หน้าแรก ประจำเดือนหมดไปแล้ว1 อาทิตย์แล้วมีมาอีก Kitiya ถามเมื่อ 6 ปี ที่แล้ว สวัสดีค่ะ คุณหมอหนูขอปรึกษาหน่อยค่ะ คือว่าหนูเป็น ปจด แล้วหมดไป ประมานวันที่ 29 เดือนที่ผ่านมา แล้วเมื่อวันที่8 มี ปจด มาแบบกระปิบกระปอยและจะมีอาการปวดท้อง ปจด ปวดหลังเมื่อยหลังเหมือนทุกครั้งที่เป็น ปจด วันนี้ก้ยังมีอยู่ คืนหนูทานยาคลุม แบบ 28 เม็ด มาหลายปีแล้วไม่เคยเป็นแบบนี้ ทุกครั้งจะมาตรงตลอดแค่เดือนละครั้ง 3-5วัน ไม่เคยมีแบบนี้ แล้วช่วงนี้ หนูกำลังลด น้ำหนัก ทานยาลดน้ำหนักด้วย แล้วก้ ทานดีท็อค ที่เป็นแบบนี้ อาจเป็นเพราะยาลดน้ำหนักหรือเปล่าค่ะแต่หนูเคยทานยาลดน้ำหนักตัวนี้มาก่อนมันก้ไม่เป็นแบบนี้ แต่หนูพึ่ง เคยลองทานดีท็อคค่ะทานเมื่อวัน4วันแรก แล้วถึงเป็นแต่ตอนนี้ไม่ได้ทานเเล้ว แล้ววันเสาร์ ที่ ผ่านมา มีตกขาวค่ะ แล้ววันอาทิตย์มีอะไรกับสามี พอมาเมื่อวันที่8 ก้รู้สึกว่าเหมือนมีคราบประจำเดือนไหลออกมาตอนเช้าออกมาเป็นสีน้ำตาล เหมือนประจำเดือนตกค้าง พอสายก้ออกมาเป็นเหมือน ปจดเลย คือ กระปิบกระปรอย แต่ไม่เยอะค่ะ มาแบบกระปิบกระปรอย สีปกติ ไม่มีกลิ่น ไม่มีอาการคัน ไม่มีอาการฉี่แล้วแสบขัด คือแบบนี้จะเป็นอะไรไหมค้ะ คือ ตอนนี้กังวลมากค่ะ ไม่เคยเป็นแบบนี้ ช่วงนี้รู้สึกมีอาการนอยๆเครียดๆหงุดหงิดบ้าง ไม่เคยเปลี่ยนคู่นอนอยู่ด้วยกันมา 8 ปีแล้ว ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยค่ะ ยังไม่มีลูกนะค่ะ คือตอนนี้กังวลมาก 1 Answers อาการเลือดออกกระปริบกระปรอยเป็นผลข้างเคียงของยาคุม แต่ที่แปลกคือคุณกินมานานแล้วแต่เพิ่งจะมีอาการ เป็นไปได้ว่าเกิดจากภาวะยาตีกันที่คุณเล่ามา อันนี้ก็ไม่ชัดเจนนะคะ แนะนำว่าไปหาเภสัชกรที่ร้านขายยาแล้วบอกรายละเอียดยาที่กินทุกอย่าง ถามดูว่ากินด้วยกันได้ไหม มีผลต่อยาคุมหรือไม่ แล้วควรต้องเปลี่ยนยี่ห้อยาคุมรึเปล่า ระหว่างนี้ถ้าไม่แน่ใจ แนะนำสวมถุงยางค่ะ ภาวะเลือดออกผิดปกติในสตรีวัยหมดประจำเดือนหรือวัยทอง (Postmenopausal bleeding) วัยหมดประจำเดือน หรือวัยทอง คือช่วงอายุที่รังไข่หยุดสร้างฮอร์โมนเพศหญิง ทำให้มีการขาดหายไปของประจำเดือน วินิจฉัยได้จาก อาการขาดประจำเดือนติดต่อกัน 1 ปี หรือตรวจเลือดวัดระดับฮอร์โมนที่บ่งบอกการเข้าสู่ภาวะหมดประจำเดือนที่สำคัญ ได้แก่ ระดับ FSH ที่สูงขึ้น และเอสโตรเจนชนิด estradiol (E2) ที่ลดลง วัยหมดประจำเดือนเกิดขึ้นได้ระหว่างอายุ 45-55 ปี เฉลี่ยที่ 51 ปี ดังนั้นสตรีที่มีเลือดออกผิดปกติหลังวัยหมดประจำเดือนจึงควรรีบมาตรวจเพื่อหาสาเหตุ และได้รับการดูแลรักษา อุบัติการณ์ภาวะเลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือนพบได้ประมาณ 4-11 % สาเหตุภาวะเลือดออกผิดปกติในสตรีวัยหมดประจำเดือนหรือวัยทอง
การวินิจฉัยภาวะเลือดออกผิดปกติในสตรีวัยหมดประจำเดือนหรือวัยทอง เป้าหมายหลักการรักษาคือ ต้องหาสาเหตุเพื่อแยกโรคมะเร็งออก โดยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ส่งตรวจอัลตร้าซาวด์และเก็บชิ้นเนื้อโพรงมดลูกส่งตรวจ สตรีที่มีความเสี่ยงมะเร็งโพรงมดลูก เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น โดยพบความชุกของมะเร็งโพรงมดลูก 1.4 % ในสตรี อายุ 50-70 ปี, ได้รับยาฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างเดียว (กรณีมีมดลูก), ได้รับยาทาม็อกซิเฟน (Tamoxifen) , ประจำเดือนหมดช้าหลังอายุ 55 ปี (late menopause 55), ไม่เคยมีบุตร (nulliparity), ภาวะถุงน้ำรังไข่ (PCOS), ภาวะอ้วน (obesity), โรคเบาหวาน (DM), โรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น Lynch syndrome, Cowden syndrome เป็นต้น ตัวอย่างวิธีการเก็บชิ้นเนื้อในโพรงมดลูก
การรักษาภาวะเลือดออกผิดปกติในสตรีวัยหมดประจำเดือนหรือวัยทองขึ้นกับสาเหตุ ภาวะเลือดออกในหญิงวัยหมดระดู วัตถุประสงค์หลัก คือ สามารถแยกภาวะมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกก่อนการเป็นมะเร็งออกไปให้ได้
ทุกช่วงวัยไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่น วัยเจริญพันธุ์และวัยหมดประจำเดือนมีโอกาสที่จะพบเลือดออกผิดปกติได้ เมื่อมีภาวะดังกล่าวควรมาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษา โดยเฉพาะสตรีหลังวัยหมดประจำเดือนต้องหาสาเหตุแยกโรคมะเร็งออกให้ได้ การขาดหายไปของประจำเดือน วินิจฉัยได้จากอาการขาดประจำเดือนติดต่อกัน 1 ปี หรือตรวจเลือดวัดระดับฮอร์โมน การเข้าสู่ภาวะหมดประจำเดือนที่สำคัญ สามารถเกิดขึ้นได้ระหว่างอายุ 45-55 ปี สตรีที่มีเลือดออกผิดปกติหลังวัยหมดประจำเดือนหรือวัยทอง ควรรีบมาตรวจเพื่อหาสาเหตุ และได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี นัดพบแพทย์คลิก พญ.ศรีสุภา เลาห์ภากรณ์ สูติ - นรีเวช ผู้เชี่ยวชาญมะเร็งวิทยานรีเวช และการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช แก้ไข 29/03/2565 |