-เนื้อพลาสติก PP มีจุดหลอมตัวที่ 165C สามารถทนต่อความร้อนได้สูง จึงสามารถทนต่อการ ฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิ 100C ได้ มีความทนทานต่อสารเคมี ซึ่งรวมถึงน้ำมันชนิดต่างๆ ด้วย Show
-มีน้ำหนักเบา สามารถลอยน้ำได้
หรือไลน์ไอดี Line ID:@wallerchem เป็นพลาสติกที่เรานิยมใช้มากที่สุด เนื่องจากคุณสมบัติของพลาสติกประเภทนี้ มีจุดหลอมเหลวที่ต่ำ จึงทำให้ต้นทุนที่ใช้ในการผลิตนั้นถูกลงไปด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับพลาสติกประเภทอื่นๆแล้ว จึงทำให้พลาสติกประเภท PE นั้นมีราคาที่ถูกที่สุด จึงเป็นที่นิยมมากที่สุดเช่นกัน พลาสติก PE ยังสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่
ส่วนประเภทที่เรานำมาใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์คือ HDPE หรือ โพลีเอทิลินชนิดความหนาแน่สูง (High Density Polyethylene) นั่นเอง นิยมนำมาใช้ทำเป็น ขวดแชมพู หรือขวดน้ำยาต่างๆ เพราะมีความทนทานต่อสารเคมี ตัวทำลาย ความเป็นกรดและด่างได้ดี แต่ทนความร้อนได้ต่ำเมื่อเทียบกับพลาสติกประเภทอื่น (ทนอุณหภูมิได้ที่ -50 ถึง 80 องศาเซลเซียส) มีความแข็งแรง คงรูปได้ดี มีความเหนียวยื่นยุ่น สีขุ่น และโปร่งแสง
พลาสติกประเภท PP หรือ โพลีโพพีลิน (Polypropylene)คุณสมบัติของพลาสติกประเภท PP นั้นค่อนข้างใกล้เคียงกับพลาสติกประเภท PE แต่มีความสามารถในการทนความร้อนได้สูงกว่า (ทนอุณหภูมิได้ถึง 120 องศาเซลเซียส) เนื้อใสกว่า และมีราคาสูงกว่าเล็กน้อย ต่อมาเป็นพลาสติกประเภท PA โพลีแอไมค์ (Polyamide) หรืออีกชื่อที่เราคุ้นหูมากกว่าก็คือ ไนลอน (Nylon)พลาสติกประเภทนี้สามารถแบ่งย่อยไปได้อีกหลายชนิด แต่ที่เรานำมาใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์ คือ Nylon6 มีคุณสมบัติเด่นคือ มีความเหนียวสูง เนื้อนิ่ม ทนต่อสารเคมี ตัวทำละลาย ความกรดและด่างได้ แต่ไม่สูงเท่า PE หรือ PP เราจึงนำมาใช้ผลิตจำพวก ขวดยาหยอดตา สุดท้ายพลาสติกประเภท PET โพลีเอทิลีน เทเรฟทาเลต (Polyethylene terephthalate)
เป็นพลาสติกที่มีคุณสมบัติเด่นในด้านความใส มีความเหนียวสูง และป้องกันการซึมผ่านของไอน้ำ ก๊าซ และไขมันได้ดี เรามักพบเห็นพลาสติกประเภทนี้ได้เสมอในรูปแบบของขวดน้ำดื่ม
และด้วยความใส ที่เป็นลักษณะเด่นของพลาสติกประเภทนี้ เราจึงนำมาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง สวยงามได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ขวดหัวปั๊ม ขวดสเปรย์ หรือกระปุกครีม แต่จะมีราคาสูงกว่าพลาสติกประเภทอื่นอยู่พอสมควร เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ กับสาระความรู้ ที่เรานำเสนอในวันนี้ เกี่ยวกับความแตกต่างของพลาสติกแต่ละประเภทหวังว่าจะเป็นประโยชน์ ให้กับทุกคนไม่มากก็น้อย นะคะ พลาสติก pp กับ pe ต่างกันอย่างไร วันนี้เรามีคำตอบให้คุณ – พลาสติกทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นเทอร์โมพลาสติกที่นิยมใช้ในหลายๆ อุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น เนื่องจากว้ามันเป็นพลาสติกคนละชนิด มันก็ย่อมมีข้อดี และข้อเสียที่ต่างกัน วันนี้เราจึงมาเปรียบเทียบกันให้ดูชัดๆ ความแตกต่างระหว่างพลาสติก PP และ PEอุณหภูมิสูง : พลาสติก PP จะทนต่ออุณหภูมิสูงได้ดีกว่า PE ค่อนข้างมาก โดยที่ PP นั้นสามารถทนต่อความร้อนได้สูงถึง 140ºC และ 170ºC ในขณะที่ PE สามารถทนต่อความร้อนได้สูงที่สุดแค่ประมาณ 105ºC เท่านั้นเอง อุณหภูมิต่ำ : PE สามารถที่จะจะทนต่ออุณหภูมิต่ำได้ดีกว่า โดยสามารถทนต่ออุณหภูมิต่ำๆได้สูงสุดถึง -80ºC ในขณะที่ PP นั้น เมื่อเจอกับอุณภูมิที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็งเล็กน้อย ก็จะเริ่มเปราะแล้ว ลองสังเกตุเวลาคุณนำถุง PP ไปแช่ช่องฟรีช ตัวถุงจะเปราะแตกได้ง่ายมาก ความสามารถในการทนต่อสารเคมี: แม้ว่า PE จะได้เปรียบเรื่องความทนทาน แข็งแรงมากกว่า แต่ PP นั้นทนทานต่อสารเคมีต่างๆ ได้ดีกว่าพลาสติก PE พลาสติก PP เป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบากว่า PE ค่อนข้างมาก เกี่ยวกับสี สีตั้งต้นของ PP จะเป็นสีขาว และโปร่งแสง ในขณะที่ PE นั้นจะมีความใสที่มากกว่า แต่ว่าพวกมันก็ต้องถูกนำไปผ่านกระบวนการอัดรีดทางอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณสมบัติของมัน เช่น เพิ่มความโปร่งใส และความเหนียว เป็นต้น พลาสติก pp กับ pe ต่างกันอย่างไรด้านความยืดหยุ่น? PE เป็นพลาสติกที่มีความยืดหยุ่นสูง ยืดได้ง่าย ทำให้เป็นวัสดุที่เหมาะสำหรับการทำเป็นบรรจุภัณฑ์อาหาร และฟิลม์ห่ออาหารมากกว่า ส่วน PP นั้นมีความยืดหยุ่นน้อยกว่า PE ค่อนข้างมาก 4. ความสามารถในการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์อาหารที่ทำจากโพลีโพรพีลีนและโพลิเอทิลีนนั้นง่ายต่อการรีไซเคิล เนื่องจากวัสดุทั้งสองเป็นเทอร์โมพลาสติก ซึ่งก็คือพลาสติกที่สามารถนำไปหลอมละลาย และนำมาทำเป็นวัสดุใหม่ซ้ำๆได้ ดังนั้นถ้าคุณมีเศษถุงที่ใช้งานแล้ว คุณสามารถขายต่อให้โรงงานรับรีไซเคิล บรรจุภัณฑ์ที่เข้าไมโครเวฟได้ : เนื่องจากพลาสติก PP สามารถทนต่ออุณหภูมิสูงๆได้ จึงเหมาะสำหรับการนำมาทำเป็นบรรจุภัณฑ์ที่เข้าไมโครเวฟได้ บรรจุภัณฑ์ PP เป็นวัสดุสามารถนำไปผ่านกระบวนการที่ใช้ความร้อนได้ เช่น การฆ่าเชื้อและการพาสเจอร์ไรส์ อย่างไรก็ตาม PE สามารถทนต่อการพาสเจอร์ไรส์เท่านั้น จะเห็นได้ว่า พลาสติกทั้งสองชนิดต่างก็มีข้อดี และข้อเสียที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะใช้มันทำอะไร จบกันไปแล้วสำหรับบทความ “พลาสติก pp กับ pe ต่างกันอย่างไร” แล้วพบกันใหม่ |