แต่ถ้าเราได้ทำการ Soft Reset แล้วยังไม่หาย ปัญหานี้อาจจะเป็นเพราะแบตเตอรี่วูบหมดไป ให้คุณลองชาร์จทิ้งไว้อีกประมาณ 10 นาทีขึ้นไป แล้วทำเหมือนเดิมอีกครั้ง ถ้ายังเปิดไม่ติดอีก ให้ลองเช็คที่pin บริเวณขั้วสายชาร์จ ว่ามีการบิดงอ หรือเบียดรึเปล่า หรือลองใช้สายชาร์จอื่นลองดู หรือไม่ก็เช็คดูรูชาร์จของเครื่อง ว่ามีฝุ่นหรือสิ่งสกปรกอะไรรึเปล่า แต่ถ้าคุณทำทั้งหมดแล้วไม่ติดอีก คงไม่ใช่ที่แบตหรืออะไรแล้ว งานนนี้คุณคงต้องส่งร้านซ่อมอย่างเดียวครับ ซึ่งคุณคงกังวลที่จะหาร้านซ่อมดีๆสักร้าน เพราะร้านที่ซ่อมไอโฟนดีๆ ราคาไม่แพง คงจะหายากพอสมควร Show เชื่อว่าคงมีผู้ใช้ iPhone จำนวนไม่น้อยที่เคยเจอปัญหา หลังจากรีบู๊ตเครื่องแล้วตัวเครื่องค้างที่โลโก้ Apple หรือเพิ่งลง iOS มาใหม่ ๆ แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ทำให้ไม่สามารถกดปุ่มหรือเข้าสู่เมนูอื่น ๆ ได้เลย ซึ่งถ้าหากใครเจอปัญหาแบบนี้ มาดูกันว่าจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง 1. Force Restart เครื่อง วิธีง่ายที่สุดที่จะแก้ปัญหาโลโก้ Apple ค้าง ก็คือ การ Force Restart ซึ่ง iPhone แต่ละรุ่นก็จะมีวิธีการ Force Restart ต่างกัน ดังนี้ iPhone รุ่นมี Face ID สำหรับ iPhone รุ่นที่มี Face ID ไม่ว่าจะเป็น iPhone X, iPhone Xs, iPhone Xr, iPhone 11, iPhone 12 และ iPhone 13 สามารถทำการ Force Restart ได้ด้วยการกดปุ่มเพิ่มระดับเสียงแล้วปล่อย กดปุ่มลดระดับเสียงแล้วปล่อย จากนั้นกดปุ่มด้านข้างค้างไว้จนกว่าโลโก้ Apple จะปรากฏค่อยปล่อยปุ่ม iPhone 8, iPhone SE รุ่นที่ 2 กดปุ่มเพิ่มระดับเสียงแล้วปล่อย กดปุ่มลดระดับเสียงแล้วปล่อย จากนั้นกดปุ่มด้านข้าง (ปุ่ม Power) ค้างไว้จนกว่าโลโก้ Apple จะปรากฏค่อยปล่อยปุ่ม iPhone 7 กดปุ่มเพิ่มระดับเสียงแล้วปล่อย กดปุ่มลดระดับเสียงแล้วปล่อย จากนั้นกดปุ่มด้านข้าง (ปุ่ม Power) ค้างไว้จนกว่าโลโก้ Apple จะปรากฏค่อยปล่อยปุ่ม iPhone 6s และ iPhone SE (รุ่นแรก) ให้กดปุ่ม Power และปุ่ม Home ค้างไว้พร้อมกันจนกว่าโลโก้ Apple จะปรากฏค่อยปล่อยทั้ง 2 ปุ่ม 2. ติดตั้งระบบ iOS ใหม่ ถ้าหากพยายาม Force Restart แล้ว iPhone ยังคงค้างอยู่หน้าโลโก้ Apple อยู่ ให้ลองใช้วิธีติดตั้งระบบ iOS ใหม่ เพราะมีความเป็นไปได้ที่ iPhone อาจจะค้างเพราะการติดตั้งไม่เสร็จสมบูรณ์ สำหรับวิธีการติดตั้งระบบ iOS ใหม่ ถ้าหากใช้ macOS Catalina หรือเวอร์ชันที่สูงกว่า ให้เปิด Finder ส่วน Windows และ macOS Mojave หรือเวอร์ชันที่ต่ำกว่า ให้เปิด iTunes จากนั้นให้ทำตามขั้นตอนที่ปรากฎจนกว่าจะเข้าสู่ขั้นตอน Recovery Mode และเมื่อเห็นตัวเลือก Update or Restore ให้เลือก Update ระบบจะทำการดาวน์โหลดและติดตั้ง iOS ใหม่อีกครั้ง โดยวิธีนี้จะไม่ลบข้อมูลที่มีอยู่ในเครื่อง 3. Factory Reset วิธีนี้จะมีขั้นตอนคล้ายกับวิธีข้างต้น ตรงตัวเลือก Update or Restore ให้เลือกเป็น Restore แทน แต่วิธีนี้จะลบข้อมูลที่มีในเครื่องทั้งหมด เหมาะสำหรับคนที่ backup ข้อมูลเป็นประจำเท่านั้น ไม่เหมาะกับผู้ใช้ไม่เคย backup ข้อมูลเลย เว้นแต่ว่า ลองทุกวิธีแล้วไม่ได้ผล ให้เลือกวิธีนี้เป็นวิธีสุดท้าย iPhone, iPad ที่ใช้งานอยู่เกิดปัญหาที่จู่ๆ ก็ใช้เครื่องได้ไม่ปกติ ไม่ต้องตกใจครับ วันนี้ผมจะมาแนะนำ 3 ขั้นตอน ในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานที่เกิดขึ้นกับ iPhone, iPad ของคุณ โดยที่บางอาการนั้นเราสามารถแก้เองได้โดยไม่ต้องง้อช่างเลยทีเดียว จะมีอะไรบ้างไปชมกันครับ 3 ขั้นตอน แก้ปัญหาพื้นๆ iPhone iPad ที่คุณต้องรู้ชมวิธีการแก้ปัญหาเบื้องต้นของ iPhone iPad แนะนำว่าให้ทำทีละขั้นตอนจาก 1 ไป 2 ไป 3 นะครับ 1. วิธีการบังคับให้รีสตาร์ท Force RestartApple ระบุเอาไว้ว่า คุณควรใช้วิธีบังคับให้รีสตาร์ท iPhone, iPad หรือ iPod touch เป็นทางเลือกสุดท้าย และทำเฉพาะกรณีที่อุปกรณ์ไม่ตอบสนองเท่านั้น เมื่อต้องการบังคับให้รีสตาร์ทอุปกรณ์ของคุณ ให้กดปุ่ม พักเครื่อง/ปลุก และปุ่มโฮมค้างไว้เป็นเวลาอย่างน้อย 10 วินาที จนกว่าคุณจะเห็นโลโก้ Apple หรือบางคนอาจจะเรียกว่าการ Hard Reset เป็นต้น การจะทำวิธีนี้ก็ต่อเมื่อเกิดปัญหาแปลกๆ กับตัวเครื่องเช่น อยู่ดีๆ เสียงที่ลำโพงไม่ออก, เครื่องไม่สั่น, GPS ไม่ตรงหรือตัวเครื่องไม่ตอบสนองกดอะไรไม่ได้ ฯลฯ ดังนั้น แนะนำให้ทำวิธีการนี้ก่อนนะครับ ทำได้โดย
การทำเช่นนี้พบว่าช่วยแก้ปัญหาพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์ได้ค่อนข้างเยอะครับ ของแถมสำหรับข้อ 1
2. รีเซตการตั้งค่าทั้งหมด (Reset All Setting)การรีเซตการตั้งค่าทั้งหมดของเครื่อง คือ การทำให้การตั้งค่าทุกอย่างในเครื่องกลับมาเป็นเหมือนออกมาจากโรงงาน (ข้อมูลไม่หาย) เช่น หลังทำการรีเซตการตั้งค่าทั้งหมดแล้วเสียงเรียกเข้าที่เคยตั้งไว้ จะกลับมาเป็นแบบโรงงาน, WiFi ที่เคยต่อไว้ จะไม่ถูกจำ ต้องเชื่อมต่อใหม่อีกครั้ง, รหัสผ่านที่เคยตั้งไว้ก็จะหายไปเช่นกัน ฯลฯ การทำเช่นนี้เพื่อจะคืนค่าพื้นฐานโรงงานให้กับ iPhone, iPad ก่อน จะได้รู้ว่าปัญหาที่เกิดกับ iPhone อยู่นั้นสาเหตุมาจากการตั้งค่าที่ผิดพลาดหรือเปล่า วิธีการ
3. ล้างเครื่อง (Restore)การล้างเครื่อง คือ การลบข้อมูลในหน่วยความจำและติตตั้งระบบปฏิบัติการ (OS) เข้าไปใหม่ ฝั่ง iOS จะเรียกกว่าการ Restore iOS ฝั่ง Android จะเรียกว่า Factory reset ผลที่ได้คือ iPhone เครื่องดังกล่าวนั้นจะติดตั้ง iOS ใหม่เพียวๆ เหมือนแกะกล่องมาในตอนซื้อเลย ใหม่หมดจด มีแค่แอปที่ทาง Apple กำหนดไว้เท่านั้นที่ติดตั้งมาพร้อมและแอปเหล่านี้คุณก็ลบออกจากเครื่องไม่ได้ด้วย แน่นอนว่าข้อมูลทุกอย่างถูกลบออกจาก iPhone ดังนั้นคุณต้องสำรองข้อมูลเอาไว้เสียก่อน วิธีการล้างเครื่องผมแนะนำเอาไว้ 3 แบบครับได้แก่
ทำความเข้าใจในแต่ละวิธีการได้เลยนะครับ แต่ใครไม่ยากเสียเวลาก็แนะนำว่าให้ทำตามวิธีที่ 3 ได้เลย จะได้รู้กันไปเลยว่าเสียที่ตัวซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์กันแน่ สรุปขั้นตอนทั้ง 3 ที่แนะนำนั้น ทำเพื่อตัดปัญหาซอฟต์แวร์ออกจากฮาร์ดแวร์ครับ ถ้าทำ 3 ขั้นตอนแล้วหาย ก็แสดงว่า “ตัวเครื่องไม่เสีย” แต่หากปัญหาเดิมยังอยู่ก็แสดงว่าเครื่องเสียแล้วครับ แนะนำให้ติดต่อ AASP เพื่อปรึกษาเรื่องการเคลมได้เลยครับ โดยประสบการ์แล้ว
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ผู้อ่านทุกคนแก้ปัญหาพื้นฐานของ iPhone, iPad และ iPod touch ได้ด้วยตัวเองนะครับ ก่อนที่จะปรึกษาร้านหรือ AASP ครับ บทความนี้เขียนจากประสบการณ์ตรงจากทีมงาน iPhoneMod อย่าลืมให้กำลังใจด้วยการกด Like & Share บทความนี้ให้พวกเราด้วยนะครับ |