My little pony ตอนเป นต วส ชมพ ตะคอกใส ม งกร

My little pony ตอนเป นต วส ชมพ ตะคอกใส ม งกร
Thanabooks

{{is_joined?'เป็นสมาชิกแล้ว':'Join เป็นสมาชิกร้าน'}}

15

สมัครสมาชิกร้านนี้ เพื่อรับสิทธิพิเศษ

บัตรประชาชน

บุ๊คแบ๊งค์

คุ้มครองโดยLnwPay

หน้าแรก | วิธีการสั่งซื้อสินค้า | แจ้งชำระเงิน | บทความ | เว็บบอร์ด | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อเรา | ตะกร้าสินค้า | Site Map

ขอโทษนะครับที่ไม่ได้อัพเดตมาตั้งนาน เนื่องจากกระผมพยายามที่จะหาไอเดียที่เหมาะสมและขัดเกลาเนื้อหาในระยะยาวของเรื่อง Twilight Sparkle and The Second Dark Lord แต่กระผมขอฝากนิยายแต่งใหม่1ตอน ซึ่งอยากจะให้ผู้อ่านทุกท่านช่วยบอกผมว่า ควรจะเปิดออกมาอีกเรื่องหนึ่งหรือไม่

นิยายที่ผมเขียนนั้น ได้รับแรงบันดาลใจจาก My Little Pony: Friendship is Magic และ Game of Thrones(เข้ากันตรงไหนฟระ?) ซึ่งก้ขอเชิญให้ทุกท่านลองอ่านนิยายเรื่องนี้และเม้นบอก หากอยากให้ผมทำเรื่องนี้ควบไปด้วยนะครับ

เรื่องนี้จะมีการดัดแปลงหรือขยายข้อมูลบางส่วนในจักรวาล My Little Pony ในช่วงระหว่าง Season 3 และ Season 4 รวมถึงการมีตัวละครเฉพาะในเรื่องอีกด้วย

-----------

“the life of the dead is placed in the memory of the living”

  • Marcus Tullius Cicero

“ชีวิตของผู้ที่่จากไปแล้วอยู่ในความทรงจำของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่”

  • มาร์กุส ตุลลิอุส กิแกโร, นักปรัญชาวโรมัน

“ประชาชนแห่งอีเควสเทรียทั้งหลาย ….” เสียงใหญ่กังวานขึ้นท่ามกลางเมืองที่ตั้งบนบนหน้าผา เสียงแตรดังไปทั่วอาณาเขตตัวเมืองให้เหล่าประชาชนโพนี่แห่งอีเควสเทรียได้ยิน เหล่าอาชาทั้งหลายเงยหน้าขึ้นไปยังดาดฟ้าของพระราชวัง บนดาดฟ้านั้นมีบัลลังก์สีทองเลี่ยมเงินอยู่ เหล่าทหารองค์รักษ์ยืนขนาบบัลลังค์เพื่อปกป้องผู้ดูแลอีเควสเทรียองค์ใหม่

”...จงแสดงความเคารพให้กับผู้ปกครองตนใหม่แห่งอีเควสเทรีย” แม่ทัพในชุดเกราะหนังประดับทองคำและอัญมณีที่ดูอาวุโสกล่าว น้ำเสียงนั้นปนสำเนียงขู่เข็ญให้พลเมืองทั้งหลายแสดงความเคารพให้กับผู้ที่มาแทนองค์หญิงเซเลสเทรีย

ร่างของอะลิคอร์นสีม่วงอ่อนในชุดผ้าคลุมสีเงินระยิบระยับผู้ถือคทาทองคำยอดเพชรนั้นก้มหน้าของหล่อนด้วยความทุกข์ใจ ผมสีม่วงเข้มแซมชมพูที่ประดับอย่างดีดูแต่กลับหมองหม่น เธอพยายามที่จะไม่แสดงอาการทุกข์ร้อนใจให้พลเมืองขอเธอให้เห็น

“ทรงพระเจริญ! ทรงพระเจริญ! ทรงพระเจริญ!”

เหล่าพลเมืองตะโกนถวายพระพรให้กับองค์หญิงผู้เหนืออีเควสเทรียจนดังสนั่นไปทั่วเมือง แต่องค์หญิงผู้ที่กำลังจะได้รับมงกุฏจากยูนิคอร์นเฒ่าในชุดโคโลเนียล*สีดำกลับไม่แยแสในคำอวยพรนั้น แต่จิตใจยังกลับติดค้างในเหตุเมื่อไม่กี่วันก่อน...วันที่ทั้ง”ดวงอาทิตย์”และ”ดวงจันทร์”ล่มสลาย

----------------

4 วันก่อนวันประกอบพิธีราชินีภิเษก

ทไวไลท์อยู่ในห้องนอนชั่วคราวตนในปราสาทแห่งแคนเทอร์ลอต เธอกำลังนั่นอ่านหนังสือกับองค์หญิงเซเลสเทรียและลูน่าอย่างเพลิดเพลิน เธอปิดหนังสือที่เธออ่านจบก่อนที่จะใช้เวทย์มนต์ยกมันกลับเข้าไปในตู้หนังสือ

“ทไวไลท์ที่รัก เธอง่วงแล้วหรือ” อะลิคอร์นสีขาวถามด้วยความเมตตาหลังจากเห็นทไวไลท์หาวด้วยความงัวเงียเล็กน้อย

“องค์หญิงเซเลสเทรีย ดิฉันก็ชักจะเห็นด้วยแล้วละ งั้นถ้าไม่รบกวนพวกท่าน เดี๋ยวดิฉันจะไปนอนแล้วกัน” ทไวไลท์พูดพลางเดินไปยังเตียงของเธอ โดยมีตระกร้าที่สไปค์ มังกรน้อยนอนอยู่ในนั้น

องค์หญิงทั้งสองเดินออกไปจากห้องนอนของทไวไลท์ ทันทีที่ทั้งสองเปิดประตูเพื่อออกไป ทั้งสองพระองค์มองไปยังลูกศิษย์ที่ล้มตัวนอนอยู่บนเตียง ก่อนที่เซเลสเทรียจะพูดคำพูดหนึ่งเบาๆ

“ฝันดีนะ ทไวไลท์ แล้วเจอกันพรุ่งนี้” เธอพูดก่อนที่ลูน่าจะพยักหน้าให้เซเลสเทรียก่อนที่ทั้งคู่จะเดินจากไปก่อนจะปิดประตูให้ทไวไลท์ได้นอนอย่างมีความสุข

ขณะที่ทไวไลท์กำลังจะเข้าสู่ห้วงภวังค์ เธอได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากที่ไกลๆ ราวกับว่ามีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น

“องค์หญิง!..ทรงสิ้นสติ.!..ที่สวนหลวง!ทั้งสองพระองค์” เสียงนั้นเป็นของทหารยามตนหนึ่ง น้ำเสียงนั้นดูตื่นตระหนก เนื่องจากว่าทั้งองค์หญิงเซเลสเทรียและองค์หญฺงลูน่าไม่เคยประสบเรื่องอย่างนี้มาก่อน นับตั้งแต่สงครามกับชนเผ่าป่าเถื่อนตอนเหนือเนื่องจากไข้หนาว แต่ครั้งนี้กลับเป็นพระราชวังที่ได้รับการอารักขาอย่างดี

ทไวไลท์คิดว่าตัวเองหูฝาดไปแน่ๆ เธอจึงตัดสินใจไม่แยแสเสียงตะโกนของยามที่งแค่สติไม่สมประกอบเท่านั้น แต่เมื่อเสียงกรีดร้องและเสียงเหล่าบริวารสูดอากาศด้วยความตกใจดังขึ้น เธอก็รีบตื่นขึ้นมา ก่อนที่จะมองดูสไปค์

ประตูถูกเปิดอย่างรุนแรง ผู้ที่เปิดประตูนั้นคือเพื่อนทั้งห้าของทไวไลท์นั่นเอง “ทไวไลท์! ตื่นเร็ว!” เรนโบว์แดชตะโกนด้วยความตื่นกลัวจากเรื่องที่เกิดขึ้น

” องค์หญิง…สิ้นพระสติไปแล้ว...” ราริตี้ต่อบทให้

“...ลมหายใจและชีพจรของทั้งสองพระองค์แผ่วเบามาก..” แอปเปิ้ลแจ็คบรรยายต่อ

“...พวกเราอยากให้เธอไปดูว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง...ถ้าเธอไม่ขัดใจ..” ฟลัตเตอร์ชายพูดด้วยเสียงที่ยิ่งแผ่วเบากว่าปกติ

ส่วนพิงกี้พาย หรือ พิงกามีน่าเสียมากกว่า จากผมอันเรียบตรงจากความเศร้าของของเธอ พิงกามีน่ามองไปยังทไวไลท์ด้วยสายตาอันบรรจุความกลัวและความตื่นตระหนกเอาไว้

ทไวไลท์ใช้เวทย์มนต์เลิกผ้าห่มของสไปค์ก่อนที่จะมองไปยังเพื่อนๆของเธอ “สาวๆ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลย...” สไปค์ตื่นทันทีเมื่อลมเย็นพัดโดนร่างของเขา ก่อนที่จะมองสาวๆในสภาพงัวเงีย “เกิดอะไรขึ้นเหรอ...”

ทไวไลท์รีบวิ่งตามเพื่อนของเธอออกไปข้างนอก “ตามมาเร็ว!” ทไวไลท์ตะโกนทันทีเมื่อเธอพ้นจากสายตาของสไปค์

----------------

บรรยากาศในสวนหลวงเป็นพุ่มไม้ดอกโดยหลักและไดรับการดูแลอย่างดีมาตลอดเหล่าทหารยามและบริวารล้อมวงกันบริเวณสวนหน้าพระราชวัง โดยชาวเมืองบางส่วนก็พยายามจะมองสิ่งที่เกิดขึ้น

เมื่อหกสาวมาถึง ทไวไลท์รีบเบียดเข้าไประหว่างฝูงชนที่กำลังตื่นตระหนก แต่ฝูงชนกลับหนาแน่นเกินไปที่จะไปเห็นอะไรที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น

“ท่านหมอหลวง อาการของทั้งสองพระองค์เป็นอย่างไรบ้างคะ” บริวารผู้มีหน้าที่ทำความสะอาดเอ่ยขึ้น น้ำเสียงสั่นเครือด้วยความกลัว

“ลมหายใจแผ่วเบามาก ชีพจรเบาลงทุกที แต่ถ้าจะให้ระบุสาเหตุ...” หมอชราพูดอย่างวิตกกังวล “หมอก็ต้องการมีดมากรีดดูเลือดของทั้งสองพระองค์”

“ว่าไงนะ?!!”

“จะบ้ารึไง!??!”

“แกคิดว่าแกเป็นหมอแล้วจะมาล่วงเกินองค์หญิงได้เรอะ?!?”

“ไอ้ฬ่อโสโครก!”

“ไปตายซะ! ไอ้ฬ่อไร้ยางอาย!”

เหล่าทหาร ราชบริพาร และ พลเมืองทักท้วงด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่วงจะแคบลงเรื่อยๆโดยที่พวกเขานั้นได้เตรียมเครื่องไม้เครื่องมือเพื่อจะลงประชาทัณฑ์หมอหลวง

“หยุดก่อน!!!” ทไวไลท์ตะโกนด้วยน้ำเสียงกึ่่งโมโห นี่เป็นครั้งแรกที่มีองค์หญิงสักองค์รับสั่งด้วยเสียงตะคอกรุนแรง “พวกเธอหลีกไป! ให้หมอวินิฉัยอาการ! หรือจะว่าจะปล่อยให้ทั้งสองพระองค์สิ้นพระชนม์โดยไม่ถูกแตะต้อง!?!” เมื่อทไวไลท์กลับมาคุมสติได้ ใบหน้าเธอก็ซีดเผือกจากสิ่งที่เธอพูดออกไป

เหล่าราชบริพารและพลเมืองตกตะลึงกับสิ่งที่องค์หญิงแห่งมิตรภาพตะโกนออกไป พวกเขารีบหลีกทางออกไปให้ทไวไลท์และหมอชราที่เป็นฬ่อจริงๆ ไม่ใช่เป็นคำด่า

ทไวไลท์มองไปยังหมอลูกครึ่งลาด้วยสายตาคาดหวังและหวาดกลัว “ถ้าเธอรักษาได้...ฉันจะยอมมอบอะไรก็ตามที่เธอต้องการ...ที่ฉันหาให้ได้” เธอพูดด้วยเสียงสั่นเครือ แต่ก็หนักแน่นในระยะประชิดตัวหมอ

หมอหลวงพนักหน้าแล้วถอมหายใจ เขาหยิบกริชสีเงินสะอาดขึ้นมา ก่อนที่จะเอากีบข้างหนึ่งวางบนกีบของลูน่าด้านที่ใกล้กับเขาที่สุด

ทไวไลท์รอดูผลลัพธ์ หรือว่าสิ่งที่แพทย์ฬ่อจะทำ แพทย์หลวงค่อยๆกรีดผิวขององค์หญิงอย่างนุ่มนวล จนกระทั่งของเหลวสีดำคล้ายยางมะตอยออกมาจากผิวขององค์หญิงลูน่า ฝูงชนมองไปยังของเหลวที่น่าจะเป็นเลือดด้วยสายตาหวาดกลัว

“ก-ก-เกิด...อ-อะไร..ขึ้น...?” ทไวไลท์ถามหมอด้วยเสียงที่สั่นเครือยิ่งกว่าเดิม แพทย์หลวงมองไปยังองค์หญิงทไวไลท์ พร้อมกับสายหน้าก้วยใบหน้าเคร่งเครียด

“มีคนวางยาองค์หญิงทั้งสองพระองค์….” หมอหลวงพูดด้วยเสียงต่ำเบา กลุ่มชนตื่นตระหนกก่อนที่จะมีเสียงซุบซิบกันไปทั่ว ราวกับว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้

เสียงเล็กๆเสียงหนึ่งเอ่ยมาจากบริเวณที่ควรเป็นองค์หญิงทั้งสอง “แม่ครับ...” ยูนิคอร์นน้อยเอ่ยขึ้นด้วยเสียงประหลาดใจ แต่ไม่กังวลมากนัก “...ทำไมองค์หญิงทั้งสองถึงหยุดหายใจแล้วครับ...”

เสียงซุบซิบหยุดลง ก่อนที่ทุกสายตาจะจับจ้องไปยังร่างขององค์หญิงที่ซึดเผือกลง ตราคิวตี้มาร์คจางลงช้าๆ ก่อนที่ความเงียบสงัดจะบัดเกิดโดยสมบูรณ์ มากพอที่จะได้ยินเสียงเต้นสุดท้ายของหัวใจ

----------------

ณ ทะเลทรายแห่งแดนร้าง(Badland)

เหล่ากองทัพม้าครึ่งแมลงจำนวนราวๆ 200 ตัวได้เดินทางด้วยความเหน็ดเหนื่อย พวกมันดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บและเหนื่อยล้ามากจากการเดินทางข้ามทะเลทรายแห่งนั้น แต่กลับมีเพียงร่างเดียวเท่านั้นที่ดูมุ่งมั่นแม้จะเหนื่อยล้าในการผจญไอร้อนแห่งทะเลทรายและระยะทางอันยาวนาน ร่างนั้นเป็นร่างเดียวที่มีผมที่ดูคล้ายสาหร่ายทะเล ดวงตาที่ดูใกล้เคียงกับพวกโพนี่ที่สุด และยังมีเขาและปีที่ใหญ่ยาวกว่าปกติ รวมไปถึงตื่งงอกคล้ายมงกุฎบนศีรษะ

สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นนางพญาขอเหล่าแมลงม้าได้เดินไปยังรังสีดำสนิทที่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย มันดูเหมือนจะเป็นวัตถุรูปร่างบุบนูนน่าเกลียดที่มีวัตถุคล้ายฟองอากาศสีน้ำเงินหม่นแทรกอยู่บางส่วน ดูผ่านๆคล้ายยางมะตอยที่มีฟองอากาศที่แข็งตัวอย่างคงที่

“กองทัพของท่านราชินีกลับมาแล้ว!” แมลงร่างม้าตะโกนจากบริเวณใกล้ๆ ”รังยางมะตอย” แล้วจึงมีกองทัพของเหล่าแมลงชนิดเดียวกับในกองทัพจำนวนมากบินออกมาพร้อมกับถังน้ำที่ทำจากดินเหนียว ยกเว้นสี่ตัวที่สวมชุดเกราะสำริดสีดำที่ช่วยกันแบกถังสำริดขนาดใหญ่สลักอย่างดีที่ใส่น้ำเต็ม

เหล่าม้าแมลงที่เดินทางมาจากความปราชัยในแคนเทอร์ลอตรีบวิ่งกับไปดื่มน้ำกันอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับไม่ได้กินน้ำมาเป็นวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางพญาที่รีบสวาปามน้ำในถังสำริดจนแทบไม่สังเกตน้ำที่กระจายบนผืนทราย

“ท่านราชินีขอรับ” หนึ่งในทหารเกราะสำริดพูดอย่างร่าเริง “เมื่อไหร่พลขนทาสและความรักจะมาถึงละขอรับ...”

ราชินีมองหน้าทหารั้นด้วยแววตาโกรธแค้น แต่ไม่ใช่เพราะแค้นเขา แต่หากเป็นความปราชัยจากสิ่งที่จะเอามา “...ครั้งนี้ไม่ได้อะไรมาเลย!” เธอตะโกนด้วยความโมโหจนแทบจะเตะถังน้ำของตน “ข้า ราชินีคริสซาลิส! ผู้นำแห่งเผ่าแพลตทีเดีย-เชนจลิ่ง! กลับพ่ายแพ้ให้กับพวกหน้าขนพวกนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ…” เธอพยายามคิดคำด่าทอต่อสักระยะ ”เพราะเจ้าพวกคริสตัลโพนี่เฮงซวยนั่น! คราวหน้า! ข้าจะยกทัพไปตีเมืองมัน! จับพวกมาเป็นทาสผลิตความรัก!และเผาเมืองมันล่มจม!”

เชนจลิ่งชุดเกราะอีกตัวพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ระหว่างที่ท่านไม่อยู่...ความรักที่มีอัตราการผลิตน้อยลงอยู่แล้ว...” มันพยายามฝืนใจพูดจากความเครียด “..ยิ่งน้อยลงไปอีกช่วงที่ท่านไม่อยู่ จนทำให้ความรักที่แจกจ่ายไม่เพียงพอ จนต้องมีพวกเราต้องล้มตาย เราเลยตัดสินใจฆ่าพวกเชนจลิ่งชราบางส่วน...กับพวกตัวอ่อนที่อ่อนแอ...”

ควีนคริสซาลิสรีบยิงเวทย์มนต์สีเขียวใส่ผู้รายงานอย่างรุนแรง “พวกเอ็งตัวไหนคิดเรื่องอุบาทว์สังหารลูกหลานกู!?!พวกเอ็งรีบบอกมาหรือจะให้กูเชือดพวกเอ็งทุกตัว!?!” เธอตะคอกด้วยความโมโหอย่างรุนแรง

เชนจลิ่งทั้งสามตัวมองหน้ากันด้วยสายตาหวาดกลัว ก่อนที่ตัวตรงกลางจะถูกผลักให้ล้มลงกับพื้น ขระที่เหล่าเชนจลิ่งธรรมดารีบไปเก็บร่างไร้วิญญาณของเชนจลิ่งเคราะห์ร้าย

----------------

ในรังของเชนจลิ่งนั้นดูเหมือนจะเป็นเมืองโบราณที่สร้างจากดินเหนียวมาก่อน อาคารดินเหนียวมีน้ำยางสีดำเกาะไปทั่วโดยที่กำแพงดินหนียวนั้นก้รับน้ำหนักของยางที่คลุมเมืองจากท้องฟ้าเอาไว้ บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยไข่แมงสีน้ำเงินใสคล้ายวุ้นที่แตกไปหลายฟอง ข้างในมีตัวอ่อนไร้วิญญาณที่กำลังโดนแมลงวันและมดกัดกิน เหล่าเชนจลิ่งหลายตัวนอนพิงบ้านดินเหนียวในสภาพอนาถา

ควีนคริสซาลิสมองสภาพบ้านเมืองไปรอบๆ คิ้วถูกปล่อยออกจากกัน ปากเปิดกว้างด้วยความตกตะลึง เธอเดินไปรอบๆ พึมพำอะไรสักอย่างกับตัวเองโดยไม่สนคำขอเกี่ยวกับทรัพยากรความรักอันเป็นอาหารของพวกผู้ทำงานมากนัก เพราะแค่สิ่งที่เธอเห็นก็มากพอแล้ว

เธอเดินไปยังบริเณที่เคยเป็นซิกกูแรต**ที่ถูกเคลือดด้วยยางดำและมีโดมขนาดเล็กที่ยอด ในใจว้าวุ่นไปด้วยวิธีการที่จะช่วยเมืองของเธอจากหายนะนี้

ทันทีที่เธอเข้าไปในโดม เธอเดินไปยังบริเวณที่เคยเป็นแท่นบูชายัญ ก่อนที่จะใช้เวทย์มนต์หยิบแผนที่มากางลงบนแท่นช้าๆ โดยมีแม่ทัพที่เหลืออีกสองมองด้วยสายตาหวาดกลัว

“อูร์กูฟา โอบาซี พวกเจ้ามาหาข้าหน่อยซิ” ควีนคริสซาลิสบอกสองขุนพล ขุนพลตัวหนึ่งเดินไปหาก่อนที่อีกตัวจะตามมาอาดๆ

“ข้ามีแผนจะรวบรวมเผ่าเชนจลิ่งทุกเผ่าให้เป็นหนึ่ง...เช่นเดียวกับอัยกา(ตา)ของข้า” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แฝงความเด็ดเดี่ยวเอาไว้

“จะดีเหรอขอรับ เพราะอัยกาของท่านเป็นนักรบชาติบุรุษผู้เกิดมาในยุคทองของเผ่าเรา แต่ดูตอนนี้สิท่าน...” ตัวหนึ่งพูดอ่อยๆ

“โอบาซี ข้าให้เจ้าเป็นแม่ทัพ ไม่ใช่พี่เลี้ยงหรือที่ปรึกษา...” เธอพูดขณะที่พยายามกลั้นความโกรธ “..ต่อให้ข้าจะเป็นราชินี แต่ข้าก็มีเชื้อของอัยกาของข้า รวมไปถึงบิดาของข้า ผู้เป็นอุปราชผู้ยิ่งใหญ่...” เธอพยายามข่มความโกรธเอาไว้ไม่ให้ออกมาหมด “...หรือว่าเจ้ามีแผนการที่ดีกว่าละ? ปล่อยให้พวกเราตายช้าๆจนหมดเหรอ?”

ขุนทัพผู้น่าจะมีชื่อว่าโอบาซีมองราชินีของตนด้วยความหวาดกลัว “ม-มิบังอาจพะยะค่ะ! กระหม่อมแค่จะบอกให้ท่านลดอัตราการให้ความรักให้ประชาชนลง...”

“...จนเหลือแต่ให้พวกเจ้าเองนะหรือ?!?!” ควีนคริสซาลิสตะโกนใส่ขุนทัพนามโอบาซีจนทำให้เขาอำอึ้งไปสักระยะหนึ่ง

เจ้าของนามอูร์กูฟาเดินไปยังราชินีของเขาด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะแสดงความชื่นชม “ข้าเห็นด้วยกระท่านพะยะค่ะ แต่เราจะทำอย่างไรเมื่อตอนนี้ทหารของเราล้มป่วยกันมาก จนไม่น่าจะออกรบได้...”

“ดังคำพูดของอัยกาของข้า...” ควีนคริสซาลิสมองไปยังอูร์กูฟาด้วยน้ำเสียงสุขุมและใจเย็นลง “...จงสู้ในสนามรบหากเป็นไปได้ หากสู้ในสนามไมไ่ด้ จงซุ่มโจมตี หากซุ่มโจมตีไม่ได้ จงดักปล้น...” เธอพูดพลางมองไปยังเพดานอย่างมั่นใจ “ดังนั้น เจ้าทั้งสองจงดักโจมตีขบวนเสบียงความรักของเผ่า ฟอรไมซิด-เชนจลิ่ง และ อาพีเดีย-เชนจลิ่ง ส่วนข้าจะหาทางเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับพวกโอโดนาตัส-เชนจลิ่ง เอง” เธอพูดพลางมองไปยังขุนพลทั้งสอง ก่อนที่พวกเขาจะรีบวิ่งออกไปจากรังของควีนคริสซาลิสทันที

----------------

ณ แดนประหารแห่งบัลติแมร์

ในห้องปูนที่มืดมิด มีเพียงแสงสว่างจากตะเกียงที่ตั้งบนโต๊ะไม้ ร่างทั้งสองร่างที่อยู่คนละฝั่นของโต๊ะมองหน้ากันอย่างครุ่นคิด

“พวกเขาเรียกเจ้าว่า นักบุญ แต่ข้าอยากเรียกเจ้าว่า ปีศาจ เสียมากกว่า” ร่างของเปกาซัสร่างบึกบึนกล่าวขึ้นด้วยความเย้ยหยัน เขาอยู่ในชุดผ้าคลุมสีดำสนิทที่ทับชุดสีขาวเอาไว้ สวมหมวกสีดำคล้ายสัปเหร่อ เหน็บดาบไว้กับเข็มขัดที่บริเวณเอวเอาไว้

ร่างที่ถูกเหยียดหยามก้มหน้าของเขาอยู๋ เขาเป็นยูนิคอร์นที่อยู่ในชุดลายทางสีขาว-ดำแบบนักโทษ เขาถูกครอบด้วยโลหะเพื่อป้องกันการใช้เวทยมนต์ยูนิคอร์น ร่างนั้นไม่มีแผงขอหรือขน แต่มีผิวหนังที่ดูหย่อนคล้อยและมีรอยเส่นเลือดสีดำทั่วตัว คล้ายกับผู้ที่เคยโดนไฟคลอกอย่างรุนแรงมาก่อน แต่ทว่าใบหน้าของเขากลับไม่เศร้าหมอง แต่กลับแสยะยิ้มก่อนที่จะเงยหน้าแล้วหัวเราะลั่นห้องปูนเหมือนได้มีชัยเหนือศัตรูทั้งหลายบนโลก

“เจ้านักบุญ พอคิดดูอีกที ข้าอยากเรียกเจ้าว่า นักบุญประสาท แล้วละ” เปกาซัสผู้คุมถากถางยูนิคอร์นอัปลักษณ์ต่อไป

“เรียกข้าแล้วแต่ที่เจ้าอยากเรียก เพราะมันไม่ได้เปลื่ยนตัวตนของข้าไป...” ยูนิคอร์ประสาทเริ่มเปิดปากออกมา “..แต่เรียกข้าว่า เบิร์นนิ่ง สตาร์ ถ้าท่านไม่รังเกียจ”

“ตามหลักการ เจ้าควรตายตั้งแต่การประหารครั้งแรกโดยการเผาทั้งเป็น” พัศดีเปิดบท “แต่ทว่าไม่รู้เพราะว่าอะไร เจ้าถึงรอดตาย...กลายมาเป็น...” พัศดีมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้ารังเกียจแฝงการล้อเลียนเอาไว้

“เวทย์มนต์แห่งความวุ่นวาย...” ผู้ใช้นาม เบิร์นนิ่ง สตาร์พูดแทรก “...ท่านเทพเจ้าดิสคอร์ดช่วยข้าจากความตาย...และมอบชีวิตใหม่ให้ข้า...” เบิร์นนิ่งพูดด้วยน้ำเสียงศรัทธา

“...งั้นทำไม ท่านเทพ ของเจ้ากลับไม่รักษารูปโฉมอันเคยงดงามของเจ้าละ เจ้าหนังไหม้” เปกาซัสร่างกำยำถามต่อ

“ความงามเป็นเพียงมารยาสมมุติของพวกคนเขลาอย่างเจ้า...” ยูนิคอร์นในชุดนักโทษตอบกลับ “อำนาจไม่เคยสนใจในมารยาสมมุติ โดยเฉพาะอำนาจเริ่มต้นอย่าง...ความวุ่นวาย...” เขาทำเสียงแหบแห้งกว่าปกติในคำท้ายๆ

“งั้นเทพเจ้าของเจ้าก็คงไม่ใส่ใจในความศรัทธาด้วยสินะ...” เปกาซัสหนุ่มพูดเย้ยเยาะ ทั้งๆที่เขาเริ่มจะขนลุกเล็กน้อย ก่อนที่เพชรฆาตจะรีบเอากระสอบป่านสวมลงบนศีรษะของนักโทษประหารปากมาก แต่ทว่าร่างนั้นกลับไม่ดิ้น แต่มีเสียงพึมพำอะไรสักอย่างมาแทน

เพชรฆาตทำท่าจะพางานไปทำให้เสร็จๆไป แต่เปกาซัสผู้คุมยื่นกีบห้ามเอาไว้ “ให้มันสวดมนต์ถึงพระเจ้าไร้ค่าของมันก่อน แล้วเราจะได้เห็นว่า วิหารของมัน เป็นวิหารที่ไม่มีจริง” เขาพูดเรียบๆ เพื่อแฝงเสียงสั่นเครือ

เพชรฆาตพยักหน้าด้วยความไม่พอใจ พลางทำเสียงฟึดฟัด ก่อนที่จะตะเกียงจะดับวูบลงโดยไม่มีเหตุผล จนห้องมืดสนิท

“เพชรฆาต! จับมันไว้ให้แน่น! อย่าให้มันหนีไปไหน!” พัศดีร้องด้วยเสียงตะโกนกึ่งตกใจ ห้องนี้เป็นห้องใต้ดิน ลมจะเข้ามาได้ไง พัศดีคิดในใจ เสียงวัตถุล้มทับตัวนักโทษดังขึ้น เขาพยายามรวบรวมสติเพื่อที่จะจุดไฟจากแท่งจุดไฟที่ทำจากโลหะ ประกายไฟเล็กๆปรากฎขึ้นใกล้ตะเกียง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดไฟขึ้นมา

ติดสิวะ! ติดสิวะ! ติดสิวะ!

ทันทีที่ไฟลุกลงบนเชือก แสงสว่างกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ตะเกียงก็ระเบิดออกอย่างรุนแรง เศษแก้วและน้ำมันกระจายไปทั่ว เสียงหัวเราะของนักบุญแห่งความวุ่นวายดังขึ้นก่อนที่เขาจะกำลังที่เยอะผิดจากร่างเล็กของเขา ผลักพัศดีออกไปแล้วควบหนีออกไปทางประตู ทิ้งร่างไร้วิญญาณที่ถูกเปลวไฟกลืนกินของพัศดีเอาไว้ณ เบื้องหลัง