่า “แบงค์อเมริกัน”ธนบัตรแบบ 9 เมื่อบริษัทโทมัส เดอ ลา รู ฟื้นตัวจากภาวะสงคราม ในปี พ.ศ.2490 เราจึงได้สั่งพิมพ์ธนบัตรจากโรงพิมพ์แห่งนี้อีกครั้ง ถ้าให้นึกง่ายๆคือ ธนบัตรที่ใช้สมัยปู่ย่า หรือพ่อแม่ของเรา ในชุดประกอบด้วย 50สตางค์ 1 5 10 20 และ 100 บาท ชนิดราคาตั้งแต่ 5 บาท ขึ้นไปจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ธนบัตรแบบ 10 มีผลิตเฉพาะธนบัตรชนิดราคา 100 บาท ด้านหน้าเป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ด้านหลังธนบัตรเป็นรูปเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ สีแดงลอยลำอยู่บนพื้นน้ำสีฟ้า ตัวพื้นกระดาษธนบัตรเป็นสีขาว รุ่นนี้เป็นที่นิยมของนักสะสมเป็นอย่างมากธนบัตรแบบ 11 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการจัดตั้งโรงพิมพ์ธนบัตรขึ้น ในปี พ.ศ.2512 โดยผลิตขึ้นทั้งหมด 5 ชนิดราคา ได้แก่ 5 10 20 100 และ 500 บาท เรายังคงผลิตธนบัตรเองจวบจนถึงปัจจุบัน คือ ธนบัตรแบบ 16.5 ซึ่งด้านหลังของธนบัตรได้นำพระราชกรณียกิจช่วงต่างๆ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาใส่ไว้ธนบัตรที่พิมพ์ขึ้นนอกจากจะใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจแล้ว ยังมีธนบัตรอีกชนิดที่ผลิตขึ้นเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เก็บสะสม เรียกว่า “ธนบัตรที่ระลึก” ธนบัตรที่ระลึกจะมีรูปแบบที่สวยงามมาก ยกตัวอย่างเช่น ธนบัตร 50 บาท ที่ระลึกราชาภิเษกสมรส และ บรมราชาภิเษก ครบ 50 ปี หรือที่นักสะสมนิยมเรียกว่า “แบงค์แต่งงาน” หรือ ธนบัตร 500 บาท ที่ระลึกฉลองสิริราชสมบัติ ครบ 50 ปี ตัวธนบัตรจะถูกบรรจุอยู่ในเล่มที่ผลิตด้วยผ้าไหม นักสะสมจึงเรียกว่า “แบงค์500ปกผ้าไหม”นอกจากธนบัตรที่ระลึกที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ยังมีธนบัตรที่มีความพิเศษที่นักสะสมต้องการได้แก่ “ธนบัตรเลขตอง” “ธนบัตรตัวอย่าง” “ธนบัตรตลก” “ธนบัตรเลขตอง” หรือ “แบงค์เลขตอง” ในวงการสะสมธนบัตร คือ ธนบัตรที่มีเลขทุกหลักเหมือนกัน เช่น 33ก 1111111 จะมีราคาเล่นหาในช่วงหลักพันถึงหมื่น และถ้ายิ่งเลขนำหน้าหมวดเป็นเลขเดียวกันจะยิ่งทำให้มีราคาสูงขึ้น เช่น 11ก 1111111 แต่ถ้ามีตัวเลขใดผิดเพี้ยนไปเช่น 33ก1111131 จะเรียกว่า “ธนบัตรเลขสวย” ซึ่งมีราคาเล่นหาไม่แพง อยู่ในช่วงหลักร้อยถึงพันครับธนบัตรเลขตอง (แบงค์เลขตอง) “ธนบัตรตัวอย่าง” เป็นธนบัตรที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อส่งมอบแก่ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับรู้ว่าธนบัตรที่กำลังจะออกมานั้นรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร วิธีสังเกตธนบัตรตัวอย่าง คือ ธนบัตรจะเป็นเลข 0000000 ทั้งหมด และมีข้อความพิมพ์ด้วยตัวสีแดงหรือดำว่า “ตัวอย่าง” หรือ “SPECIMEN”ธนบัตรตัวอย่าง (แบงค์ตัวอย่าง) “ธนบัตรตลก” คือ ธนบัตรที่เกิดความผิดพลาดในระหว่างกระบวนการผลิต เช่น พิมพ์เลขเคลื่อน เนื้อกระดาษเกิน รันเลขอารบิคกับเลขไทยไม่ตรงกัน ลายน้ำกลับหัว ธนบัตรพวกนี้มีราคาดีและเป็นที่ต้องการของนักสะสมครับธนบัตรตลก (แบงค์ตลก) แนวทางในการเก็บรักษาธนบัตรให้มีสภาพสวยเดิม เมื่อได้ธนบัตรมาสะสมแล้ว วิธีการเก็บรักษาธนบัตรให้มีสภาพขาวสวยคงเดิม เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้าเนื้อกระดาษเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือขึ้นคราบสนิม จะทำให้มูลค่าของธนบัตรน้อยลง วิธีการที่ง่ายที่สุด คือ เก็บธนบัตรใส่ซองพลาสติกสำหรับใส่ธนบัตรโดยเฉพาะ ก่อนใส่แฟ้มสำหรับเก็บธนบัตร เก็บเข้าตู้ที่มีการคุมอุณหภูมิ และใส่ซองกันชื้นลงไปด้วย เพียงเท่านี้ธนบัตรก็จะคงสภาพสวยเดิมไปอีกหลายปีครับร้านWincoin เป็นร้านรับซื้อธนบัตรเก่า ที่ให้บริการรับซื้อธนบัตรเก่า รับซื้อแบงค์เก่าทุกชนิด ที่บริหารโดยคุณวิน ภายใต้นโยบาย “รับซื้อเพื่อการสะสม ให้ราคาสูงที่สุด” ทางร้านยินดีให้คำปรึกษาทุกท่านด้วยความเต็มใจ โทร 096-818-8188 (คุณวิน) ท่านสามารถส่งภาพเพื่อประเมินราคาได้ทาง [email protected] : @wincoin (** มี @ นำหน้าด้วยครับ **) |