อนุสัญญาไซเตส วัตถุประสงค์

ผีเสื้อหางติ่งบราซิล เป็นแมลงคุ้มครองในบัญชีที่ 1 แห่งอนุสัญญา CITES “ห้ามค้าโดยเด็ดขาด” แล้วไซเตสรวมถึงบัญชีหมายเลข 1 คืออะไร กำหนดไว้อย่างไรบ้าง

กรณีมติที่ประชุมสมัยสามัญภาคีสมาชิกอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ [Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora (CITES)] ครั้งที่ 18 เมื่อ พ.ศ. 2563

กำหนดให้ “ผีเสื้อหางติ่งบราซิล” Parides burchellanus เป็นแมลงคุ้มครองในบัญชีที่ 1 แห่งอนุสัญญา CITES (CITES Appendix I) เป็นชนิดพันธุ์ของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ห้ามค้าโดยเด็ดขาด เนื่องจากใกล้สูญพันธุ์

ไซเตส คืออะไร

ไซเตส หรือ อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (The Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora: CITES) เป็นความตกลงระดับนานาชาติระหว่างรัฐบาลของประเทศ/รัฐต่างๆ ซึ่งมีการลงนามรับรองจากผู้แทน จำนวน 21 ประเทศ (รวมประเทศไทย) เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2516 (ค.ศ. 1973) ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2518 (ค.ศ. 1975)  ในปี พ.ศ. 2527 ได้มีการจัดตั้งสำนักเลขาธิการไซเตส (CITES Secretariat) ขึ้น ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) จึงได้ย้ายสำนักงานมาตั้งอยู่ ณ กรุงเจนีวา จนถึงปัจจุบัน มีสมาชิก 182 ประเทศ

สำนักเลขาธิการไซเตส บริหารงานโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme: UNEP) ซึ่งได้รับเงินอุดหนุนรายปีจากประเทศสมาชิก สำหรับประเทศไทย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นผู้ขอตั้งงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนรายปีดังกล่าว

อนุสัญญาไซเตส มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความมั่นใจว่า การค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของชนิดพันธุ์นั้นๆ ในธรรมชาติ โดยเฉพาะชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์หรือถูกคุกคาม โดยการสร้างเครือข่ายทั่วไปในการควบคุมการค้าระหว่างประเทศทั้งสัตว์ป่าและพืชป่าที่มีชีวิต ซาก และผลิตภัณฑ์

การควบคุมการค้าสัตว์ป่าและพืชป่ารวมถึงผลิตภัณฑ์ ไซเตสมีการควบคุมอย่างไร

สำหรับการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าและผลิตภัณฑ์ระหว่างประเทศจะถูกควบคุมโดยระบบใบอนุญาต (Permit) และหนังสือรับรอง (Certificate) ในการนำเข้า (Import) ส่งออก (Export) ส่งกลับออกไป (Re-export) และนำเข้าจากทะเล (Introduction from the Sea)

ชนิดพันธุ์ของสัตว์ป่าและพืชป่าที่อนุสัญญาไซเตสควบคุม (CITES species) จะระบุไว้ใน บัญชีหมายเลข 1 2 และ 3 (Apendices) ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

บัญชี 1: เป็นชนิดพันธุ์ของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ห้ามค้าโดยเด็ดขาด ยกเว้นเพื่อการศึกษา วิจัย หรือเพาะพันธุ์ ซึ่งต้องได้รับความยินยอมจากประเทศที่จะนำเข้าเสียก่อน ประเทศส่งออกจึงจะออกใบอนุญาตส่งออกได้ ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความอยู่รอดของชนิดพันธุ์นั้นๆ ด้วย ตัวอย่างชนิดพันธุ์ในบัญชี 1 เช่น ช้างเอเชีย เสือโคร่ง ลิงอุรังอุตัง จระเข้น้ำจืด จระเข้น้ำเค็ม เต่ามะเฟือง ปลายี่สกไทย เป็นต้น

บัญชี 2 : เป็นชนิดพันธุ์ของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ยังไม่ใกล้สูญพันธุ์ สามารถค้าได้แต่ต้องมีการควบคุมเพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้ประโยชน์ที่มากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อการอยู่รอดของชนิดพันธุ์ ทั้งนี้ชนิดพันธุ์ในบัญชี 2 ยังครอบคลุมถึงชนิดพันธุ์ที่มีความคล้ายคลึงกัน (look-alike) ด้วย

โดยประเทศส่งออกจะต้องออกใบอนุญาตส่งออกเพื่อรับรองว่าการส่งออกแต่ละครั้ง จะไม่กระทบต่อการดำรงอยู่ของชนิดพันธุ์นั้นๆ ในธรรมชาติ ตัวอย่างชนิดพันุธุ์ในบัญชี 2 เช่น ลิ่น อีเห็นลายพาด นกขุนทอง เต่านา งูเหลือม เป็นต้น

บัญชี 3 : เป็นชนิดพันธุ์ของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายของภาคีใดภาคีหนึ่งอยู่แล้ว และต้องการขอความร่วมมือจากภาคีอื่นๆ ช่วยควบคุมการค้าด้วย ตัวอย่างชนิดพันุธุ์ในบัญชี 3 เช่น ควายป่า (เนปาล) นกกระทาดงปักษ์ใต้ (มาเลเซีย) เต่าอัลลิเกเตอร์ (สหรัฐอเมริกา) หอยเป๋าฮื้อแอฟริกาใต้ (แอฟริกาใต้) เป็นต้น

ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการควบคุมตรวจสอบการนำเข้าหรือส่งออกสัตว์ป่า ซากของสัตว์ป่า และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากซากของสัตว์ป่า ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงได้มีการกำหนดชนิดสัตว์ป่าและซากของสัตว์ป่าที่ต้องได้รับอนุญาต ใบอนุญาต หรือใบรับรอง ก่อนการนำเข้าหรือส่งออก ตาม ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดชนิดสัตว์ป่าและซากของสัตว์ป่าที่ห้ามนำเข้าหรือส่งออก ซึ่งจะมีการปรับปรุงบัญชีภายหลังการประชุมภาคีอนุสัญญาไซเตส (Conference of Parties: CoP) ในแต่ละครั้ง

อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora-CITES) หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อว่าไซเตส เป็นอนุสัญญาระหว่างประเทศที่มีเป้าหมายเพื่อควบคุมไม่ให้การค้าสัตว์ป่าและพืชป่าระหว่างประเทศ เป็นภัยคุกคามความอยู่รอดของชนิดพันธุ์ในธรรมชาติ โดยเฉพาะสัตว์ป่าและพืชป่าที่มีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ อนุสัญญาฉบับนี้มีผลบังคับใช้เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี ๒๕๑๘ ตลอดระยะเวลาเกือบ ๓๐ ปีที่ผ่านมา ไซเตสนับเป็นอนุสัญญาด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่านานาชาติที่ถูกพูดถึง และมีประสิทธิภาพมากที่สุดฉบับหนึ่ง โดยมีการให้ความคุ้มครองแก่สัตว์และพืชแล้วกว่า ๓ หมื่นชนิด ตั้งแต่เสือโคร่ง ช้างป่า ไปจนถึงไม้มะฮอกกานีและกล้วยไม้ ด้วยการกำหนดรายชื่อสัตว์และพืชเหล่านี้ในบัญชีของไซเตส

กลไกสำคัญของอนุสัญญาไซเตสคือการกำหนดให้ประเทศภาคีจะต้องมีมาตรการภายในที่เหมาะสมในการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามอนุสัญญาฯ โดยจะต้องมีการควบคุมการนำเข้า ส่งออก หรือส่งผ่านตัวอย่างชนิดพันธุ์ที่ระบุไว้ในบัญชีของไซเตส และมีบทลงโทษผู้กระทำการฝ่าฝืน ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันแก่อนุสัญญาไซเตส และเข้าเป็นภาคีสมาชิกลำดับที่ ๗๘ เมื่อปี ๒๕๒๖ ปัจจุบันอนุสัญญาไซเตสมีภาคีสมาชิกกว่า ๑๖๐ ประเทศทั่วโลก โดยมีประเทศลาวเข้าเป็นสมาชิกลำดับที่ ๑๖๕ เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๔๗ ส่งผลให้ประเทศสมาชิกในกลุ่มอาเซียนทั้ง ๑๐ ประเทศได้เข้าร่วมเป็นภาคีต่ออนุสัญญาฉบับนี้อย่างสมบูรณ์

การประชุมอนุสัญญาไซเตส CoP-13 ที่กรุงเทพฯ มีความหมายอย่างไร การประชุมประเทศภาคีของอนุสัญญาไซเตส (Conference of the Parties) จะจัดให้มีขึ้นทุก ๒ หรือ ๓ ปี เพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกได้มีโอกาสประชุมเพื่อพิจารณาเนื้อหาสาระ และเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดในอนุสัญญาตามรายละเอียดที่มีผู้เสนอขอให้พิจารณา ประเทศสมาชิกมีสิทธิ์ออกเสียงได้เท่าเทียมกัน โดยข้อเสนอที่จะได้รับการยอมรับให้มีการแก้ไขจะต้องได้เสียงรับรองไม่น้อยกว่าสองในสาม นอกจากภาคีสมาชิกกว่า ๑๖๐ ประเทศจะส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมแล้ว ที่ประชุมยังเปิดโอกาสให้ตัวแทนองค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติภาคเอกชนเข้าร่วมประชุมและเสนอความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่

การประชุมประเทศภาคีอนุสัญญาไซเตสครั้งที่ ๑๓ (CoP-13) จะจัดให้มีขึ้นระหว่างวันที่ ๒-๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๗ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติครั้งใหญ่เกี่ยวกับอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านการอนุรักษ์ฉบับนี้ เป็นที่แน่นอนว่าในช่วงเวลาดังกล่าว วงการอนุรักษ์ธรรมชาติทั่วโลกจะพุ่งความสนใจมาที่สถานการณ์การค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายในภูมิภาคนี้เป็นพิเศษ ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยและเพื่อนบ้านในภูมิภาค ที่จะได้แสดงออกถึงความตั้งใจในการแก้วิกฤตปัญหาการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมายอย่างจริงจัง

หัวข้อซึ่งเป็นที่สนใจของวงการอนุรักษ์สัตว์ป่าทั่วโลกเป็นพิเศษในครั้งนี้คือ การพิจารณาห้ามไม่ให้มีการค้าสัตว์ป่าระหว่างประเทศบางชนิดอย่างเด็ดขาดเช่น โลมาอิรวดี (นำเสนอโดยประเทศไทย) ฉลามขาว (นำเสนอโดยมาดากัสการ์และออสเตรเลีย) นกกระตั้วหงอนเหลือง (Sulphur-crested Cockatoo นำเสนอโดยอินโดนีเซีย) นกแก้วแอมะซอนท้ายทอยม่วง (Lilac-crowned Amazon Parrot นำเสนอโดยเม็กซิโก) สิงโตแอฟริกา (นำเสนอโดยเคนยา) และการควบคุมการค้าปลานกแก้วหัวโหนก (นำเสนอโดยฟิจิ ไอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา) รวมไปถึงการพิจารณาเรื่องการควบคุมตลาดค้างาช้างภายในประเทศ และการอนุรักษ์กวางไซกา

ไซเตส เป็นอนุสัญญาแบบใด

ไซเตส (CITES) อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ ( The Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora ) หรือ เรียกอีกอย่าง หนึ่งว่า อนุสัญญาวอชิงตัน ( Washington Convention ) ประเทศไทยเป็นสมาชิกล าดับที่ 80 โดยลงนามรับรอง อนุสัญญาในปี 2518 และ ...

C i T s เน้นเรื่องใด

(CITES) เป็นชื่อย่อของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกลสู้ญพันธุ์ (The Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) มีวัตถุประสงค์ในการอนุรักษ์ซึ่งทรัพยากรที่มีชีวิตในโลก ให้เป็นประโยชน์ของมนุษยชาติต่อไปในอนาคต

อนุสัญญาไซเตส มีกี่ประเทศ

ในปี พ.ศ. 2516 สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN) ได้จัดการประชุมนานาชาติขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อร่างอนุสัญญาดังกล่าว มีผู้เข้าร่วมประชุม 88 ประเทศ แต่มีผู้ลงนามรับรองอนุสัญญาฉบับนี้ทันทีเพียง 22 ประเทศ สำหรับประเทศไทยได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมด้วย แต่มาลงนามรับรองอนุสัญญาในปี พ.ศ. ...

ข้อใดคือประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในการประชุมไซเตส ครั้งที่ 16 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ

ที่ประชุมได้มีการอภิปรายอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการค้าช้างและซากต่างๆ ของช้าง โดยมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ดังนี้ ที่ประชุมยอมรับว่าการลักลอบค้าช้างและซากต่างๆของช้าง เป็นปัญหาในระดับนานาชาติซึ่งประเทศถิ่นกำเนิด ประเทศที่นำผ่านและประเทศผู้บริโภคจะต้องดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและร่วมมือกัน