เปิดบันทึกหน้าใหม่เลยทีเดียวเมื่อ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดตัวบริการ “BMW ConnectedDrive” พร้อมกับนำเสนอแพลตฟอร์ม “Open Mobility Cloud” ของบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งทำงานร่วมกับ ไมโครซอฟท์ อาซัวร์ ระบบคลาวด์อัจฉริยะระดับโลก เพื่อให้เกิดมิติการเชื่อมต่อแบบครบวงจร ตอบโจทย์ความสะดวกสบายและความปลอดภัยระดับพรีเมียม
การเปิดตัว BMW ConnectedDrive ในงานแถลงข่าว “BMW i และระบบการเชื่อมต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า 360° โดยความร่วมมือกับไมโครซอฟท์” นำเสนอแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อระหว่างผู้ขับขี่ ยานยนต์ และโลกภายนอก ซึ่งฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดนี้จะสามารถใช้งานได้ในรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ตระกูลบีเอ็มดับเบิลยู iPerformance ภายใต้วิสัยทัศน์ NUMBER ONE > NEXT ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ที่มุ่งไปสู่อนาคตแห่งยนตรกรรมในโลกดิจิทัล
ฟีเจอร์ของ BMW ConnectedDrive เป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง
BMW ConnectedDrive ทำงานบนระบบ Open Mobility Cloud ของบีเอ็มดับเบิลยู โดยล่าสุดมีแพลตฟอร์ม ไมโครซอฟท์ อาซัวร์ เข้ามาเป็นพื้นฐานของการพัฒนาบริการอัจฉริยะ ซึ่งนอกจากมีหน้าที่หลักในการเชื่อมโยงตัวรถเข้ากับสมาร์ทโฟนแล้ว ยังเชื่อมโยงคอนเทนต์และระบบเครือข่ายจากภายนอกได้อีกมาก ที่สำคัญ การมีระบบคลาวด์เข้ามาซัพพอร์ตยังช่วยให้ BMW ConnectedDrive สามารถวิเคราะห์และเรียนรู้จากข้อมูลปริมาณมหาศาลที่บันทึกจากการขับขี่ของผู้ใช้รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูได้อีกด้วย
ในด้านผู้ใช้งาน BMW ConnectedDrive จะสามารถควบคุมระบบต่างๆ ของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูปลั๊กอินไฮบริดได้จากระยะไกล สามารถเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับรถได้อย่างง่ายดายผ่านแอปพลิเคชัน BMW Connected บนไอโฟน (ระบบแอนดรอยด์จะใช้งานได้เร็วๆ นี้) โดยบริการใหม่สำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูปลั๊กอินไฮบริด ได้แก่
- การแสดงสถานะรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ที่ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบสถานะและระดับของแบตเตอรี่ ระยะทางที่คาดว่าจะแล่นได้ด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เหลืออยู่ และข้อมูลเกี่ยวกับการบำรุงรักษารถได้จากทุกที่ ทุกเวลา
- การควบคุมการชาร์จพลังงานไฟฟ้าและระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสารจากระยะไกล ผู้ใช้งานสามารถเปิด/ปิดเครื่องปรับอากาศในห้องโดยสารได้ผ่านทางสมาร์ทโฟน หรือตั้งเวลาเปิด/ปิดล่วงหน้าให้ตรงกับเวลาที่ต้องการออกเดินทาง และหากรถยนต์เชื่อมต่ออยู่กับสถานีชาร์จ ผู้ใช้งานยังสามารถควบคุมการชาร์จด้วยการตั้งเวลาที่ต้องการได้ เพื่อเลือกให้ชาร์จไฟฟ้าในช่วง off peak หรือในช่วงเวลาที่มีความต้องการในการใช้ไฟฟ้าน้อยและมีอัตราค่าไฟฟ้าต่ำกว่าช่วงเวลาอื่นๆ
- ระบบการนำทาง ที่สามารถค้นหาและนำทางไปยังสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดได้
- การประมวลและแสดงผลข้อมูลการขับขี่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ของแต่ละบุคคล โดยวิเคราะห์รูปแบบการขับขี่และควบคุมรถยนต์บนท้องถนน และในรถบางรุ่นที่มีกล้อง 360 องศา ผู้ขับขี่จะสามารถเช็คสภาพแวดล้อมรอบด้านของรถได้
นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยูยังให้บริการ Emergency Service สำหรับรถที่มี BMW ConnectedDrive ตลอดชีพ โดยมีปุ่ม SOS ที่แผงควบคุมด้านบนของกระจกหน้าให้ผู้ขับขี่สามารถกดปุ่มนี้ในกรณีฉุกเฉินเพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะสามารถทราบได้ว่า รถอยู่ที่พิกัดใด หมายเลขตัวถังรถคืออะไร รถยนต์เสียหายบริเวณใดบ้าง ในรถยนต์มีผู้โดยสารกี่คน คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่หรือไม่ ฯลฯ ในกรณีที่รถประสบอุบัติเหตุจนผู้ขับขี่ไม่สามารถพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ได้ ระบบ ConnectedDrive จะส่งข้อมูลไปยังศูนย์ข้อมูลบีเอ็มดับเบิลยูอัตโนมัติ ทางบีเอ็มดับเบิลยูก็จะประสานไปยังหน่วยกู้ภัย โรงพยาบาลในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อไปให้ความช่วยเหลือได้ทันท่วงที
คริสเตียน วิดมานน์ ประธานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวถึงปี พ.ศ. 2561 ว่า เป็นปีแห่งการครบรอบปีที่ 20 ของ BMW ConnectedDrive และบริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะก้าวต่อไปในฐานะผู้บุกเบิกการให้บริการดิจิทัลล้ำยุคแห่งโลกยนตรกรรมในระดับสากล
“บริการของเราล้วนได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างนิยามใหม่ให้แก่ประสบการณ์การขับขี่อย่างไร้ขีดจำกัดโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้ใช้งาน ซึ่งปัจจุบันแอปพลิเคชัน BMW Connected มีผู้ใช้งานมากกว่า 2.3 ล้านคน และมีรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูกว่า 10 ล้านคันใน 45 ประเทศทั่วโลกที่มีการเชื่อมต่อด้วยฟีเจอร์ของระบบ BMW ConnectedDrive”
ด้านการสร้างสรรค์ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่อยู่บนพื้นฐานแนวคิดของความยั่งยืน ดร.อเล็กซานเดอร์ คอเทช หัวหน้าฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์บีเอ็มดับเบิลยู i แสดงวิสัยทัศน์ว่า ความนิยมในยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดทั่วโลกและมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอีกมาก บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป จึงสร้างสายการประกอบรถยนต์ที่มีความยืดหยุ่นที่สุด โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ระบบไฟฟ้าโดยสมบูรณ์ ระบบปลั๊กอินไฮบริด และเครื่องยนต์สันดาปจะใช้สายการประกอบร่วมกัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ขับขี่ว่า บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป จะสามารถรองรับความต้องการในเรื่องของรุ่นรถยนต์และระบบขับเคลื่อนที่แตกต่างของผู้ขับขี่ได้ทุกที่ ทุกเวลา
ขณะที่ธุรกิจหลากประเภทกำลังถูก Disrupt ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงเรื่อง Disrupt และ Digital Transformation ว่า กระบวนการปฏิรูปด้วยดิจิทัลกำลังผลักดันให้ทุกอุตสาหกรรมและทุกองค์กรทั่วโลกต่างต้องพลิกรูปแบบการทำธุรกิจเพื่อชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน และสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์นั้น คาดการณ์กันว่าในปี พ.ศ. 2563 รถยนต์ใหม่ในตลาดโลกกว่า 90% จะมาพร้อมกับคุณสมบัติการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์หรือโลกภายนอก ซึ่งทั้ง BMW ConnectedDrive และแพลตฟอร์ม Open Mobility Cloud ล้วนเป็นเทคโนโลยีที่ปูทางไปสู่ประสบการณ์การขับขี่แห่งอนาคต
“ความร่วมมือของเรากับบีเอ็มดับเบิลยูถือเป็นการสานต่อวิสัยทัศน์ของโลกยุคใหม่ที่เปี่ยมด้วยศักยภาพอันเหนือชั้นทั้งในระบบคลาวด์ ซึ่งสามารถขับเคลื่อนเราไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมด้วยความสามารถอันน่าทึ่งในการประมวลผลข้อมูล และในอุปกรณ์ปลายทางที่นำนวัตกรรมอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Internet of Things (IoT) มาเสริมประสิทธิภาพและความคล่องตัวในทุกขณะของชีวิต” ธนวัฒน์กล่าว
อีกประเด็นที่ผู้ใช้งานอาจมีความกังวล คือ ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย ธนวัฒน์อธิบายว่า Open Mobility Cloud ทำงานอยู่บนไมโครซอฟต์ อาซัวร์ ระบบคลาวด์ที่ได้รับการรองรับมาตรฐานระดับโลกและระดับอุตสาหกรรมในด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลมากกว่า 70 มาตรฐาน รวมถึงการผ่านระเบียบการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล GDPR (General Data Protection Regulation) ที่สหภาพยุโรปกำหนดขึ้น ฐานข้อมูลต่างๆ จึงได้รับการปกป้องคุ้มครองเป็นอย่างดี
อเล็กซานเดอร์กล่าวเสริมว่า บีเอ็มดับเบิลยูการันตีเรื่องความปลอดภัย โดยรถยนต์ทุกคันจะต้องผ่านเทคโนโลยีวิศวกรรมขั้นสูงก่อนที่จะให้รถยนต์ออกวิ่งบนท้องถนน ซึ่งทางบีเอ็มดับเบิลยูจะตรวจสอบจนมั่นใจแล้วว่าสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่น
ทั้งนี้ บริการใหม่จาก BMW ConnectedDrive สำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู iPerformance จะมาพร้อมกับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป โดยรุ่นที่รองรับ ได้แก่
- บีเอ็มดับเบิลยู 330e
- บีเอ็มดับเบิลยู 530e
- บีเอ็มดับเบิลยู 740Le
นอกจากนี้ เพื่อรองรับการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยและตอบรับแผนระยะยาวของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานที่ตั้งเป้ายอดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในประเทศไทยไว้ 1.2 ล้านคัน ภายในปี 2579 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยจึงร่วมกับพันธมิตรในโครงการ ChargeNow เดินหน้าขยายเครือข่ายการให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะในโครงการ ChargeNow อย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 ปัจจุบันมีสถานีให้บริการทั้งหมด 14 หัวจ่ายทั่วประเทศไทย และเตรียมติดตั้งเพิ่มอีก 36 หัวจ่าย ภายในปี 2561 ด้วยเป้าหมายที่จะติดตั้งให้ครบทั้งหมด 50 หัวจ่ายในโครงการ ChargeNow ภายในปีนี้ โดยวางแผนการติดตั้งสถานีทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และสถานีในภูมิภาค โดยเฉพาะในจังหวัดหลักทั่วประเทศ ซึ่งเมื่อรวมกับสถานีอัดประจุไฟฟ้าอีก 50 แห่ง ณ ศูนย์บริการของผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย จะมีสถานีอัดประจุไฟฟ้ารวมทั้งหมด 100 แห่ง ภายในสิ้นปี 2561