ที่ตรวจครรภ์ขึ้นกี่ขีดถึงจะท้อง

ประจำเดือนไม่มา...ฉันจะท้องไหมนะ? เพื่อหาคำตอบนี้ ผู้หญิงหลายคนจึงเลือกใช้ “ที่ตรวจครรภ์” ซึ่งบางคนอาจถูกใจกับผลการตรวจที่อ่านค่าได้ ในขณะเดียวกัน ก็อาจมีบางคนที่รู้สึกไม่พอใจกับผลการตรวจเท่าไหร่นัก อ๊ะ! แต่ก่อนที่จะหวั่นวิตกกับผลบวกผลลบไปมากกว่านี้ มาทำความเข้าใจให้ดีว่า… ผลจากที่ตรวจครรภ์เชื่อมั่นได้ 100% หรือเปล่า?

อาการแบบไหน? มีโอกาสลุ้นว่า “ท้อง”

  • ประจำเดือนขาด คือ การที่ประจำเดือนไม่มาติดต่อกัน 3 รอบเดือน
  • คลื่นไส้ อาเจียน เนื่องจากมีความรู้สึกไวต่อกลิ่นต่างๆ โดยเฉพาะกลิ่นของอาหาร
  • ท้องอืด ท้องเฟ้อ เพราะการตั้งครรภ์ในช่วงแรกๆ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจะส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย คล้ายกับช่วงก่อนมีประจำเดือน
  • เจ็บหน้าอก ฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ ส่งผลให้ขนาดหน้าอกใหญ่ขึ้นคล้ายกับช่วงมีประจำเดือน
  • ปัสสาวะบ่อย เพราะฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงส่งผลให้เลือดไหลผ่านไปยังไตมากขึ้น กระเพาะปัสสาวะจึงรับน้ำมากขึ้นด้วย
  • อารมณ์แปรปรวนง่าย เป็นลักษณะอาการที่พบบ่อยในคุณแม่ตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ดีใจ เสียใจ หดหู่ หรือกังวล ซึ่งเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
  • เหนื่อยง่าย เพลีย อยากนอนมากขึ้น อาการเหล่านี้มักเกิดจากระดับฮอรโมนโพรเจสเทอโรนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากฮอร์โมนนี้มีส่วนช่วยให้หลับสบายนั่นเอง

ก่อนเช็คว่าท้องไหม? ต้องอ่านผลที่ตรวจครรภ์ให้เป็นนะ

สำหรับคำแนะนำในการอ่านผลของที่ตรวจครรภ์นั้น ควรอ่านหลังจากหยดปัสสาวะทิ้งไว้แล้วประมาณ 5 นาที โดยขีดในแถบวัดจะมีอยู่ 2 ขีด คือ ขีดแรก หรือ C (Control Line) และขีดที่สอง หรือ T (Test Line) ซึ่งผลของการตรวจด้วยที่ตรวจครรภ์นั้น จะสามารถแสดงผลออกมา 2 แบบ คือ...

  • แบบที่ 1 คือ มีขีดขึ้นมา 1 ขีดตรงที่ C แปลว่า...น่าจะไม่ท้อง
  • แบบที่ 2 คือ มีขีดขึ้นมา 2 ขีดตรงทั้ง C และ T แปลว่า...ตั้งท้อง

มีโอกาสแค่ไหน? ที่ผลตรวจจะคลาดเคลื่อนจากความจริง

ไม่ว่าผลที่อ่านได้จากที่ตรวจครรภ์จะบอกว่าท้องหรือไม่ ความเป็นจริงแล้ว...ผลก็อาจคลาดเคลื่อนได้! เช่น กำลังตั้งท้อง...แต่ผลตรวจขึ้นเพียง 1 ขีด ซึ่งอาจเกิดจากปัสสาวะมีความเจือจางหรือตรวจในช่วงเวลาที่เร็วเกินไป ในขณะเดียวกัน ค่าผลตรวจขึ้น 2 ขีด แต่ความเป็นจริงแล้วกลับไม่ท้อง… กรณีนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากปัจจัยเหล่านี้

    • * ช่วงเวลาในการตรวจเร็วเกินไป

ปริมาณฮอร์โมน HCG ในปัสสาวะ คือสิ่งที่บ่งชี้ได้ว่ากำลังตั้งท้องหรือไม่? ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้จะเกิดขึ้นหลังปฏิสนธิไปแล้ว 6 วัน ดังนั้น หากตรวจเบื้องต้นแล้วผลเป็นลบหรือไม่ตั้งท้อง ควรรอเวลาอีกสักพักค่อยตรวจซ้ำ หรือตรวจในช่วงที่ประจำเดือนขาดไปแล้ว 10-14 วัน

    • * ความเข้มข้นของปัสสาวะ

หากปัสสาวะมีความเจือจางมาก ก็เท่ากับว่าความเข้มข้นของฮอร์โมนในปัสสาวะลดลง ทำให้ที่ตรวจครรภ์ไม่สามารถตรวจหาค่าของฮอร์โมน HCG ได้ ผลของการตรวจจึงเกิดความคลาดเคลื่อน

    • * ประสิทธิภาพของชุดทดสอบ

แน่นอนว่าชุดทดสอบการตั้งครรภ์แต่ละยี่ห้อมีการตรวจหาค่าความไวต่อฮอร์โมน HCG ที่ต่างกัน ดังนั้น หากเป็นยี่ห้อที่ตรวจจับค่าฮอร์โมนได้น้อย ก็อาจทำให้ได้ผลเป็นลบหรือไม่ตั้งครรภ์ได้ รวมไปถึงการเสื่อมคุณภาพของชุดทดสอบ ซึ่งอาจเกิดจากการหมดอายุของอุปกรณ์ หรือการจัดเก็บในที่ที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าผลที่อ่านค่าได้จากที่ตรวจครรภ์จะบอกว่าตั้งครรภ์หรือไม่ การเข้ารับการตรวจซ้ำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ยังมีความสำคัญ เพราะหากตั้งครรภ์จริง การฝากครรภ์ตั้งแต่รู้ว่าตั้งท้องจะส่งผลดีต่อทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์

ตรวจครรภ์ 1 ขีด ท้องไหม ? เป็นคำถามที่อาจให้คำตอบได้ไม่แน่นอน โดยปกติแล้วผลลัพธ์การตรวจครรภ์ที่ขึ้นขีดเดียว มักมีความหมายว่าไม่ตั้งครรภ์ แต่ทั้งนี้ ก็อาจขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ เช่น ประสิทธิภาพของอุปกรณ์ทดสอบการตั้งครรภ์ เวลาที่ทำการตรวจครรภ์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลการตรวจครรภ์ได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แน่ชัด อาจตรวจครรภ์ซ้ำอีกครั้ง หรือเข้ารับการตรวจครรภ์ทดสอบจากคุณหมอ เมื่อสังเกตว่ามีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ประจำเดือนขาดนานกว่า 2 เดือน

[embed-health-tool-”ovulation”]

วิธีตรวจสอบการตั้งครรภ์

สำหรับการทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยตัวเองจากตัวอย่างปัสสาวะ ควรเก็บตัวอย่างปัสสาวะแรกในช่วงเช้า เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ปัสสาวะมีความเข้มข้นของฮอร์โมนการตั้งครรภ์สูง (HCG) ทำให้ผลลัพธ์การตรวจครรภ์อาจแม่นยำมากขึ้น

ชุดตรวจครรภ์ส่วนใหญ่มี 2 รูปแบบ ดังนี้

ชุดทดสอบตั้งครรภ์แบบหยด

ภายในกล่องจะประกอบด้วยตลับทดสอบการตั้งครรภ์ ถ้วยเก็บตัวอย่างปัสสาวะ หลอดหยดสำหรับดูดน้ำปัสสาวะ

วิธีใช้

  • ปัสสาวะลงในถ้วยเก็บตัวอย่างปัสสาวะ
  • นำหลอดดูดน้ำปัสสาวะหยดลงบนตลับการทดสอบที่มีตัวอักษร S ประมาณ 3 หยดสูงสุดไม่เกิน 6 หยด เพื่อเพิ่มความไวให้ตลับทดสอบอ่านค่าปัสสาวะ
  • วางทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที หรือตามคำแนะนำที่ระบุข้างผลิตภัณฑ์ เพื่อรอผลทดสอบ

ชุดทดสอบการตั้งครรภ์แบบจุ่ม

ในกล่องอาจมีกระดาษ หรือเป็นเครื่องพลาสติกที่มีส่วนปลายไว้จุ่มปัสสาวะ และถ้วยเก็บตัวอย่างปัสสาวะ

วิธีใช้

  • ปัสสาวะลงในถ้วยเก็บตัวอย่างปัสสาวะ
  • ถอดฝาอุปกรณ์ทดสอบการตั้งครรภ์ แล้วนำส่วนปลายของอุปกรณ์หรือกระดาษทดสอบจุ่มลงในปัสสาวะไม่เกินขีดที่กำหนด ประมาณ 7-10 วินาที
  • ปิดฝาอุปกรณ์หรือวางกระดาษในบนพื้นที่ที่สะอาด และรอ 5 นาที เพื่อรอผลทดสอบ

นอกจากจะทำการทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยตัวเองแล้ว หากกังวลใจหรือกลัวผลทดสอบคลาดเคลื่อน อาจตรวจซ้ำอีกครั้ง หรือเข้ารับการตรวจครรภ์จากคุณหมอโดยตรง

การตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาล มักใช้วิธีดังต่อไปนี้

  • ตรวจเลือด คุณหมออาจขอเก็บตัวอย่างเลือด ใส่ในหลอดทดลองแล้วทิ้งไว้ 10 นาที เพื่อให้เลือดแบ่งชั้นจับตัวเป็นก้อน ก่อนจะดูดซีรั่มส่วนที่เป็นน้ำอยู่ชั้นบนสุดออก หยดลงบนอุปกรณ์ทดสอบเหมือนตลับตรวจปัสสาวะประมาณ 4 หยด และรออ่านผล การทดสอบด้วยเลือดเพื่อหาฮอร์โมนการตั้งครรภ์ (HCG) ว่ากำลังตั้งท้องอยู่หรือไม่ รวมถึงวัดระดับฮอร์โมนการตั้งครรภ์ตรวจหาภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น ท้องนอกมดลูก แท้งบุตร
  • ตรวจปัสสาวะ คุณหมออาจใช้วิธีเดียวกันกับการตรวจครรภ์ด้วยตัวเอง โดยเก็บตัวอย่างปัสสาวะก่อนจะนำแท่งทดสอบจุ่มลงไปเพื่ออ่านค่าฮอร์โมนการตั้งครรภ์

ตรวจครรภ์ 1 ขีด ท้องไหม ?

ชุดทดสอบการตั้งครรภ์จะมีตัวอักษรที่แสดงถึงผลลัพธ์การตรวจ คือ ตัว C (Control line) และ T (Test line) หลังจากการตรวจครรภ์สามารถอ่านความหมายที่ระบุไว้ในชุดทดสอบได้ดังนี้

  • ตั้งครรภ์ หากปรากฏเส้นสีแดงตรงกับตัวอักษร C และ T หรือขึ้น 2 ขีดอย่างชัดเจน อาจหมายความว่ากำลังตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม หากขีดที่ตรงกับตัว T มีเส้นสีเจือจาง อาจจำเป็นต้องทำการตรวจสอบใหม่โดยใช้ปัสสาวะแรกของเช้าวันต่อไป ควรซื้อชุดทดสอบอย่างน้อย 2-3 ชุดเพื่อนำผลลัพธ์มาเปรียบเทียบ
  • ไม่ตั้งครรภ์ หากมีเส้นสีแดงขึ้นตรงกับตัวอักษร C เพียง 1 ขีด มีความหมายว่าไม่ตั้งครรภ์ หรือระดับฮอร์โมนการตั้งครรภ์ต่ำ

อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีผู้ทำการทดสอบอาจตั้งครรภ์ได้แม้ว่าผลตรวจครรภ์จะขึ้น 1 ขีดก็ตาม เนื่องจากสาเหตุบางอย่างที่อาจทำให้ผลตรวจครรภ์คลาดเคลื่อน ได้แก่

  • คำนวณวันตรวจครรภ์ผิด โดยปกติควรเริ่มตรวจหลังจากมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 21 วัน
  • ชุดทดสอบการตั้งครรภ์หมดอายุ หรือไม่ได้มาตรฐาน
  • เก็บชุดทดสอบการตั้งครรภ์ผิดวิธี
  • ดื่มน้ำมากเกินไปก่อนการตรวจครรภ์ ทำให้ปัสสาวะเจือจาง
  • ผลข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาแก้แพ้ ยากันชัก ยากล่อมประสาท

สัญญาณเตือนการตั้งครรภ์

สัญญาณเตือนของการตั้งครรภ์ อาจสังเกตจากอาการต่าง ๆ ดังนี้

  • ประจำเดือนขาด หากประจำเดือนขาดนานกว่า 2 เดือน หรือมีเลือดออกจากช่องคลอดกะปริบกะปรอย อาจมาจากการฝังตัวของไข่ในมดลูกที่อาจส่งผลให้ตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม อาการประจำเดือนขาดอาจไม่ใช่สาเหตุของการตั้งครรภ์เสมอไป ความเครียด การเจ็บป่วย ผู้ที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ก็อาจทำให้ประจำเดือนขาดเป็นเวลานานได้เช่นกัน
  • อารมณ์แปรปรวน ฮอร์โมนการตั้งครรภ์ที่เพิ่มขึ้นสูง อาจส่งผลให้อารมณ์เปลี่ยนแปลงอ่อนไหวง่าย เช่น จากร้องไห้อีกไม่กี่นาทีเปลี่ยนเป็นหัวเราะ ฟังเรื่องเศร้าเพียงเล็กน้อยทำให้น้ำตาซึมหรือร้องไห้

  • แพ้ท้อง เป็นอาการที่พบได้บ่อยหลังจากตั้งครรภ์ได้ 1 เดือน จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนการตั้งครรภ์ ส่งผลให้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน ทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน โดยเฉพาะช่วงที่ท้องว่าง บางคนอาจรู้สึกเหม็นอาหารทั้งที่เคยชอบมาก่อน หรืออยากรับประทานอาหารแปลก ๆ
  • เต้านมคัด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ที่เพิ่มขึ้นช่วงการตั้งครรภ์ เพื่อเตรียมผลิตน้ำนมให้ทารก อาจส่งผลให้ คัดเต้า เต้านมตึง เจ็บหัวนมเมื่อถูกเสียดสีหรือสัมผัส
  • อ่อนเพลีย การตั้งครรภ์ระยะแรกอาจทำให้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) เพิ่มขึ้นสูง ส่งผลให้ง่วงนอน อ่อนเพลีย เหนื่อยล้าง่าย โดยเฉพาะหลังจากทำงาน ออกกำลังกาย
  • ท้องผูกผิดปกติ การตั้งครรภ์อาจมีส่วนทำให้เกิดการบีบตัวของลำไส้ มดลูกขยายทับลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้อาหารย่อยยาก เสี่ยงท้องผูกบ่อย
  • ปัสสาวะบ่อย เนื่องจากมดลูกที่ขยายตัวอาจกดทับกระเพาะปัสสาวะทำให้เกิดการบีบตัว และปวดปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืน
  • ตกขาว อาการตกขาวเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในช่วงการตั้งครรภ์เพื่อช่วยขจัดแบคทีเรีย สิ่งสกปรกออกจากช่องคลอด แต่หากสังเกตว่าตกขาวมีกลิ่นและคันช่องคลอดร่วมด้วย ควรปรึกษาคุณหมอในทันที เพราะอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อในช่องคลอดได้

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด