สำหรับคนชอบหวาน ขาดหวานไม่ได้ แต่จำเป็นต้องควบคุมน้ำหนัก หรือลดการรับประทานน้ำตาลให้น้อยลงเพราะเป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับความดัน สารให้ความหวานแทนน้ำตาลเป็นทางออกที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะทำให้ได้รับประทานอาหารที่มีรสหวานตามต้องการแต่ไม่มีน้ำตาลและพลังงานต่ำ ทั้งนี้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลมีหลายประเภท และมีข้อดีข้อเสีย รวมถึงผลข้างเคียงต่อสุขภาพแตกต่างกันไป Show สารบัญเนื้อหา ซ่อน สารให้ความหวานแทนน้ำตาลคืออะไร? สารให้ความหวานแทนน้ำตาลมีอะไรบ้าง? 1. สารให้ความหวานที่ให้พลังงานต่ำ หรือไม่ให้พลังงาน 2. สารให้ความหวานที่ให้พลังงาน สารให้ความหวานแทนน้ำตาลมีอันตรายอย่างไร? สารให้ความหวานแทนน้ำตาลคืออะไร?สารให้ความหวานแทนน้ำตาล (Non-nutritive sweeteners) คือ สารที่ให้รสหวาน แต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ ได้รับการจัดเป็นอาหารควบคุมเฉพาะตามพระราชบัญญัติอาหารปี พ.ศ. 2522 และใช้อักษรย่อว่า “คน” ซึ่งสารให้ความหวานแทนน้ำตาลสามารถกระตุ้นต่อมรับรสหวานได้ เมื่อนำไปปรุงอาหารจะทำให้ได้อาหารที่มีรสชาติเหมือนปรุงด้วยน้ำตาลทรายตามปกติ จึงเป็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก สารให้ความหวานแทนน้ำตาลมีอะไรบ้าง?สารให้ความหวานแทนน้ำตาล สามารถแบ่งได้ 2 ชนิด คือ แบบที่ให้พลังงานต่ำ หรือไม่ให้พลังงาน และแบบที่ให้พลังงาน 1. สารให้ความหวานที่ให้พลังงานต่ำ หรือไม่ให้พลังงาน1.1 แซคคารีน (Saccharin)แซคคารีน หรือขัณฑสกร เป็นสารให้ความหวานชนิดให้พลังงานต่ำ แต่ข้อเสียคือไม่ทนความร้อน ใช้ปรุงอาหารระหว่างใช้ความร้อนไม่ได้ ดังนั้นจึงนิยมใช้ในขนมหวาน เครื่องดื่ม ไอศกรีม และผลไม้ดอง แต่เมื่อใช้ในปริมาณมากจะมีรสขม และถ้ารับประทานในขนาด 5-25 กรัมติดต่อกันหลายวัน หรือรับประทาน 100 กรัมในครั้งเดียว จะก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ซึม จนถึงขั้นชักได้ ถ้าเป็นคนที่แพ้แซคคารีน การรับประทานเพียงปริมาณน้อยก็ทำให้อาเจียน เกิดผื่นที่ผิวหนังได้ รวมถึงมีผลงานวิจัยว่าอาจมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ดังนั้นจึงไม่ควรรับประทานในปริมาณมากและต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน และควรใช้ในวงจำกัด เช่น ใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน 1.2 แอสปาแทม (Aspartame)แอสปาแทม ประกอบด้วยกรดอะมิโน 2 ชนิดต่อกัน คือ ฟินิลอลานิน (phenylalanine) และกรดแอสปาติก (aspartic acid) มีความหวานมากกว่าน้ำตาลทราย 180-200 เท่า เป็นสารหลักๆ ที่ใช้ในอาหาร เครื่องดื่มน้ำอัดลม และยา มีความปลอดภัยในการบริโภค ไม่กระตุ้นการเกิดน้ำตาลในเลือด และได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา แต่ผู้ที่ต้องระวังในการบริโภคคือผู้ป่วยไมเกรน เพราะอาจกระตุ้นการปวดไมเกรน และสตรีมีครรภ์ เพราะอาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม รวมถึงห้ามใช้กับผู้ป่วยโรคฟินิลคีโตนูเรีย ซึ่งมีข้อห้ามนี้ระบุไว้บนผลิตภัณฑ์ทุกตัวที่ใช้แอสปาแทม ส่วนข้อเสียอีกอย่างคือไม่ทนความร้อน จึงไม่ควรใช้ปรุงอาหารขณะที่กำลังใช้ความร้อน เพราะจะทำให้แอสปาแทมสลายตัวและรสชาติเปลี่ยนไป 1.3 สตีเวีย (Stevia)สตีเวีย หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ “หญ้าหวาน” เป็นสารธรรมชาติจากต้นหญ้าหวาน มีพลังงานน้อย แต่ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลทราย 200 เท่า ใช้กันอย่างแพร่หลายมานานในหลายประเทศ สตีเวียมีข้อดีคือทนความร้อนได้ถึง 200 องศาเซลเซียส จึงนำมาปรุงอาหารในขณะใช้ความร้อนได้ ต่างจากแอสปาแทมที่จะสลายตัวหากโดนความร้อน ในประเทศญี่ปุ่นกับเกาหลียังนิยมใช้ในการหมักเนื้อ ปลา และผักดอง ทั้งนี้จากการศึกษาอย่างยาวนานยังไม่มีผลรายงานด้านความอันตรายจากการบริโภค และเป็นสารที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา จึงนับได้ว่ามีความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจ และบุคคลที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก 1.4 ซูคราโลส (Sucralose)ซูคราโลสเป็นสารที่ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายถึง 600 เท่า แต่ไม่มีพลังงาน และยังไม่สะสมในร่างกาย ได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลกว่าปลอดภัยเทียบเท่าน้ำตาลธรรมชาติ ทั้งยังทนความร้อนสูง สามารถปรุงระหว่างใช้ความร้อนได้ จึงมีการใช้ในน้ำอัดลมบางยี่ห้อ ขนม ชา และกาแฟ ส่วนข้อเสียคือ กระบวนการผลิตซูคราโลสต้องเพิ่มคลอรีนเข้าไปในโมเลกุลน้ำตาล ส่งผลให้กระเพาะอาหารไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น และอาจมีผลข้างเคียงทำให้ปวดศีรษะอีกด้วย 2. สารให้ความหวานที่ให้พลังงาน2.1 ไซลิทอล (Xylitol)ไซลิทอลอยู่ในกลุ่มของน้ำตาลแอลกอฮอล์ (Sugar Alcohol) รสชาติใกล้เคียงน้ำตาลมาก และให้พลังงานเพียง 40% ของน้ำตาล สำหรับผู้ที่ชอบเคี้ยวหมากฝรั่งคงเห็นไซลิทอลเป็นส่วนประกอบอยู่บ่อยๆ รวมทั้งยังมีในยาสีฟันอีกด้วย เพราะไซลิทอลลดการเกิดกรดในช่องปากจึงไม่ทำให้ฟันผุ ไซลิทอลเป็นสารที่มีอยู่ในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เห็ด ผักกาดแก้ว ต้นเบิร์ช และข้าวโพด นอกจากนี้ร่างกายสามารถสร้างไซลิทอลระหว่างการสันดาปของกลูโคสด้วย 2.2 มอลทิทอล (Maltitol)มอลทิทอลมาจากน้ำตาลมอลโทส เป็นสารให้ความหวานที่ให้พลังงาน 60% ของน้ำตาลปกติ ทนต่อความร้อน จึงใช้ปรุงอาหารระหว่างใช้ความร้อนได้ มักพบในการทำขนมประเภทเบเกอรี่ กาแฟ นม นมถั่วเหลือง ไม่ทำให้ฟันผุคล้ายกับไซลิทอล ช่วยระบบการย่อย แต่ถ้าบริโภคมากเกินไปอาจทำให้ท้องเสียได้ 2.3 ซอร์บิทอล (Sorbitol)ซอร์บิทอลอยู่ในกลุ่มน้ำตาลแอลกอฮอล์ มักทำมาจากน้ำเชื่อมข้าวโพด มีความหวาน 60% ของน้ำตาลทราย ให้พลังงาน 2.6 กิโลแคลอรี่ต่อ 1 กรัม มักพบใน ลูกอม ยาแก้ไอ และหมากฝรั่ง แต่ซอร์บิทอลอาจทำให้เกิดฟันผุได้ แตกต่างกับไซลิทอลที่ลดการเกิดกรดในช่องปาก และถ้าบริโภคเป็นปริมาณมากอาจทำให้ท้องร่วงได้ 2.4 ฟรุกโตส (Fructose)ฟรุกโตสเป็นน้ำตาลจากผลไม้ ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลทราย 1.4 เท่า มักพบในเครื่องดื่ม อย่างเช่น น้ำอัดลม ผลไม้กล่อง ข้อเสียของฟรุกโตส คือ จะสะสมเป็นไขมันที่ตับ และสามารถระงับการหลั่งสารอินซูลินได้ จึงมีผลให้น้ำตาลในเลือดและระดับคอเลสเตอรอลสูง อาจก่อให้เกิดโรคหัวใจและเบาหวาน จึงเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ควรบริโภคในปริมาณที่น้อยมาก และควรหลีกเลี่ยง สารให้ความหวานแทนน้ำตาลมีอันตรายอย่างไร?1. มีสารเคมีตกค้างสารให้ความหวานแทนน้ำตาลมีส่วนประกอบทางสารเคมีที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดไปได้หมด ถ้าบริโภคเป็นเวลานานอาจทำลายเซลล์เนื้อเยื่อ ทำให้เซลล์เกิดความผิดปกติ และกลายเป็นมะเร็งได้ 2. เป็นสาเหตุโรคอ้วนและเบาหวานการบริโภคในปริมาณที่มากเกินไปก็สามารถทำให้เกิดโรคอ้วนและเบาหวานตามมาได้ และการบริโภคแอสปาแทมปริมาณมากอาจส่งผลให้การผลิตฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ และกลับมาอยากน้ำตาลแท้มากขึ้นกว่าเดิม 3. มีสารประกอบบางอย่างที่อันตรายแม้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลหลายอย่างจะได้รับการยอมรับจากองค์กรที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานของอาหารและยา แต่จากผลการวิจัยก็พบว่ายังมีผลข้างเคียงอยู่ไม่น้อย เช่น อาจทำให้ชักรุนแรงจนเสียชีวิต ก่อให้เกิดมะเร็ง เป็นต้น 4. ส่งผลต่อการทำงานของกระเพาะลำไส้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล มีผลข้างเคียงทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือทำให้ท้องร่วงรุนแรงได้ 5. ส่งผลต่อการทำงานของสมองส่วนประกอบบางชนิดสามารถผ่านเข้าไปสะสมในเซลล์สมองได้ ซึ่งอาจทำให้สมองทำงานผิดปกติและเกิดโรค เช่น อัลไซเมอร์ ลมบ้าหมู เป็นต้น อย่างไรก็ตาม คณะการอาหารและยาได้ระบุว่า ปริมาณการบริโภคสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่เหมาะสม มีดังนี้
ส่วนผู้ที่ป่วยเป็นโรคหรือมีภาวะฟีนิลคีโตนูเรีย ห้ามทานแอสปาแทมโดยเด็ดขาด เพราะอันตรายต่อระบบประสาทและสมอง จากข้อมูลที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าการบริโภคสารให้ความหวานแทนน้ำตาล มีทั้งประโยชน์และโทษ ซึ่งในด้านของโทษอาจดูอันตรายกว่าที่คิด ดังนั้นหากต้องการรับประทานสารให้ความหวานเพื่อควบคุมน้ำหนัก หรือเพราะป่วยเป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน ควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้ได้รับคำแนะนำอย่างถูกต้อง แต่สำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก การค่อยๆ ปรับพฤติกรรมการกินหวานลงโดยไม่ต้องใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเพื่อการรักษาสุขภาพในระยะยาว |