เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์ Show
2 มี.ค.2565 พลตำรวจโทสุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรอง ผอ.สพดส.ตร. เดินทางไปเป็นตัวแทนรัฐบาลไทยในการรับตัวคนไทยที่ถูกหลอกทำงานที่เมืองสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา ทั้งหมด 56 คนกลับเข้าประเทศ หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีการประสานเจ้าหน้าที่กัมพูชาให้ความช่วยเหลือคนไทยถูกหลอกทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ออกมาได้อย่างปลอดภัย
พลตำรวจโทสุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า กระบวนการรับตัวคนไทยหลังกลับมาจากประเทศกัมพูชาแล้วในครั้งนี้ มีอยู่ 2 ส่วนด้วยกัน คือการรับตัวคนไทยที่ถูกหลอกไปทำออนไลน์จริง ๆ กับส่วนที่เป็นคนไทยสมัครใจลักลอบข้ามแดนไปทำงานฝั่งกัมพูชา ซึ่งในขณะนี้ ศพดส.ตร.ได้ปรับแผนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะแยกดำเนินการให้ชัดเจน โดยเฉพาะคนไทยที่สมัครใจไปทำงานในฝั่งกัมพูชาเพื่อหลอกลวงคนไทยในรูปแบบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วยกันเอง นอกจากจะดำเนินคดีในการลักลอบข้ามแดนแล้ว จะเพิ่มกฎหมายในเรื่องของอาชญากรข้ามชาติเข้ามาเพิ่มเติมอีก เพื่อเป็นการเพิ่มบทลงโทษให้รุนแรงมากขึ้น
นอกจากนี้ การรับตัวคนไทยถูกหลอกทำออนไลน์ในฝั่งกัมพูชาวันนี้ เป็นล็อตที่ 9 แล้วมีคนไทยข้ามแดนกลับเข้ามาแล้วเกือบ 600 คน และยังมีคนไทยที่ยังอยู่ในฝั่งกัมพูชาอีกเกือบ 3,000 คน เร็ว ๆ นี้ ทางตัวแทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทย จะเข้าพบกับผู้นำตำรวจของกัมพูชา เพื่อให้เนรเทศคนไทยที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายทั้งหมด เมื่อกลุ่มนายทุนชาวจีน ไม่มีคนไทยคอยทำงานให้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ น่าจะดีขึ้น
"ขณะเดียวกัน กลุ่มชาวบ้านในเขตอำเภออรัญประเทศ นำโดยนางสาวโชติกา แก้วขำ และนางสาวฐิติมา พ่วงเพชร ได้เข้าพบพลตำรวจโทสุรเชษฐ์ หลังจากประชุมภายในกองกำกับการชุดควบคุมตำรวจตระเวนชายแดนที่ 12 โดยกลุ่มชาวบ้าน ได้ทวงถามความคืบหน้าคดีถูกโกงแชร์ยอดรวม 36 ล้านบาทมีผู้เสียหายกว่า 100 คน และเป็นคดีความเมื่อ 3 ปีที่แล้วพื้นที่สถานีตำรวจภูธรอรัญประเทศ โดยชาวบ้านอ้างว่า คดีนี้มีการจับกุมผู้ต้องหาไปแล้ว 2 คนและได้ประกันตัวออกไป แต่เมื่อเวลาผ่านไป 3 ปี ผู้เสียหายไม่เคยได้รับการติดต่อจากตำรวจ จึงอยากฝากบิ๊กโจ๊กให้เร่งรัดคดีนี้ให้ด้วย ก่อนที่บิ๊กโจ๊ก จึงกำชับให้ พันตำรวจเอกอรรถพล พงษ์สุพรรณ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว รักษาราชการแทนผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรอรัญประเทศ เร่งรัดในเรื่องนี้ด้วย
นายยุทธนา พึ่งน้อย ผู้สื่อข่าวจังหวัดสระแก้ว
พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล (เกิด 29 ตุลาคม พ.ศ. 2513) เป็นนายตำรวจชาวไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ[1] นายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ในพระบรมราชูปถัมภ์ อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อดีตที่ปรึกษาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สบ.9) อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง[2] อดีตรองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.)[3] และผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ[4][5] นอกจากนี้ เขายังเคยดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ผู้บังคับการตำรวจสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว รองผู้บังคับการจังหวัดสงขลา ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และ ผู้กำกับการกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (ดูแลพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)[3] พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ออกคำสั่งโอนย้ายเขาเป็นข้าราชการพลเรือน สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในตำแหน่งเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2562[6][7] ปัจจุบันได้โอนย้ายกลับมารับราชการที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ประวัติ[แก้]พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล ชื่อเล่น โจ๊ก เกิดเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2513 ที่จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของนายดาบตำรวจ ไสว และนางสุมิตรา หักพาล สมรสกับ ดร.ศิรินัดดา (สกุลเดิม พานิชพงษ์) สำเร็จการศึกษาในชั้นอนุบาล โรงเรียนกลับเพชรศึกษาซึ่งมารดาเป็นครูสอนอยู่โรงเรียนนี้ สำเร็จการศึกษาในชั้นประถม โรงเรียนวิเชียรชม สำเร็จการศึกษาในชั้น มัธยมศึกษาจากโรงเรียนมหาวชิราวุธ และโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 31 ระดับชั้นปริญญาตรี รัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 47 เป็นหัวหน้านักเรียนของนรต.รุ่น47 ระดับปริญญาโท สังคมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม จากมหาวิทยาลัยมหิดล โดยสามารถสอบคัดเลือกเข้าเรียนได้เป็นอันดับ 1 และระดับปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขารัฐประศาสนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย และระดับ ปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาอาชญาวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล [3][8] ปัจจุบันกำลังศึกษา คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาคค่ำ (นอกเวลาราชการ) หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการบริหารงานภาครัฐและกฎหมายมหาชน นอกจากนี้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ยังจบหลักสูตร และ รับมอบประกาศเกียรติบัตร ผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตร การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 21 (ปปร.21) จาก พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี ในวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2565 เขาได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่นสถาบันพระปกเกล้า จาก นาย ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา การทำงาน[แก้]เริ่มต้นรับราชการตำรวจ[แก้]ร.ต.ต. สุรเชษฐ์ ในขณะนั้น เริ่มรับราชการตำรวจในตำแหน่งรองสารวัตร เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 จนได้รับการแต่งตั้งเลื่อนขั้นเป็นสารวัตรในกองวินัย ต่อมาเป็นสารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 4 กองกำกับการ 5 จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 และสารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 3 จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 จนได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นนายตำรวจราชสำนักประจำ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2546[9] และเป็นผู้ช่วยนายเวรตำรวจราชสำนักประจำให้กับ พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547[10][11] ระดับผู้กำกับการ[แก้]หลังจากได้รับการเลื่อนขั้นเป็นพันตำรวจเอก พันตำรวจเอก สุรเชษฐ์ ในขณะนั้น ได้รับตำแหน่งผู้กำกับการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่อำนวยการประจำผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ[11] จนกระทั่งวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552 จึงได้เป็นผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์[10] ต่อมาเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ได้เป็นผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการ 10 กองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ในวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555 ถูกส่งไปเป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ จนได้เลื่อนขึ้นเป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา[11] และทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการณ์ตำรวจภูธรจังหวัดสงขลาส่วนหน้า รับผิดชอบพื้นที่ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลาที่เป็น 'พื้นที่สีแดง' เสี่ยงต่อภัยความไม่สงบบริเวณชายแดนภาคใต้[6] ระดับผู้บังคับการและผู้บัญชาการ[แก้]ในวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 พันตำรวจเอก สุรเชษฐ์ ในขณะนั้นได้รับการเลื่อนขั้นเป็นพลตำรวจตรี ในตำแหน่งผู้บังคับการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ[12][13]ทำหน้าที่ประสานงานกับนายกรัฐมนตรี รายงานต่อ พล.อ. ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบสำนักงานตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น หลังจากนั้นทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่งนี้มาตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2557[11][6] จนในวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ได้เป็นผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว[14]จนกระทั่งวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ได้เป็นผู้บังคับการตำรวจสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ[15]จนกระทั่งวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560 เข้ามาทำหน้าที่รักษาการรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว จนได้เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560[16]จนวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2561 พลตำรวจตรี สุรเชษฐ์ ในขณะนั้นได้รับการเลื่อนขั้นเป็นพลตำรวจโท และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง[17][18]
คำสั่งย้าย[แก้]ในวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562 ได้มีคำสั่งจาก พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมาย จนวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2562 ได้มีคำสั่งจาก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญให้ พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ ขาดจากตำแหน่งหน้าที่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อโอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทนักบริหารระดับสูง ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี[10][11] และให้ถูกเพิ่มรายชื่อในบัญชีรายชื่อเพิ่มเติมตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 16/2558 เพื่อได้รับการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เนื่องด้วยมีมูลกรณี เมื่อถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ ทำให้เสียหายแก่ทางราชการหรือทำให้ประชาชนเดือดร้อน[19] ในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2563 รถยนต์ส่วนตัวของ พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ ถูกยิง ณ บริเวณถนนสุรวงศ์ เขตบางรัก กทม. โดยในขณะนั้น พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ ไม่ได้อยู่ภายในรถ[20] โดย พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ รวมถึงสื่อหลายแห่งได้ตั้งข้อสังเกตว่าเหตุการณ์นี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับกรณีที่ พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับความผิดปกติในโครงการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องตรวจสอบและพิสูจน์อัตลักษณ์และโครงการจัดซื้อจัดจ้างรถตรวจการณ์ไฟฟ้าของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยกล่าวหาว่าบริษัทผู้รับจ้างไม่สามารถส่งมอบงานได้ตามกำหนด แต่ สตช. ตรวจรับงานไว้ก่อน ทำให้ผู้รับจ้างไม่ต้องเสียค่าปรับ[21][22][23] ในขณะอีกส่วนหนึ่งก็ตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะเป็นการจัดฉากโดย พล.ต.ท. สุรเชษฐ์เอง[24] ในวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2563 ได้มีคำสั่งจากนายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้ พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ ในฐานะที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รักษาจรรยาและวินัยข้าราชการ โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่าคำสั่งนี้ออกมาเนื่องจากมีการร้องเรียน จึงต้องเตือนไว้ก่อน[25] ในวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2563 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ยื่นหนังสือลากิจเพื่อขอบวชที่วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย เป็นเวลา 9 วัน[26] และกลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ 2563[27] ในวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2563 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต่อศาลปกครองกลาง เรื่องคำสั่งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม กรณีถูกย้ายจาก ผบช.สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มาดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต่อมาศาลปกครองกลางมีคำสั่งในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ไม่รับคำฟ้องและจำหน่ายคดีออก เนื่องจาก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีและปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2563 ขอให้พิจารณามีคำสั่งกลับไปปฏิบัติหน้าที่ราชการดังเดิม แต่ยังไม่พ้นกำหนด 90 วันนับตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีและปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้รับหนังสือ จึงถือว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ยังไม่ได้เป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนตามที่ได้ยื่นฟ้องศาลไว้ เพราะยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของนายกรัฐมนตรี[28][29] การกลับมาเป็นข้าราชการตำรวจ[แก้]เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2564 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ หักพาล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งคณะกรรมการข้าราชการตำรวจมีมติเห็นชอบให้รับโอนมาบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจ พ้นจากตำแหน่ง ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษา (สบ.9) เทียบเท่าผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2564[30][31] เมื่อวันที่ 10 ก.ย.พ.ศ. 2564 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ จำนวน 273 ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป ยกเว้นลำดับที่ 169 ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป โดย พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ หักพาล เลื่อนจาก ที่ปรึกษา (สบ 9) สตช. สไลด์ขึ้นเป็น ผู้ช่วย ผบ.ตร. ขณะดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติใน วันที่ 6 ตุลาคม 2565 เขาลงพื้นที่พร้อมกับ พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ พลตำรวจโท สำราญ นวลมา เพื่อตรวจสอบเหตุกราดยิงที่จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. 2565 เครื่องราชอิสริยาภรณ์[แก้]
อ้างอิง[แก้]
|