นโยบายการเงิน คือ Show ผู้ดูแลเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่ง นอกจากรัฐบาลแล้วยังมีธนาคารกลาง(แบงก์ชาติ) ของประเทศนั้นๆ อีกด้วย ฉะนั้นแล้วเราจะได้ยิน "นโยบายการคลัง" รัฐบาลเป็นผู้ควบคุม หรือ "นโยบายการเงิน" ธนาคารกลางเป็นผู้ควบคุมจากในข่าวบ่อยๆ ซึ่งวันนี้จะมาพูดถึง นโยบายการเงินกันครับ นโยบายการเงิน คือ มาตรการทางการเงินชนิดหนึ่งที่ธนาคารกลาง(แบงก์ชาติ) เป็นผู้ควบคุมเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินภายในประเทศ ตัวอย่างเช่น หากเศรษฐกิจภายในประเทศกำลังเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้อหรือเงินฝืดนั้น ธนาคารกลางจะประกาศนโยบายทางการเงินออกมา เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เงินฝืดหรือเงินเฟ้อมากเกินไป โดยนโยบายการเงินหลักๆแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ
โดยทั้ง 2 นโยบายต่างใช้ในเวลาที่ต่างกัน ยกตัวอย่างในช่วงเศรษฐกิจซบเซา ธนาคารกลางจะใช้ "นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย" เพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจในประเทศไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืด หรือกล่าวคือเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ตัวอย่าง การใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
กลับกันหากประเทศกำลังเติบโตอย่างร้อนแรง ธนาคารกลางจะใช้ "นโยบายการเงินแบบเข้มงวด" ซึ่งการดำเนินการจะตรงข้ามกับตัวอย่างด้านบน ตัวอย่างเช่น ปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบาย, ขายพันธบัตรเพื่อดึงออกจากระบบเศรษฐกิจ หรือเพิ่มอัตราเงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น จากตัวอย่างดังกล่าว เป็นเพียงเครื่องมือส่วนหนึ่งที่ธนาคารกลางสามารถควบคุมได้ อีกทั้งยังมีอัตราแลกเปลี่ยนที่ธนาคารกลางสามารถเข้ามาแทรกแซงได้ ขึ้นอยู่กับประเทศนั้นใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบใด ซึ่งการใช้นโยบายเหล่านี้ใช้เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืดหรือเงินเฟ้อมากเกินไป จะเห็นได้ว่า นโยบายการเงิน เป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในระบบเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางต้องพิจารณาการใช้นโยบายให้ดี เพราะจะกระทบเศรษฐกิจออกเป็นวงกว้าง เงิน คือ สิ่งใดๆ ก็ตามที่สังคมยอมรับโดยทั่วไปในขณะใดขณะหนึ่ง และในเขตพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งในฐานะเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ ทั้งนี้สิ่งนั้นจะต้องถูกกำหนดค่าขึ้นเป็นหน่วยเงินตราและเป็นหน่วยวัดค่าที่แน่นอน วิวัฒนาการของเงิน – เงินที่เป็นสิ่งของหรือสินค้า (Commodity Money) –
โลหะและเหรียญ (Coins) – ธนบัตร (Paper Money) – เงินฝากกระแสรายวัน (Demand Deposits) คุณสมบัติของเงินที่ดี – เป็นสิ่งที่หายาก – มีมูลค่าคงที่ – มีปริมาณที่ยืดหยุ่นได้ –
นำติดตัวไปได้สะดวก – สามารถแบ่งเป็นหน่วยย่อยได้ – มีความคงทน การแลกเปลี่ยน – ระบบการแลกเปลี่ยนสิ่งของต่อสิ่งของ (Barter System) – ระบบที่มีการใช้เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Money) – ระบบที่ใช้เครดิตเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Credit) หน้าที่ของเงิน – เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Medium of Exchange) – เป็นเครื่องวัดมูลค่า (Standard of Value) – เป็นมาตรฐานการชำระหนี้ในอนาคต (Standard of Deferred Payment) – เป็นเครื่องรักษามูลค่า (Store of Value) ปริมาณเงิน (Money Supply) ปริมาณเงินตามความหมายแคบ (M1) หมายถึง สินทรัพย์ทางการเงินที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ซึ่งประกอบด้วยเหรียญกษาปณ์ ธนบัตร และเงินฝากกระแสรายวันทั้งหมดที่อยู่ในมือของประชาชน บริษัท ห้างร้าน และองค์กรธุรกิจอื่นๆ ในขณะใดขณะหนึ่ง M1 = เหรียญกษาปณ์ + ธนบัตร + เงินฝากกระแสรายวัน *** ไม่รวมธนาคาร ไม่รวมธนาคารกลาง และกระทรวงการคลัง ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (M2) หมายถึง ปริมาณเงินตามความหมายแคบ (M1) บวกด้วยสินทรัพย์ทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนและสามารถเปลี่ยนเป็นเงินที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนโดยง่าย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย หรือเสียค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย M2 = M1 + เงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำ ปริมาณเงินตามความหมายกว้างมาก (M3) หมายถึงปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (M2) บวกด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุนที่ถือโดยเอกชน M3 = M2 + ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตลาดการเงิน (Financial Market) คือตลาดที่อำนวยความสะดวกในการโอนเงินจากหน่วยเศรษฐกิจที่มีเงินออมไปยังหน่วยเศรษฐกิจที่ต้องการเงินออม (เพื่อนำไปลงทุน) โดยจะจำแนกตามระยะเวลาของเงินทุนหรือตราสารทางการเงินได้เป็นต้น o ตลาดเงิน เป็นแหล่งระดมเงินออมระยะสั้น (ไม่เกิน 1 ปี) แล้วจัดสรรให้กู้ยืมแก่ผู้ที่ต้องการเงินทุน ซึ่งตราสารทางการเงินที่ใช้ในตลาดเงิน คือ ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วแลกเงิน และตั๋วเงินคลัง เป็นต้น โดยตลาดเงินสามารถแบ่งออกได้เป็น ตลาดเงินในระบบ คือ สถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นโดยถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ธนาคาพาณิชย์ บริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์ เป็นต้น ตลาดเงินนอกระบบ คือ แหล่งที่มีการกู้ยืมเงินโดยไม่มีกฎหมายรองรับ การดำเนินการขึ้นอยู่กับข้อตกลงและความพอใจของผู้ให้กู้และผู้กู้ เช่น การเล่นแชร์ การให้กู้ การฝากขาย เป็นต้น o ตลาดทุน เป็นแหล่งระดมเงินออมระยะยาว (เกิน 1 ปี) เพื่อจัดสรรให้กับผู้ที่ต้องการเงินทุนระยะยาว ซึ่งตราสารทางการเงินที่ใช้ในตลาดทุน ได้แก่ การกู้ระยะยาว หุ้นกู้ หุ้นสามัญ พันธบัตร ทั้งของรัฐบาลและเอกชน เป็นต้น โดยตลาดทุนอาจแบ่งเป็นตลาดสินเชื่อทั่วไปซึ่งประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนและตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งแบ่งออกเป็นตลาดแรกและตลาดรอง ตลาดแรก (Primary Market) คือตลาดที่ซื้อขายหลักทรัพย์ออกใหม่ ตลาดรอง (Secondary Market) คือตลาดที่ซื้อหลักทรัพย์เก่า (ที่เคยซื้อขายเปลี่ยนมือกันมาก่อน) ธนาคารพาณิชย์ (Commercial Bank) หมายถึง การประกอบธุรกิจประเภทรับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ และใช้ประโยชน์เงินนั้นในทางหนึ่งหรือหลายทาง เช่น ให้กู้ยืมเงินซื้อขายหรือเก็บเงินตามตั๋วเงินหรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใด ซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศ เป็นต้น ทั้งนี้จะประกอบธุรกิจประเภทอื่นอันเป็นประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์พึงกระทำหรือไม่ก็ตาม หน้าที่ของธนาคารพาณิชย์ o ให้บริการทางการเงินทั้งในและต่างประเทศ เช่น รับฝากเงิน โอนเงิน ให้กู้เงิน รับเก็บรักษาของมีค่า o สร้างและทำลายเงินฝากซึ่งเป็นหน้าที่พิเศษโดยเฉพาะของธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินประเภทอื่นไม่มีอำนาจและหน้าที่เช่นนี้ ซึ่งทำให้ธนาคารพาณิชย์แตกต่างจากสถาบันการเงินประเภทอื่น อัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย (Legal Reserve Ratio) เป็นอัตราที่ธนาคารกลางกำหนดขึ้นคิดเป็นร้อยละของเงินฝาก โดยธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งที่มีเงินฝากจะต้องดำรงเงินสดสำรองโดยฝากไว้ที่ธนาคารกลางอย่างน้อยที่สุดไม่ต่ำกว่าอัตราที่กำหนดนี้เงินสดสำรองตามกฎหมายหรือเงินสดสำรองที่ต้องดำรง (Legal Reserve or Reserve Requirement) คือ จำนวนเงินสดที่ธนาคาพาณิชย์ต้องดำรงเมื่อเทียบกับจำนวนเงินฝาก ซึ่งปัจจุบัน ธนาคารกลางได้กำหนดอัตราเงินสดสำรองไว้ที่ 6% หมายความว่ากู้เงิน 100 บาท จากธนาคาร เราจะได้เงิน 94 บาท ส่วนอีก 6 บาทก็จะนำไปเก็บที่ธนาคารกลาง ปริมาณเงินจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับ การฝากเงิน / การถอนเงิน ฝากเงิน = ปริมาณเงินเพิ่ม ถอนเงิน = ปริมาณเงินลด ธนาคารกลาง (Central Bank) คือ สถาบันการเงินที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐบาลให้ควบคุมดูแลระบบการเงินและเครดิตของประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่เศรษฐกิจและสังคมส่วนรวม ข้อแตกต่างระหว่างธนาคารกลางและธนาคารพาณิชย์ – ธนาคารกลางทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ไม่ใช่แสวงหากำไรเหมือนธนาคารพาณิชย์ – ธนาคารกลางไม่ดำเนินธุรกิจแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ – ลูกค้าของธนาคารกลางและธนาคารพาณิชย์เป็นคนละประเภทกัน หน้าที่ของธนาคารกลาง – ออกธนบัตร – เป็นนายธนาคารของรัฐบาล o รักษาบัญชีเงินฝากของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ o ให้รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจกู้ยืมเงิน o เป็นที่ปรึกษาทางการเงินของรัฐบาล o เป็นตัวแทนทางการเงินของรัฐบาลในการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ การชำระเงินกู้ การโอนเงินระหว่างประเทศ และภายในประเทศให้รัฐบาล – เป็นนายธนาคารของธนาคารพาณิชย์ o รักษาเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ o เป็นสำนักงานกลางในการหักบัญชี o ให้ธนาคารพาณิชย์กู้ยืมเงิน o เป็นศูนย์กลางการโอนเงินระหว่างธนาคาร – เป็นผู้รักษาเงินสำรองระหว่างประเทศ – เป็นผู้ให้กู้ยืมแหล่งสุดท้าย – เป็นผู้ควบคุมปริมาณเงินและเครดิต – เป็นผู้ควบคุมธนาคารพาณิชย์ นโยบายการเงิน (Monetary Policy) คือ การดูแลปริมาณเงินและสินเชื่อโดยธนาคารกลาง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจประการใดประการหนึ่งหรือหลายประการ ประเภทของนโยบายการเงิน – นโยบายการเงินแบบเข้มงวด (Restrictive Monetary Policy) คือ การใช้เครื่องมือต่างๆทางการเงินเพื่อให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจลดลง – นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (Easy Monetary Policy) คือ การใช้เครื่องมือต่างๆ ทางการเงินเพื่อให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น เครื่องมือของนโยบายการเงิน – การควบคุมทางปริมาณหรือโดยทั่วไป (Quantitative or General Control) โดยเครื่องมีอที่ใช้ในการควบคุมทางปริมาณ ได้แก่ o การซื้อขายหลักทรัพย์ (Open-Market Operation) o อัตรารับช่วงซื้อลด (Rediscount Rate) o อัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (Bank Rate) o เงินสดสำรองที่ต้องดำรง (Reserve Requirement) – การควบคุมทางคุณภาพหรือโดยวิธีเลือกสรร (Qualitative or Selective Credit Control) เป็นการควบคุมชนิดของเครดิตซึ่งใช้ในกรณีที่ธนาคารจำเป็นต้องจำกัดเฉพาะเครดิตบางชนิดเท่านั้น โดยชนิดของเครดิตที่ธนาคารกลางมักจะเลือกควบคุม ได้แก่ o การควบคุมเครดิตเพื่อการซื้อหลักทรัพย์ o การควบคุมเครดิตเพื่อการอุปโภคบริโภค o การควบคุมเครดิตเพื่อการซื้อบ้านและที่ดิน – การชักชวนธนาคารพาณิชย์ให้ปฏิบัติตาม การคลังสาธารณะ รายได้ของรัฐบาล จะได้มาจากการเก็บภาษีอากร และรายได้ที่มิใช่ภาษีอากร ภาษีอากร เป็นรายได้ของรัฐบาบที่บังคับเก็บจากประชาชน เพื่อประโยชน์ของคนในประเทศ โดยผู้จ่ายไม่ได้รับประโยชน์ตอบแทนตามส่วนของเงินที่จ่าย โดยรายได้ของรัฐบาลไทยมากกว่าร้อยละ 80 เป็นรายได้จากภาษีอากร รายจ่ายของรัฐบาล การใช้จ่ายของรัฐบาล เป็นการใช้จ่ายในสิ่งที่รัฐบาลต้องทำ เพื่อประโยชน์ของคนทั้งประเทศ ซึ่งได้แก่ การรักษาความสงบภายในประเทศ การป้องกันประเทศและการลงทุนในสาธารณูปโภค หนี้สาธารณะ หนี้ของรัฐบาลที่เกิดจากการกู้ยืมและการคำประกันเงินกู้โดยรัฐบาล จะเรียกว่าหนี้สาธารณะ เพราะหนี้เหล่านี้จะต้องช้ำระด้วยภาษีอากร ที่เรียกเก็บจากประชาชนทั้งประเทศ หนี้ของรัฐบาลที่เกิดจากการกู้ยืมโดยรัฐบาล เกิดจากรัฐบาลมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย งบประมาณแผ่นดิน เป็นแผนในการจัดหารายรับและรายจ่ายของรัฐบาลในช่วง 1 ปี ซึ่งเรียกว่า ปีงบประมาณ แต่ละประเทศจะมีวันเริ่มต้นไม่ตรงกัน สำหรับประเทศไทย จะเริ่มต้นวันที่ 1 ตุลาคม และสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน เช่น งบประมาณประจำปี 2554 จะเริ่มในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2553 และสิ้นสุดใน วันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2554 เป็นต้น นโยบายการคลัง เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ด้วยการใช้มาตรการทางการคลัง ซึ่งได้แก่ มาตรการทางภาษี การใช้จ่ายของรัฐบาล และการก่อหนี้สาธารณะ ซึ่งนโยบายการคลังมี 2 แบบที่สำคัญ คือ – นโยบายการคลังแบบผ่อนคลาย จะดำเนินการด้วยมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล ลดการเก็บภาษี – นโยบายการคลังแบบเข้มงวด จะดำเนินการด้วยมาตรการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลและเพิ่มการเก็บภาษี อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หมายถึง ราคาของเงินสกุลหนึ่งที่คิดเทียบกับเงินสกุลอื่น อัตราแลกเปลี่ยนในระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวจะถูกกำหนดโดยอุปสงค์ ต่อเงินตราต่างประเทศ และอุปทานของเงินตราต่างประเทศ เช่น เงิน 30 บาท = 1 ดอลลาร์ เปลี่ยนเป็น 33 บาท = 1 ดอลลาร์ หมายถึง เงินบาทอ่อนค่า และ 27 บาท = 1 ดอลลาร์ หมายถึง เงินบาทแข็งค่า ดุลการชำระเงิน เป็นการบันทึกจำนวนเงินตราต่างประเทศที่ประเทศได้รับและจ่ายในช่วงเวลาหนึ่ง ประกอบด้วยบัญชีใหญ่ 3บัญชี คือ – บัญชีเงินเดินสะพัด เป็นบัญชีที่แสดงถึงรายได้และรายจ่ายของประเทศ – บัญชีเงินทุนเคลื่อนย้าย เป็นบัญชีที่แสดงถึงจำนวนเงินลงทุน เงินกู้ยืม และเงินฝากทั้งระยะสั้นและระยะยาว ของชาวต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศ – บัญชีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เป็นทรัพย์สินที่สามารถใช้ชำระหนี้ระหว่างประเทศได้ ข้อใดคือ ปริมาณเงินตามความหมายอย่างกว้าง2.3 ปริมาณเงินในความหมายอย่างกว้างมาก (M3) หมายถึง ปริมาณเงิน M2 รวมกับ ตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุนที่ถือโดยภาคเอกชนและเงินฝากในสถาบันการเงินทุกประเภท เงินฝากที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ซึ่งปริมาณเงินในประเภทนี้จะเกิดขึ้นในเฉพาะในประเทศที่ พัฒนาที่สถาบันการเงินที่มั่นคงเท่านั้น
ปริมาณเงินตามความหมายแคบ หมายถึงข้อใดปริมาณเงิน (M1) คือ ปริมาณเงินตามความหมายแคบ หมายถึง ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในมือของประชาชน ประกอบด้วยธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ในมือของประชาชน และเงินฝากเผื่อเรียกของธุรกิจและครัวเรือนที่ระบบธนาคารพาณิชย์
ปริมาณเงินตามความหมายแศบประกอบด้วยอะไรบ้าง1. ปริมาณเงิน M1 หรือปริมาณเงินตามความหมายแคบ (Narrow Money) หมายถึง ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในมือประชาชน ประกอบด้วยธนบัตรและเหรียญ กษาปณ์ในมือประชาชนและเงินฝากเผื่อเรียกของประชาชนที่ระบบธนาคาร
การเปลี่ยนแปลงปริมาณเงินตามความหมายอย่างแคบ (M1) เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินประเภทใดM1 และ M2 เป็นปริมาณเงินตามความหมายแคบและกว้างในสมัยที่ระบบการเงินของประเทศมีเพียง ธนาคารพาณิชย์ท าหน้าเป็นสถาบันหลักที่เป็นตัวกลางทางการเงินในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งหมายความว่าการ จัดท าปริมาณเงินในยุคนี้นับเฉพาะธปท. และธนาคารพาณิชย์เท่านั้นที่เป็น money issuerในขณะที่ภาค เศรษฐกิจอื่นๆ (ยกเว้นรัฐบาลกลาง) จัดเป็น money ...
|