ปลั๊กพ่วง หรือ รางปลั๊กไฟ อุปกรณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้ เพราะช่วยให้เรามีแหล่งจ่ายไฟให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ทั้งกับการใช้งานที่บ้านหรือการพกพาเอาไปใช้ภายนอก ซึ่งในปัจจุบันปลั๊กพ่วงในตลาดนั้นมีออกมาขายหลากรุ่นหลายยี่ห้อ ราคาและคุณสมบัติก็แตกต่างกันออกไป โดยก่อนหน้านี้เราได้พูดถึง วิธีการดูปลั๊กพ่วง มอก.กันไปบ้างแล้ว
ส่วนในบทความนี้เราจะมาพูดถึงองค์ประกอบสำคัญอีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้อย่างอื่นนั่นก็คือตัวนำไฟฟ้าในปลั๊กพ่วง ว่ามีอะไรบ้างและแตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้คุณสามารถใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจเลือกซื้อปลั๊กพ่วงในครั้งต่อไป ตัวนำไฟฟ้า (Electrical Conductor) คือ วัตถุหรือวัสดุที่ยอมให้กระแสไฟฟ้าเคลื่อนผ่านไปได้ ยกตัวอย่างเช่น เงิน ทองแดง ทองเหลือง อลูมิเนียม สังกะสี นิกเกิล ตะกั่ว ฯลฯ เป็นต้น โดยจะถูกนำไปใช้ในการผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ อย่างสายไฟ ปลั๊กไฟ หรือเป็นส่วนประกอบในเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิดด้วยกัน สำหรับวัสดุที่นิยมนำมาใช้เป็นตัวนำไฟฟ้านั้นหลักๆ แล้วจะมีอยู่ 4 ชนิดด้วยกันคือ เงิน ทองแดง ทองเหลือง และอลูมิเนียม ซึ่งมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันดังนี้ เงิน เงิน (Silver)ถือได้ว่าเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีที่สุด แต่ใช่วัสดุที่นิยมนำมาเป็นตัวนำไฟฟ้าในปลั๊กพ่วง เนื่องจากเงินให้การกระจายของกระแสที่ไม่เท่ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการนำไฟฟ้าในกระแสความถี่สูง นอกจากนี้ยังมีราคาที่แพงกว่าทองแดงและทองเหลืองมากอีกด้วย ทองแดง ทองแดง (Copper) ถือเป็นตัวนำไฟฟ้าที่นิยมใช้มากที่สุดก็ว่าได้ เพราะเมื่อติดตั้งอย่างถูกวิธีจะให้ทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัย นำฟ้าได้ดี ความร้อนต่ำ มีความยืดหยุ่นสูงสามารถใช้พันหรือบัดกรีได้สะดวก นอกจากนี้ยังมีต้นทุนที่ไม่สูงมาก จึงนิยมนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตแผงวงจรของอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เป็นตัวนำไฟฟ้าในปลั๊กพ่วง มอเตอร์ หรือเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ทองเหลือง ทองเหลือง (Brass) คือวัสดุที่เป็นส่วนผสมของสังกะสีและทองแดง มีคุณสมบัติในการนำไฟฟ้าได้ดี จึงมักนำมาใช้เป็นตัวนำไฟฟ้าในปลั๊กพ่วงเช่นเดียวกัน ซึ่งคุณสมบัติของทองเหลืองนั้นก็จะแตกต่างกันออกไปตามส่วนผสมที่ใช้ โดยวัสดุชนิดนี้มีการค้นพบและใช้กันมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์เลยทีเดียว ปัจจุบันนำมาใช้ประโยชน์ได้มากมายทั้งการทำเครื่องประดับและใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ อลูมิเนียม อลูมิเนียม (Aluminium) เป็นวัสดุที่ถือได้ว่ามีความสามารถในการนำไฟฟ้าได้ดี เป็นวัสดุที่มีความคุ้มค่าสูง นิยมนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตหน้าสัมผัสของเบรกเกอร์ สายไฟทางไกล การจ่ายไฟฟ้าแรงสูง หรือใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ อาทิ การผลิตวัสดุตกแต่งบ้าน เพราะมีความทนทานสูง สีสันสวยงาม ไม่เป็นสนิมง่าย โดยมีหลายเกรดให้เลือกใช้งานกัน สำหรับวัสดุที่นิยมนำมาใช้เป็นตัวนำไฟฟ้าในปลั๊กพ่วงนั้นคือทองแดงและทองเหลืองครับเพราะมีความเหมาะสมทั้งในเรื่องของคุณสมบัติในการนำไฟฟ้า ความยืดหยุ่นในการใช้งาน ความแข็งแรงทนทาน รวมถึงต้นทุนในการผลิตที่ไม่สูงจนเกินไปแต่ให้คุณภาพเป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานการผลิตในระดับสากล ซึ่งหากเทียบค่าความต้านทานไฟฟ้าของวัสดุทั้งสองชนิดนี้แล้วจะพบว่า ทองแดงอยู่ที่ 1.68 × 10−8 Ω•mส่วนทองเหลืองอยู่ที่ 3.16 × 10−8 Ω•m (ต้านทานไฟฟ้าได้น้อยนำไฟฟ้าได้ดี) ข้อควรระวัง!! จะเห็นได้ว่าทองแดงนั้นคือวัสดุที่เหมาะสมมากที่สุดในการนำมาใช้เป็นตัวนำไฟฟ้าในปลั๊กพ่วง รองลงมาก็คือทองเหลืองนั่นเอง ซึ่งหากเป็นปลั๊กพ่วง มอก. ก็วางใจได้ว่าผ่านการตรวจสอบมาเป็นอย่างดี แต่หากเป็นปลั๊กพ่วงราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐานมักมีการย้อมแมวด้วยการนำเหล็กชุบสีมาใช้ทำตัวนำไฟฟ้า ซึ่งข้อเสียก็คือนอกจากนำความร้อนได้ไม่ดีแล้ว ยังอาจเป็นสาเหตุของการสะสมความร้อนในอุปกรณ์เมื่อใช้งานหนักเกินไป และปลั๊กราคาถูกมักใช้พลาสติกที่ไม่มีคุณภาพ หากเกิดไฟไหม้ขึ้นมาก็อาจเปลี่ยนตัวเองเป็นต้นเพลิงได้ ดังนั้นไม่ควรเห็นแก่ของถูกจนมองข้ามเรื่องความปลอดภัยนะครับ หวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกท่านเข้าใจเรื่องของตัวนำไฟฟ้าในปลั๊กพ่วงกันมากขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วหากเป็นปลีกที่ผ่านมาตรฐาน มอก. ก็จะไม่ค่อยมีปัญหาอะไร เพราะรายละเอียดเกี่ยวกับสเปคนั้นจะมีระบุเอาไว้ชัดเจนว่าใช้อะไรเป็นตัวนำไฟฟ้า และสำหรับท่านที่กำลังมองหาปลั๊กดีมีคุณภาพร้านเราคัดเฉพาะปลั๊ก มอก. มาขายลองดูว่ามีรุ่นไหน ยี่ห้อใดที่ถูกใจคุณบ้าง เรามีสินค้าพร้อมส่งในราคาที่เป็นธรรมให้คุณได้เลือกใช้กันตามต้องการครับ โลหะ มีการค้นพบในรูปของสารประกอบและสินแร่ ซึ่งจะมีการนำสินแร่หรือสารประกอบเหล่านี้มาถลุงเพื่อให้ได้โลหะแยกออกมาอีกที แต่ในขณะเดียวกัน โลหะเนื้อค่อนข้างบริสุทธิ์ที่ได้จากการถลุงนั้นก็ไม่สามารถนำไปใช้งานได้ทันที
เพราะมีเนื้ออ่อนไม่แข็งแรง และมีคุณสมบัติไม่เพียงพอกับการใช้งานจึงต้องมีการนำไปปรับปรุงคุณสมบัติก่อน เพื่อให้โลหะมีความแข็งแรงพอที่จะนำมาใช้งานได้ ซึ่งโลหะที่ปรับปรุงแล้วนั้นก็จะมีคุณสมบัติที่เหมาะกับการใช้งานมาก เมื่อต้องการนำโลหะมาใช้ประโยชน์ในด้านงานอุตสาหกรรม จะต้องมีคุณสมบัติอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้ สำหรับประเภทของวัสดุโลหะนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้ เป็นโลหะที่มีเหล็กเป็นฐาน โดยจะนิยมใช้กันมากในวงการอุตสาหกรรม ตัวอย่างวัสดุโลหะประเภทนี้ ก็คือ
เหล็กกล้า เหล็กเหนียวและเหล็กหล่อ เป็นต้น ที่สำคัญวัสดุประเภทนี้ ก็สามารถนำมาปรับปรุงคุณภาพ ให้มีความแข็งทนยิ่งขึ้นและสามารถเปลี่ยนแปลงรูปทรงได้หลายวิธีอีกด้วย โดยวิธีที่นิยมใช้เพื่อการเปลี่ยนแปลงรูปทรงส่วนใหญ่นั้น ก็คือการกลึง การหล่อและการอัดรีดขึ้นรูป เป็นต้น เป็นวัสดุโลหะที่ไม่มีเหล็กเป็นส่วนผสมเลย แถมโลหะบางชนิดก็มีราคาสูงกว่าเหล็กอีกด้วย ซึ่งโลหะประเภทนี้ก็ได้แก่ ดีบุก สังกะสี ทองแดง ทองคำ เงิน แมกนีเซียม ตะกั่ว เป็นต้น
โดยโลหะประเภทนี้ก็สามารถนำมาใช้ในงานอุตสาหกรรมบางประเภท อย่างเช่น ดีบุกกับงานที่ต้องการความทนต่อการกัดกร่อน ทองแดงกับงานไฟฟ้าและอลูมิเนียมกับงานที่ต้องใช้น้ำหนักเบาอีกด้วย ความเหนียวและความเปราะของโลหะความเหนียวและความเปราะของโลหะ จะมีความแตกต่างและตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งก็สังเกตได้จากการที่วัตถุนั้นๆ สามารถยืดออกจากกันได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งก็คือ หากวัสดุสามารถยืดออกจากกันได้มาก ก็แสดงว่ามีความเหนียว แต่หากวัสดุยืดออกจากกันได้แค่นิดเดียวก็ขาดออก นั่นหมายความว่าวัตถุนั้นๆ มีความเปราะมากกว่า สำหรับโลหะ ได้ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อให้มีความเหนียวแน่น เพื่อคุณสมบัติในการใช้งานที่คงทนและสามารถทนทานต่อการกระแทกได้ดี ทั้งยังสามารถซึมซับพลังงานก่อนจะเกิดความเสียหายได้มากกว่าวัสดุที่เปราะ จึงสรุปได้ว่าโลหะส่วนใหญ่จะมีความเหนียวมากกว่าความเปราะนั่นเอง แร่โลหะแร่โลหะ ก็คือแร่ที่มีธาตุโลหะเป็นส่วนประกอบหลักอยู่ ซึ่งจะนิยมนำแร่โลหะเหล่านี้มาถลุงเพื่อแยกเอาโลหะบริสุทธิ์ออกมา โดยแร่โลหะก็ถูกแบ่งได้เป็นหลายชนิดดังนี้
โลหะ เป็นแร่ธาตุที่นิยมนำมาใช้งานอย่างแพร่หลาย ทั้งมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในหลายๆ ด้าน จึงถูกนำมาใช้ในด้านอุตสาหกรรมมากที่สุด โดยเฉพาะคุณสมบัติในการนำไฟฟ้าและความเหนียวแน่น ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโลหะนั้น จะมีความคงทนและสามารถใช้งานได้อย่างคุ้มค่า ทั้งแร่โลหะก็มีอยู่มากมายหลายชนิดซึ่งก็ต้องลองศึกษากันไป ถึงประเภทและคุณสมบัติที่เหมาะกับการนำมาใช้งาน |