ผู้คนมากมายทั่วโลกใช้ Avast เพื่อป้องกันอุปกรณ์ของตน แต่พวกเขาไม่รู้ว่า Avast ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้คนและขายข้อมูลผู้ใช้ให้กับบริษัทต่าง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเปรียบเทียบแอปนี้กับแอปความปลอดภัยที่ดีที่สุดที่มีให้บริการเพื่อดูว่ามันทำงานได้ดีแค่ไหน Show
ผมดำเนินการทดสอบ Avast และก็ประทับใจเป็นอย่างยิ่งกับความสามารถในการตรวจจับมัลแวร์และการรวบรวมฟีเจอร์ความปลอดภัยต่าง ๆ เช่น VPN ภายในตัวและแซนด์บ็อกซ์ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มาถึงจุดที่ว่าผมไม่สามารถไว้วางใจหรือเชื่อมั่นให้ Avast เป็นโซลูชันโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่น่าเชื่อถือได้ Avast ระบุว่าได้เปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวแล้ว แต่ผมพบว่าการเชื่อมั่นกับคำกล่าวอ้างนี้อย่างเต็มที่ยังคงเป็นเรื่องยาก โดยสาเหตุหลักของเรื่องนี้มาจากประวัติที่น่าสงสัยของบริษัทเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ผิดจรรยาบรรณในอดีต ดังนั้นผมจึงขอแนะนำให้คุณเลือกโปรแกรมแอนตี้ไวรัสอื่นที่เชื่อถือได้แทน ผมพิจารณาให้ Norton เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะประวัติความเป็นส่วนตัวที่ขาวสะอาดและความปลอดภัยระดับชั้นนำอุตสาหกรรม แถมคุณยังสามารถใช้ Norton โดยไม่มีความเสี่ยงได้ด้วยการรับประกันยินดีคืนเงินภายใน 60 วัน ลองใช้ Norton โดยไม่มีความเสี่ยง 60 วัน
เมื่อไม่นานมานี้มีการค้นพบว่า Avast แอบขายข้อมูลของผู้ใช้อย่างลับ ๆ ผ่านบริษัทย่อย Jumpshot ข้อมูลนี้รวมถึงประวัติการท่องเว็บของผู้คน ประวัติการค้นหา การเยี่ยมชม YouTube และอื่น ๆ อีกมากมาย มีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวผ่านส่วนขยายเบราว์เซอร์ของ Avast และบางส่วนผ่านโปรแกรมแอนตี้ไวรัสและถูกขายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใช้ ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นคือข้อมูลที่ Avast ขายไม่ได้เป็นข้อมูลที่ไม่เปิดเผยตัวตนอย่างเหมาะสม บริษัทใดก็ตามที่ซื้อข้อมูลนี้ไปสามารถระบุได้ว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นของใครหากพวกเขามีความรู้สักเล็กน้อยเกี่ยวกับกิจกรรมออนไลน์ของผู้ใช้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Avast ก็ได้ปิดตัว Jumpshot และอ้างว่าได้หยุดการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีนี้แล้ว นอกจากนี้ นโยบายความเป็นส่วนตัวที่อัปเดตแล้วยังระบุด้วยว่าผู้ใช้จะต้องเลือกรับการเก็บรวบรวมข้อมูลใด ๆ ก็ตาม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าขั้นตอนเหล่านี้จะเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่ผมก็ไม่สามารถโน้มน้าวตัวเองให้เชื่อมั่นใน Avast ได้ ผมจะขอแนะนำให้คุณเลือกโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่ไว้วางใจได้ที่มีความปลอดภัยและการจัดการข้อมูลที่ดีกว่าแทน การสแกนไวรัส – การสแกนมากมายที่ตรวจจับมัลแวร์ส่วนใหญ่ได้Avast มีการสแกนต่าง ๆ มากมายและมีอัตราการตรวจจับมัลแวร์ถึง 99.8% ในการทดสอบของผม ผมติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัสลงบนอุปกรณ์ทดสอบที่มีมัลแวร์ประเภทต่าง ๆ และ Avast ก็ตรวจพบเกือบทั้งหมด น่าเสียดายที่โปรแกรมดังกล่าวพลาดตัวอย่างแอนตี้ไวรัสไปเล็กน้อยและทำเครื่องหมายบวกผิดพลาดอยู่หลายรายการ ซึ่งหมายความว่าผลลัพธ์ของ Avast นั้นไม่น่าเชื่อถือเท่ากับโปรแกรมแอนตี้ไวรัสชั้นนำอื่น ๆ เช่น Norton คุณยังสามารถตรวจสอบการเปรียบเทียบ Avast vs ESET โดยละเอียดของเราได้อีกด้วย ผมดีใจที่ได้เห็นว่า Avast เสนอการสแกนประเภทต่าง ๆ มากมาย ซึ่งรวมถึง:
ผมประทับใจกับการสแกนไวรัสที่หลากหลายใน Avast ความเร็วการสแกนของ Avast จะขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ของคุณ แต่ผมพบว่าการสแกนนั้นค่อนข้างรวดเร็ว การสแกนแบบรวดเร็ว (Quick Scan) ใช้เวลาเพียง 2 นาทีเท่านั้นในการสแกนพื้นที่สำคัญของอุปกรณ์ของผม ในขณะที่การสแกนไวรัสแบบเต็ม (Full Virus Scan) ใช้เวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมงในการสแกนทั้งระบบของผม การป้องกันแบบเรียลไทม์ – การปิดกั้นภัยคุกคามซีโร่เดย์อย่างมีประสิทธิภาพแม้ว่าการสแกนไวรัสของ Avast จะพลาดภัยคุกคามบางอย่างไป แต่การป้องกันแบบเรียลไทม์นั้นเสนอความปลอดภัยที่ไว้วางใจได้มากกว่ามาก ในการทดสอบของผม Avast ตรวจพบและปิดกั้นภัยคุกคามแบบเรียลไทม์และซีโร่เดย์ได้ 100% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 98% แอปเสนอโล่ที่สำคัญมากมายเพื่อป้องกันคุณจากมัลแวร์แบบเรียลไทม์ ซึ่งรวมถึง:
โล่ป้องกันต่าง ๆ ของ Avast มอบความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ที่ยอดเยี่ยม ผมทดสอบการป้องกันแบบเรียลไทม์ของ Avast โดยการเปิดเว็บไซต์ที่เป็นอันตรายในระบบทดสอบของผมและดาวน์โหลดไฟล์ที่เป็นอันตรายต่าง ๆ Avast หยุดการดาวน์โหลดที่เป็นอันตรายเหล่านั้นได้สำเร็จ, ปิดกั้นมัลแวร์ทั้งหมดได้แบบเรียลไทม์และยังแจ้งเตือนให้ผมทราบทุกครั้งที่โปรแกรมหยุดภัยคุกคามได้ น่าเสียดายที่ความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ของ Avast ทำเครื่องหมายบวกผิดพลาดถึง 6 รายการ ซึ่งหมายความว่ามันไม่ได้มีการป้องกันอันไร้ที่ติในแบบที่คุณจะได้รับจากแอปความปลอดภัยชั้นนำอย่าง Norton การป้องกันฟิชชิ่ง – การป้องกันคุณจากการโจมตีฟิชชิ่งที่ไว้วางใจได้การโจมตีฟิชชิ่งจะหลอกให้ผู้ใช้มอบข้อมูลความลับ เช่น ข้อมูลลงชื่อเข้าใช้ รายละเอียดข้อมูลบัตรและข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ ให้ โชคดีที่ Avast มอบการป้องกันฟิชชิ่งที่ไว้วางใจได้ โดยจะตรวจสอบหน้าเว็บทั้งหมดที่คุณเยี่ยมชม Avast ปิดกั้นเว็บไซต์ฟิชชิ่งและแสดงคำเตือนพร้อมรายละเอียดกับคุณ ผมพยายามที่จะเข้าถึง URL ที่รู้กันว่าเป็นการฟิชชิ่งต่าง ๆ โดยที่มีการป้องกัน Avast ทำงานอยู่ในพื้นหลัง Avast ปิดกั้นโดเมนฟิชชิ่งได้ 86% ซึ่งถือว่าดี แต่ก็ยังมีประสิทธิภาพน้อยกว่าตัวเลือกชั้นนำอย่าง Bitdefender ซึ่งปิดกั้นโดเมนฟิชชิ่งได้มากกว่า 90% ไฟร์วอลล์ – ไฟร์วอลล์ที่ใช้งานง่ายที่มาพร้อมกับตัวเลือกในการปรับแต่งมากมายผมพบว่าไฟร์วอลล์ของแอปนี้เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ความปลอดภัยที่ดีที่สุด ไฟร์วอลล์ของ Avast ได้รับการกำหนดค่ามาล่วงหน้าเพื่อมอบความปลอดภัยต่อภัยคุกคามต่าง ๆ ที่คุณไว้วางใจได้และยังเสนอวิธีการต่าง ๆ มากมายในการปรับแต่งการตั้งค่าอย่างง่ายดาย เรื่องดีก็คือไฟร์วอลล์ของ Avast มีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายที่คุณสามารถดูกฎระเบียบทั้งหมดและเปลี่ยนมันได้ตามความต้องการของคุณ คุณสามารถปรับแต่งกฎระเบียบพื้นฐาน กฎระเบียบเครือข่ายและกฎระเบียบแอปพลิเคชันที่เฉพาะเจาะจงเพื่อให้มั่นใจว่าไฟร์วอลล์ของ Avast ทำงานได้ในแบบที่คุณต้องการ Avast ให้คุณปรับแต่งกฎระเบียบไฟร์วอลล์ได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้ง นอกจากจะเป็นด่านป้องกันแรกสำหรับภัยคุกคามไซเบอร์ส่วนใหญ่ที่ไว้วางใจได้แล้ว ไฟร์วอลล์ของ Avast ยังมีฟีเจอร์ดังต่อไปนี้สำหรับความปลอดภัยเพิ่มเติมด้วย:
โดยรวมแล้ว ผมพบว่า Avast มีไฟร์วอลล์ที่ยอดเยี่ยมที่มอบความปลอดภัยที่ดีสำหรับผู้ใช้มือใหม่และตัวเลือกแบบกำหนดเองมากมายสำหรับผู้ใช้ขั้นสูง โล่แรนซัมแวร์ – ป้องกันไฟล์ความลับจากการโจมตีโดยอัตโนมัติด้วยการโจมตีแรนซัมแวร์ที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผมจึงดีใจที่จะได้รายงานให้ทราบว่า Avast มีโล่ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันระบบของคุณจากแรนซัมแวร์ แรนซัมแวร์ทำให้ระบบของคุณติดมัลแวร์และเข้ารหัสไฟล์และเอกสารสำคัญ ซึ่งจะทำให้คุณเข้าถึงไฟล์เหล่านั้นไม่ได้จนกว่าคุณจะจ่ายเงินค่าไถ่ โล่แรนซัมแวร์ของ Avast ป้องกันโฟลเดอร์สำคัญของคุณจากการถูกแก้ไขโดยแอปที่ไม่น่าเชื่อถือโดยอัตโนมัติ คุณสามารถป้องกันไฟล์และเอกสารลับทั้งหมดของคุณได้โดยใช้โล่แรนซัมแวร์ของ Avast ผมยังชอบที่คุณสามารถเพิ่มโฟลเดอร์ไปยังโล่แรนซัมแวร์ของ Avast ได้หากระบบไม่ตรวจจับโฟลเดอร์ดังกล่าวโดยอัตโนมัติ แค่คลิกที่ปุ่มป้องกันโฟลเดอร์ใหม่ เลือกโฟลเดอร์ที่คุณต้องการป้องกันจากแรนซัมแวร์และ Avast จะป้องกันมันจากการถูกแก้ไข เครื่องมือตรวจสอบเครือข่าย – สแกนทั้งเครือข่ายของคุณเพื่อมองหาช่องโหว่เครื่องมือตรวจสอบเครือข่าย (Network Inspector) ของ Avast เป็นเครื่องมือที่เรียบง่าย แต่มีประโยชน์ที่จะสแกนทั้งเครือข่ายของคุณอย่างรวดเร็วและแจ้งให้คุณทราบเกี่ยวกับช่องโหว่ใด ๆ ที่คุณควรแก้ไขเพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ ก่อนที่จะดำเนินการสแกน เครื่องมือตรวจสอบเครือข่ายจะตรวจสอบเครือข่ายของคุณเพื่อแจ้งให้คุณทราบเมื่อใดก็ตามที่มีอุปกรณ์ใหม่เชื่อมต่อเข้ามา คุณสามารถใช้เครื่องมือตรวจสอบเครือข่ายของ Avast เพื่อค้นหาช่องโหว่ใด ๆ ในเครือข่ายในบ้านของคุณได้ เครื่องมือนี้จะให้คุณค้นหาว่าเครือข่ายของคุณมีรหัสผ่านที่อ่อนแอหรือพอร์ตที่เปิดไว้ที่ผู้บุกรุกสามารถใช้งานได้ เครื่องมือตรวจสอบเครือข่ายยังไฮไลท์ให้เห็นด้วยหากคุณมีช่องโหว่ในการโจมตี เช่น DoublePulsar ซึ่งจะติดตั้งประตูหลังที่ผู้บุกรุกสามารถใช้เพื่อรุกล้ำระบบของคุณได้ ส่วนขยายเบราว์เซอร์ที่ปลอดภัยออนไลน์ – ป้องกันคุณจากเว็บไซต์ที่เป็นอันตรายเพื่อความปลอดภัยทางออนไลน์เพิ่มเติม คุณสามารถใช้ส่วนขยายเว็บไซต์ความปลอดภัยทางออนไลน์ (Online Security) ของ Avast ที่จะแจ้งให้คุณทราบหากคุณกำลังเข้าถึงเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย ผมทดสอบส่วนขยายนี้บน Google Chrome และฟีเจอร์ดังกล่าวก็สแกนเว็บไซต์ทั้งหมดในผลลัพธ์การค้นหาและไฮไลท์ผลลัพธ์ที่ผมสามารถเยี่ยมชมได้อย่างปลอดภัย ส่วนขยายเบราว์เซอร์ความปลอดภัยทางออนไลน์ (Online Security) ของ Avast จะแจ้งให้คุณทราบอย่างรวดเร็วว่าเว็บไซต์ดังกล่าวปลอดภัยสำหรับการเยี่ยมชมหรือไม่ นอกจากความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ของ Avast แล้ว ส่วนขยาย Online Security ก็เป็นวิธีการที่ดีในการทำให้มั่นใจว่าคุณจะไม่มีวันเข้าถึงเว็บไซต์ที่เป็นอันตรายที่อาจทำให้ระบบของคุณติดไวรัสได้ แซนด์บ็อกซ์ – สภาพแวดล้อมแยกต่างหากสำหรับเปิดใช้โปรแกรมที่อาจเป็นอันตรายแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) คือหนึ่งในฟีเจอร์ที่โดดเด่นของแอปความปลอดภัยนี้ แซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) ของ Avast จะมอบสภาพแวดล้อมแยกต่างหากโดยสมบูรณ์ ซึ่งเป็นที่ที่คุณสามารถทดสอบแอปที่อาจเป็นอันตรายได้ โดยไม่ต้องกังวลว่ามันจะทำให้ระบบทั้งหมดของคุณเสียหาย ผมทดสอบแอปที่เป็นอันตรายมากมายได้อย่างปลอดภัยผ่านฟีเจอร์แซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) ของ Avast ผมยังชอบความง่ายในการใช้งานแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) ของ Avast ด้วย ง่าย ๆ เพียงเข้าถึงจากเมนูการป้องกัน, คลิกตัวเลือกเปิดใช้งานแอปในแซนด์บ็อกซ์, เลือกแอปและเปิดใช้งานแอปดังกล่าว แอปจะทำงานในสภาพแวดล้อมแยกต่างหากโดยสมบูรณ์ ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบพฤติกรรมและตัดสินใจได้ว่าแอปดังกล่าวเป็นอันตรายหรือไม่ เว็บไซต์ของจริง (Real Site) – ทำให้มั่นใจว่าไม่มีการเปลี่ยนเส้นทางคุณไปยังเว็บไซต์ปลอมReal Site คือเครื่องมือใน Avast ที่จะทำให้มั่นใจว่าคุณเข้าถึงเว็บไซต์ของจริงอยู่เสมอ แฮกเกอร์สามารถทำให้คุณเปิดเผยข้อมูลความลับได้โดยการเปลี่ยนเส้นทางของคุณไปยังเว็บไซต์ปลอมที่คุณจะต้องกรอกรายละเอียดอย่างรหัสผ่านและข้อมูลการธนาคาร แต่ถึงอย่างนั้น Real Site จะมอบการเชื่อมต่อเข้ารหัสระหว่างเว็บเบราว์เซอร์ของคุณกับเซิร์ฟเวอร์ DNS ของ Avast เพื่อให้มั่นใจว่าคุณได้เข้าถึงเว็บไซต์ของจริง ประสิทธิภาพของระบบ – ความล่าช้าที่สังเกตเห็นได้ในประสิทธิภาพของอุปกรณ์Avast ใช้ทรัพยากรระบบมากกว่าโปรแกรมแอนตี้ไวรัสส่วนใหญ่และไม่ได้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดหากคุณต้องการประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ผมทดสอบผลกระทบของ Avast ที่มีต่อประสิทธิภาพโดยการเปิดใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ, เปิดเว็บไซต์มากมายและคัดลอกไฟล์ไปยังไดร์ฟเสริมในขณะที่โปรแกรมทำงานอยู่ในพื้นหลัง Avast ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม การเปิดใช้งานซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งไว้แล้ว 17% 9% การเปิดเว็บไซต์ 22% 17% การถ่ายโอนไฟล์ 4% 2% จากผลลัพธ์ข้างต้น เห็นได้ชัดเลยว่า Avast ทำให้ระบบของคุณทำงานช้าลงมากกว่าโปรแกรมแอนตี้ไวรัสส่วนใหญ่ หากคุณกำลังมองหาโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่มีการป้องกันที่แข็งแกร่งที่ไม่ทำให้ระบบของคุณทำงานช้าลง ผมขอแนะนำให้คุณใช้ Norton เพื่อประสิทธิภาพที่ราบรื่นของอุปกรณ์ บริการดังกล่าวใช้ทรัพยากรน้อยมากและจะไม่มีวันทำให้ระบบของคุณช้าลงเลย ลองใช้ Norton แบบไม่มีความเสี่ยง 60 วัน โปรแกรมแอนตี้ไวรัส Avast เสนอฟีเจอร์ความปลอดภัยมากมายเพื่อป้องกันอุปกรณ์ของคุณ นอกจากความสามารถในการตรวจจับมัลแวร์อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว Avast ยังมีเครื่องมือย่าง VPN ภายในตัว, สภาพแวดล้อมการธนาคารอย่างปลอดภับ, เบราว์เซอร์ที่ปลอดภัยและอื่น ๆ อีกมากมาย SecureLine VPN – มอบความปลอดภัยและไม่เปิดเผยตัวตนในขณะที่คุณกำลังท่องเว็บSecureLine VPN ของ Avast พร้อมให้บริการในแพ็กเกจ Avast Ultimate ฟีเจอร์ดังกล่าวใช้การเข้ารหัส AES 256-บิตเพื่อป้องกันกิจกรรมการท่องเว็บของคุณและดูแลให้คุณไม่ถูกเปิดเผยตัวตนทางออนไลน์ VPN ของ Avast มีเซิร์ฟเวอร์มากมายในประเทศต่าง ๆ กว่า 30 ประเทศและมีเซิร์ฟเวอร์สำหรับการสตรีมมิ่งและเซิร์ฟเวอร์ที่ได้รับการปรับแต่งสำหรับ P2P อีกเพียบ SecureLine VPN มีเซิร์ฟเวอร์มากมายที่ได้รับการปรับแต่งสำหรับการโหลดบิท ในการทดสอบของผม ผมพบว่า VPN ของ Avast ทำงานได้ช้ากว่า VPN ที่ดีที่สุดที่มีให้บริการเล็กน้อย ความเร็วการเชื่อมต่อโดยปกติแล้วจะลดลงประมาณ 30% เมื่อเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้เคียงและลดลงสูงสุดถึง 50% ในเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ห่างไกล ดังนั้นแม้ว่าเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้จะมีความเร็วที่รวดเร็วพอสำหรับการสตรีมมิ่งในความละเอียดระดับ HD และท่องเว็บได้โดยไม่กระตุก แต่คุณก็อาจจะประสบกับความล่าช้าได้ในเซิร์ฟเวอร์ของ Avast ที่อยู่ห่างไกล ผมยังทดสอบประสิทธิภาพการสตรีมมิ่งของ VPN นี้ด้วย ในระหว่างการทดสอบ เซิร์ฟเวอร์ที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อการสตรีมมิ่งของ Avast ปลดบล็อก Netflix, BBC iPlayer, Hulu, Disney+, ESPN และแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งยอดนิยมอื่น ๆ ได้สำเร็จ โดยรวมแล้ว แม้ว่า VPN ของ Avast ยังมีประสิทธิภาพที่ยอมรับได้ แต่โปรแกรมแอนตี้ไวรัสชั้นนำอื่น ๆ มี VPN ภายในตัวที่ดีกว่าที่ตอบโจทย์คุณได้มากกว่า Cleanup Premium – ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบของคุณและล้างไฟล์ขยะCleanup Premium เป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ Avast มันเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมที่ค้นพบปัญหาต่าง ๆ ที่ทำให้ระบบของคุณทำงานช้าลงและซ่อมแซมแต่ละปัญหาดังกล่าว ผมทดสอบ Avast Cleanup Premium บนระบบของผมและมันก็ตรวจพบไฟล์ขยาย ปัญหารีจิสทรี โปรแกรมที่ทำให้ระบบของผมช้าและอื่น ๆ อีกมากมาย คุณสามารถเพิ่มความเร็วระบบของคุณได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ มากมายด้วย Avast Cleanup Premium หลังจากปฏิบัติตามการแก้ไขที่แนะนำโดยเครื่องมือ Cleanup Premium ผมก็สังเกตเห็นการพัฒนาในประสิทธิภาพระบบของผมเป็นอย่างมาก ระยะเวลาบูตระบบของผมลดลงและมีพื้นที่ว่างบนไดร์ฟของผมมากขึ้น เบราว์เซอร์ที่ปลอดภัย (Secure Browser) – เบราว์เซอร์ที่มุ่งเน้นความเป็นส่วนตัวที่ปิดกั้นโฆษณาและการติดตามSecure Browser ของ Avast คล้ายกันกับของ Chrome แต่ดีกว่ามากในเรื่องการรักษาความเป็นส่วนตัวในขณะที่คุณท่องเว็บ Secure Browser ของ Avast มีการปิดกั้นโฆษณาภายในตัวและหยุดการติตามไม่ให้ตรวจสอบกิจกรรมออนไลน์ของคุณได้ นอกจากการปิดกั้นโฆษณาและการติดตามแล้ว Secure Browser ยังบังคับให้เว็บไซต์ที่คุณเยี่ยมชมใช้การเข้ารหัสด้วย แถมมันยังหยุดการพยายามฟิชชิ่ง ซึ่งจะป้องกันคุณจากการเยี่ยมชมหน้าเว็บที่เป็นอันตรายและปิดกั้นการดาวน์โหลดใด ๆ ที่มีไฟล์ที่เป็นอันตรายด้วย ในแง่ของความเร็ว Avast Secure Browser นั้นมีความเร็วพอ ๆ กับเบราว์เซอร์ยอดนิยม เช่น Chrome และ Firefox ในเรื่องของการโหลดเว็บไซต์และสตรีมมิ่งวิดีโอ โหมดธนาคาร (Bank Mode) – มอบสภาพแวดล้อมแยกต่างหากสำหรับการธนาคารที่ปลอดภัยโหมดธนาคาร (Bank Mode) เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่โดดเด่นของ Avast และเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับการใช้งานเมื่อคุณต้องการเข้าถึงเว็บไซต์การธนาคารหรือช้อปออนไลน์อย่างปลอดภัย เมื่อคุณเปิดใช้งานโหมดธนาคารของ Avast มันจะเปิดสภาพแวดล้อมแยกต่างหากในระบบของคุณ ซึ่งเป็นที่ที่คุณสามารถปิดเบราว์เซอร์ที่ต้องการที่มีความปลอดภัยเพิ่มเติมได้ โหมดธนาคารมอบวิธีการธนาคารและช้อปออนไลน์อย่างปลอดภัย สภาพแวดล้อมแยกต่างหากของโหมดธนาคารจะให้คุณใช้เบราว์เซอร์ใด ๆ เช่น Chrome, Firefox หรือ Edge ได้อย่างสบายใจ คุณสามารถเข้าถึงบัญชีการธนาคารของคุณและช้อปออนไลน์ได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับบุคคลที่สามที่เป็นอันตราย การแจ้งเตือนการแฮก (Hack Alerts) – ตรวจสอบอีเมลของคุณเพื่อมองหาข้อมูลลงชื่อเข้าใช้ที่รั่วไหลใด ๆฟีเจอร์การแจ้งเตือนการแฮก (Hack Alerts) คือการตรวจสอบข้อมูลตัวตน/เว็บมืดเวอร์ชันของ Avast และจะแจ้งเตือนให้คุณทราบหากข้อมูลลงชื่อเข้าใช้ใด ๆ ของคุณเกิดรั่วไหลในการรั่วไหลของข้อมูล ผมประทับใจอย่างยิ่งกับความง่ายในการใช้งานฟีเจอร์นี้ ง่าย ๆ เพียงกรอกอีเมลที่คุณต้องการจะตรวจสอบและ Avast จะดำเนินการสแกนอย่างต่อเนื่องและแจ้งให้คุณทราบหากรหัสผ่านของคุณเกิดรั่วไหล คุณสามารถตรวจสอบอีเมลของคุณเพื่อมองหาการรั่วไหลได้โดยใช้ Hack Alerts Avast ผมยังชอบที่ฟีเจอร์ Hack Alerts ของ Avast ไม่จำกัดอีเมลเพียงอีเมลเดียว หากคุณเชื่อมต่อกับบัญชีต่าง ๆ มากมาย คุณจะสามารถกรอกอีเมลมากมายเหล่านั้นได้และ Avast จะตรวจสอบบัญชีใด ๆ โดยใช้อีเมลเหล่านั้น ฟีเจอร์โบนัส – เครื่องมือกำจัดไฟล์ถาวร, เครื่องมืออัปเดตซอฟต์แวร์, โล่เว็บแคมและอื่น ๆ อีกมากมายนอกจากฟีเจอร์ข้างต้นแล้ว Avast ยังมีเครื่องมืออื่น ๆ ซึ่งมอบความปลอดภัยเพิ่มเติมให้กับระบบของคุณด้วย เครื่องมือกำจัดไฟล์ถาวร (Data Shredder) ของ Avast จะช่วยคุณลบไฟล์หรือโฟลเดอร์ความลับที่คุณไม่ต้องการให้ใครเข้าถึงได้โดยถาวร เครื่องมือกำจัดไฟล์ถาวรยังมีแม้กระทั่งฟีเจอร์เครื่องมือกำจัดไดร์ฟที่คุณสามารถใช้เพื่อลบทั้งไดร์ฟได้หากไดร์ฟดังกล่าวมีข้อมูลความลับอยู่มากมาย คุณยังสามารถใช้เครื่องมืออัปเดตซอฟต์แวร์ (Software Updater) ของ Avast ซึ่งสแกนแอปที่ติดตั้งทั้งหมดของคุณและตรวจสอบการอัปเดต การมีแอปที่อัปเดตล่าสุดเป็นเรื่องสำคัญเพื่อทำให้มั่นใจว่าคุณจะไม่มีช่องโหว่ใด ๆ ให้แฮกเกอร์ใช้ประโยชน์ได้ นอกจากนี้ยังมีโล่เว็บแคม (Webcam Shield) ที่ป้องกันการเข้าถึงเว็บแคมของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต ผมยังชอบที่ Webcam Shield สามารถปรับแต่งได้ ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถตัดสินใจได้ว่าแอปใดบ้างที่สามารถเข้าถึงเว็บแคมของระบบของคุณได้ แม้ว่า Avast จะไม่มีเครื่องมือจัดการรหัสผ่านอีกต่อไป แต่มันก็มีฟีเจอร์การป้องกันรหัสผ่าน (Password Protection) ที่จะป้องกันรหัสผ่านที่คุณจัดเก็บเอาไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ มันเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ที่จะป้องกันรหัสผ่านเว็บเบราว์เซอร์เพราะมันมักจะมีช่องโหว่สำหรับแอปที่เป็นอันตราย สุดท้าย Avast มีโล่ป้องกันการเข้าถึงจากระยะไกล (Remote Access Shield) ที่จะให้คุณตัดสินใจว่าหมายเลข IP ใดบ้างที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบของคุณจากระยะไกลได้ โล่นี้จะปิดกั้นการเชื่อมต่อจากหมายเลข IP ที่รู้ว่าเป็นอันตรายโดยอัตโนมัติและทำให้มั่นใจว่ามีเพียงบุคคลที่ไว้วางใจได้เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงระบบของคุณจากระยะไกลได้ โดยรวมแล้ว ผมประทับใจกับฟีเจอร์ที่หลากหลายที่มีให้บริการในชุดความปลอดภัยของ Avast แต่ถึงอย่างนั้น แอปแอนตี้ไวรัสอื่น ๆ ก็ยังมอบฟีเจอร์ให้มากกว่า นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัวกับ Avast ด้วย ดังนั้นผมจึงไม่สามารถแนะนำให้ใชแอปความปลอดภัยที่ไว้วางใจได้อื่น ๆ แทนตัวเลือกนี้ ผมขอแนะนำให้คุณใช้ Norton เพื่อป้องกันระบบของคุณเพราะมันมีฟีเจอร์ความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพมากมายหลายฟีเจอร์ ป้องกันระบบของคุณด้วย Norton Avast ทำงานได้บน Windows (7 และใหม่กว่า), macOS (10.11 และใหม่กว่า), Android (6.0 และใหม่กว่า) และiOS (14.0 และใหม่กว่า) ผมพบว่าแอปของ Avast ทั้งหมดเรียบง่ายและใช้งานได้ง่าย แถมยังใช้เวลาติดตั้ง Avast บนเดสก์ท็อปได้ภายในไม่กี่นาทีและคุณสามารถดาวน์โหลดแอปมือถือผ่านร้านค้าแอปที่เกี่ยวข้องได้ทันที แอปสำหรับเดสก์ท็อป – แอปสำหรับ Windows มีฟีเจอร์มากมาย macOSแอปสำหรับเดสก์ท็อปของ Avast เสนอการออกแบบที่ใช้งานง่ายที่แม้แต่ผู้ใช้ที่ไม่มีความรู้ทางเทคโนโลยีก็ยังสามารถใช้งานได้ Avast มีเมนูที่เข้าถึงได้ง่ายทางซ้ายมือที่มีฟีเจอร์ทั้งหมด การสแกนไวรัสอยู่ในแท็บการป้องกัน ฟีเจอร์ที่มุ่งเน้นความเป็นส่วนตัวจะอยู่ในแท็บความเป็นส่วนตัวและเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพจะอยู่ในแท็บประสิทธิภาพ สามารถเข้าถึงและใช้งานฟีเจอร์ Avast ทั้งหมดในแอปสำหรับเดสก์ท็อปได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าแอปสำหรับเดสก์ท็อปจะมีการออกแบบที่ดี แต่ผมไม่ชอบที่ Avast พยายามจะขายอย่างต่อเนื่องในขณะที่คุณใช้งานแอป ผมได้รับ “ของขวัญต้อนรับ” ตอนที่ผมเริ่มใช้เวอร์ชันฟรี ซึ่งเป็นส่วนลดเล็กน้อยสำหรับแผนสมาชิกแบบชำระเงิน แถมยังมีส่วนร้านค้าในแอปพลิเคชันบนเดสก์ท็อปเพื่อสำหรับการสมัครสมาชิกบริการของ Avast อื่น ๆ ด้วย มีฟีเจอร์บางส่วนในแอปสำหรับ Windows ของ Avast ที่คุณจะไม่พบในเวอร์ชัน macOS ตัวอย่างเช่น แอปสำหรับ macOS ของ Avast ไม่มีเครื่องมือตรวจสอบเครือข่าย ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ที่ผมมักใช้เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยเครือข่ายของผม แอปสำหรับมือถือ – แอปที่ทรงพลังสำหรับ Android และ iOSแม้ว่าโปรแกรมแอนตี้ไวรัสมากมายจะมีแอปสำหรับมือถือที่จำกัด แต่ Avast Mobile Security เต็มไปด้วยฟีเจอร์มากมายเหมือนกับแอปสำหรับเดสก์ท็อป ในฐานะส่วนหนึ่งในสิ่งพิมพ์ชั้นนำของเรา เราครอบคลุมบทความที่มุ่งเน้นที่ VPN, อิสรภาพทางอินเทอร์เน็ตและความเป็นส่วนตัวทางออนไลนื สำหรับผู้อ่านของเราที่อาจไม่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและมองหาโซลูชันที่ใช้งานง่าย เราจะเน้นย้ำถึงฟีเจอร์สำคัญที่พบทั้งในแอปสำหรับ Android และ iOS แอปพลิเคชันเหล่านี้มาพร้อมกับฟังก์ชันการทำงานที่สำคัญ เช่น ตู้นิรภัยรูปภาพเข้ารหัส เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ เครื่องสแกน WiFi และอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ผู้ใช้ยังจะพบกับเครื่องมือยกระดับแบตเตอรี่และฟีเจอร์ Boost RAM ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันแอปที่ไม่จำเป็นไม่ให้ทำงาน ซึ่งทำให้มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่ราบรื่นมากยิ่งขึ้น แอปสำหรับ iOS และ Android ของ Avast มีการออกแบบที่เรียบง่ายมาก น่าเสียดายที่มีการพยายามขายอย่างต่อเนื่องที่ผมพบในขณะที่ใช้แอปสำหรับเดสก์ท็อปของ Avast บนแอปสำหรับมือถือด้วยเช่นกัน หากคุณไม่ได้สมัครสมาชิกพรีเมียม Avast Mobile จะย้ำเตือนคุณเกี่ยวกับฟีเจอร์ที่คุณไม่มีอย่างต่อเนื่องและแนะนำแผนสมาชิกที่คุณสามารถสมัครได้ วิธีใช้ Premium Security เวอร์ชันฟรีของ Avast บน Windowsในการทดสอบของผม ผมพบว่าฝ่ายสนับสนุนลูกค้าของ Avast ดีพอใช้ บริการดังกล่าวเสนอช่องทางความช่วยเหลือที่จำเป็นทั้งหมด ซึ่งรวมถึงแชทออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง, ฝ่ายสนับสนุนทางโทรศัพท์, ฝ่ายสนับสนุนทางอีเมลและฟอรั่มคอมมูนิตี้ แต่ช่องทางทั้งหมดให้บริการได้ช้ากว่าที่ผมคาดหวังเอาไว้ น่าเสียดายที่คุณสามารถติดต่อฝ่ายสนับสนุนของ Avast ได้เฉพาะหากคุณใช้หนึ่งในผลิตภัณฑ์แบบชำระเงินของพวกเขาเท่านั้น หากคุณต้องการความช่วยเหลือทางเทคนิคสำหรับหนึ่งในข้อเสนอฟรีของ Avast เว็บไซต์จะเปลี่ยนเส้นทางของคุณไปยังฟอรั่มหรือฐานข้อมูลความรู้แทน แชทออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง – ความช่วยที่ช้า แต่มีประโยชน์ผ่านแชทออนไลน์แม้ว่าผมจะพบว่าฝ่ายสนับสนุนแชทออนไลน์ของ Avast นั้นมีประโยชน์โดยรวม แต่ก็ต้องใช้เวลาสักพักกว่าคุณจะสามารถเชื่อมต่อกับเจ้าหน้าที่ได้ คุณต้องไปยังเว็บไซต์ของ Avast, เลือกปัญหาของคุณ, กรอกแบบฟอร์มและรอสักพักก่อนที่จะเชื่อมต่อกับเจ้าหน้าที่ได้ โชคดีที่เจ้าหน้าที่มีความรู้และจะมอบคำตอบที่คุณต้องการเพื่อแก้ไขปัญหาของคุณ ใช้เวลาสักพัก แต่ฝ่ายสนับสนุนแชทออนไลน์ของ Avast ก็ให้คำตอบที่มีประโยชน์สำหรับคำถามของผม ผมสังเกตเห็นว่าบางครั้งเจ้าหน้าที่ก็หยุดพักแชทเอาไว้เป็นเวลาสองสามทีหลังจากที่คุณโพสต์คำถามไปแล้ว ตัวอย่างเช่น ตอนที่ผมสอบถามเกี่ยวกับฟีเจอร์การแจ้งเตือนการแฮกของ Avast ตัวแทนแชทออนไลน์ก็ขอเวลา 2 ถึง 3 นาทีก่อนที่จะให้คำตอบได้ นี่เป็นบางสิ่งที่ผมไม่พบในขณะที่ใช้ฝ่ายสนับสนุนแชทออนไลน์จากผู้ให้บริการโปรแกรมแอนตี้ไวรัสชั้นนำอื่น ๆ เช่น Norton ฝ่ายสนับสนุนทางโทรศัพท์ – พร้อมให้บริการในประเทศที่เลือกฝ่ายสนับสนุนทางโทรศัพท์ของ Avast เปิดให้บริการเฉพาะในไม่กี่ประเทศ ซึ่งรวมถึงสหรัฐอเมริกา แคนาดาและสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกันกับช่องทางความช่วยเหลืออื่น ๆ ของ Avast ต้องใช้เวลาสักพักในการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนทางโทรศัพท์ แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าหน้าที่ก็ให้ความช่วยเหลือได้หลังจากที่คุณเชื่อมต่อได้แล้ว ฝ่ายสนับสนุนทางอีเมล – ตอบกลับช้าน่าเสียดายที่ฝ่ายสนับสนุนทางอีเมลของ Avast ตอบสนองช้าตอนที่ผมติดต่อผ่านทางช่องทางนี้ ผมใช้แบบฟอร์มในหน้าความช่วยเหลือของ Avast เพื่อติดต่อฝ่ายสนับสนุนผ่านทางอีเมลและสอบถามคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับฟีเจอร์ของแอป อีเมลยืนยันระบุว่าผมจะได้รับการตอบกลับใน 48 ชั่วโมง แต่จริง ๆ แล้วใช้เวลานานกว่า 2 วันในการตอบกลับ แอปความปลอดภัยชั้นนำอื่น ๆ มักจะมีฝ่ายสนับสนุนทางอีเมลที่ดีกว่าที่จะตอบกลับภายใน 12 ถึง 24 ชั่วโมง ฐานข้อมูลความรู้ออนไลน์ – ฐานข้อมูลความรู้โดยละเอียดที่มีข้อมูลเกี่ยวกับแอปที่มีประโยชน์เว็บไซต์ของ Avast มีฐานข้อมูลความรู้โดยละเอียดที่มีข้อมูลเกี่ยวกับแอปที่มีประโยชน์มากมาย ฐานข้อมูลความรู้จะอธิบายวิธีการติดตั้ง Avast บนอุปกรณ์ต่าง ๆ กับคุณ, วิธีใช้ฟีเจอร์ของแอป, วิธีแก้ไขปัญหาที่พบบ่อยและอื่น ๆ อีกมากมาย ฐานข้อมูลความรู้ยังมีฟังก์ชันการค้นหาที่จะช่วยคุณค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อที่เฉพาะได้อย่างง่ายดายอีกด้วย ฟอรั่มคอมมูนิตี้ – เหมาะสำหรับคำถามที่ไม่เร่งด่วนนอกจากช่องทางความช่วยเหลืออื่น ๆ แล้ว Avast ก็มีฟอรั่มคอมมูนิตี้ที่มีการใช้งานที่คุณสามารถติดต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอความช่วยเหลือได้ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่วิธีการขอความช่วยเหลือที่รวดเร็วที่สุดเนื่องจากต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะมีคนมาตอบกระทู้ของคุณ โดยรวมแล้วแม้ว่ามันจะมีช่องทางสนับสนุนลูกค้าที่จำเป็นทั้งหมด แต่ฝ่ายสนับสนุนลูกค้าของ Avast ก็ไม่ได้ทำให้ผมประทับใจมากนัก แม้ว่าผมจะได้รับคำตอบที่มีประโยชน์สำหรับคำถามของผม แต่ฝ่ายสนับสนุนมักจะตอบสนองช้าโดยไม่คำนึงถึงว่าคุณติดต่อพวกเขาอย่างไร Avast มีแผนสมาชิกมากมายและมีแม้กระทั่งเวอร์ชันฟรีที่มอบความปลอดภัยให้ในระดับดี แต่ถึงอย่างนั้นเวอร์ชันฟรีก็มีเพียงการป้องกันพื้นฐานและโปรแกรมแอนตี้ไวรัสอื่น ๆ ก็มอบความคุ้มค่าให้ได้มากกว่าสำหรับแผนสมาชิกแบบชำระเงิน นอกจากนี้เมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงเรื่องการเก็บข้อมูลแล้ว ผมขอแนะนำให้คุณลองใช้ตัวเลือกที่ไว้วางใจได้อย่าง Norton ซึ่งมีนโยบายความเป็นส่วนตัวที่เข้มงวดและการตรวจจับมัลแวร์อันไร้ที่ติ โปรแกรมแอนตี้ไวรัส Avast ฟรี – การป้องกันพื้นฐานที่ดีแบบไม่มีค่าใช้จ่ายแผนสมาชิกฟรีเป็นตัวเลือกที่ดีอย่างน่าประหลาดใจเมื่อเทียบกับแอปความปลอดภัยฟรีอื่น ๆ แผนสมาชิกฟรีของ Avast มีฟีเจอร์โปรแกรมแอนตี้ไวรัส, ไฟร์วอลล์, การป้องกันแรนซัมแวร์, การป้องกันเครือข่ายและความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ Avast Premium Security – เสนอฟีเจอร์ความปลอดภัยที่มีประโยชน์มากมายในราคาที่เหมาะสมAvast Premium Security มอบฟีเจอร์ให้มากกว่าแผนสมาชิกฟรีและดีกว่าสำหรับการป้องกันที่ครบครันกว่า นอกจากฟีเจอร์โปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่มีให้บริการในแผนสมาชิกฟรีแล้ว Avast Premium Security ยังมีฟีเจอร์ดังต่อไปนี้:
Avast Ultimate – แผนสมาชิกที่มีฟีเจอร์มากที่สุดของ Avast ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบความปลอดภัยที่เข้มงวดAvast Ultimate อยู่ไม่ห่างจาก Avast Premium Security เมื่อพูดถึงฟีเจอร์ แต่ถึงอย่างนั้น Avast Ultimate ก็มีเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่าง SecureLine VPN, ฟีเจอร์ Cleanup Premium และ Avast AntiTrack ของ Avast เช่นเดียวกันกับแผนสมาชิก Premium Security คุณสามารถใช้ Avast Ultimate เพื่อป้องกันอุปกรณ์ต่าง ๆ ในเวลาเดียวกันได้สูงสุดถึง 10 อุปกรณ์ คุณสามารถรับส่วนลดเล็กน้อยสำหรับราคาโดยรวมได้หากคุณเลือกสมัครสมาชิกสำหรับ 1 อุปกรณ์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงส่วนต่างราคาในระดับปานกลาง การเลือกการป้องกันสำหรับ 10 อุปกรณ์ก็ถือว่าคุ้มค่า Avast One – แผนสมาชิกสำหรับส่วนบุคคลและครอบครัวAvast เสนอแผนสมาชิก Avast One ที่คล้ายกันกับ Avast Ultimate ที่มีฟีเจอร์ของแอปทั้งหมด ผมพบว่าแผนสมาชิก Avast One จริง ๆ แล้วมอบความคุ้มค่าให้ได้มากกว่า Avast Ultimate เพราะมันมีฟีเจอร์ของแอปทั้งหมด ซึ่งรวมถึง VPN แต่ในราคาที่ถูกกว่า ความแตกต่างที่สำคัญอย่างเดียวระหว่างแผนสมาชิก Avast One และ Avast Antivirus มาตรฐานคือจำนวนอุปกรณ์ที่คุณสามารถป้องกันได้ ในขณะที่ Avast Premium Security และ Avast Ultimate ให้คุณป้องกันอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้สูงสุดถึง 10 อุปกรณ์ คุณจะสามารถป้องกันอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้สูงสุดถึง 5 อุปกรณ์เท่านั้นด้วยแผนสมาชิกส่วนบุคคล Avast One แต่ถึงอย่างนั้น Avast One ก็ยังมอบแผนสมาชิกสำหรับครอบครัวที่มีฟีเจอร์เหมือนกัน แต่แผนสมาชิกสำหรับครอบครัวจะป้องกันได้สูงสุดถึง 30 อุปกรณ์และเป็นตัวเลือกที่ดีหากคุณมีอุปกรณ์ที่ต้องได้รับการป้องกันเป็นจำนวนมากที่บ้าน เวอร์ชันทดลองใช้งานฟรี 30 วัน – ทดสอบ Avast Premium Security โดยไม่มีความเสี่ยงAvast เสนอเวอร์ชันทดลองใช้งานฟรี 30 วันสำหรับแผนสมาชิก Premium Security คุณสามารถใช้เวอร์ชันฟรีได้ง่าย ๆ โดยการติดตั้งแอปจากเว็บไซต์ทางการและเปิดใช้งานเวอร์ชันทดลองใช้งานหลังจากที่ติดตั้งเสร็จ เวอร์ชันนี้จะให้คุณทดสอบฟีเจอร์ทั้งหมดที่มีใน Avast Premium Security ได้โดยไม่มีความเสี่ยง แต่ถึงอย่างนั้น เวอร์ชันฟรีก็ไม่มีฟีเจอร์อย่าง SecureLine VPN และ Avast AntiTrack การรับประกันยินดีคืนเงินภายใน 30 วัน – Avast ทำให้การขอเงินคืนเป็นเรื่องง่ายAvast เสนอการรับประกันยินดีคืนเงินภายใน 30 วันสำหรับแผนสมาชิกพรีเมียม ผมชอบที่การขอเงินคืนหากคุณไม่พึงพอใจกับ Avast นั้นเป็นเรื่องง่าย ๆ ปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้เพื่อรับเงินคืน:
หลังจากที่ส่งคำขอคืนเงินแล้ว ผมก็ได้รับอีเมลยืนยันภายในหนึ่งนาทีและได้รับเงินคืนภายในหนึ่งสัปดาห์ นอกจากนี้ หากคุณไม่สามารถใช้วิธีการข้างต้นได้ คุณก็สามารถติดต่อฝ่ายสนับสนุนลูกค้าของ Avast ผ่านแชทออนไลน์และขอเงินคืนโดยการแจ้ง ID คำสั่งซื้อของคุณให้เจ้าหน้าที่ทราบ Avast Premium Security $ 4.16 ต่อ เดือน You Save 37% บทสรุปแม้ว่า Avast จะมีฟีเจอร์ความปลอดภัยและการตรวจจับมัลแวร์ที่น่าประทับใจผ่านการสแกนและแบบเรียลไทม์ แต่ผมก็ไม่คิดว่านี่เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า โปรแกรมแอนตี้ไวรัสชั้นนำอื่น ๆ เสนอความปลอดภัยและความคุ้มค่าได้มากกว่า นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับการใช้ Avast ซึ่งทำให้ผมรู้สึกแย่มากยิ่งขึ้นด้วย หากคุณกำลังมองหาโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่ไว้วางใจได้ที่มีความปลอดภัยที่ครบครัน น่าเชื่อถือและมอบความคุ้มค่าให้ได้มากกว่า ผมขอแนะนำให้คุณเลือก Norton มีอัตราการตรวจจับมัลแวร์ชั้นนำระดับอุตสาหกรรมถึง 100%, ฟีเจอร์ความปลอดภัยที่น่าประทับใจและแผนสมาชิกที่มีราคาน่าคบหา ที่ดีที่สุดคือคุณสามารถทดลองใช้ Norton โดยไม่มีความเสี่ยงได้ โปรแกรมดังกล่าวมีการรับประกันยินดีคืนเงินแสนใจกว้างถึง 60 วันและการขอเงินคืนก็ไม่ใช่เรื่องยาก โปรแกรมแอนตี้ไวรัส Avast ฟรีไหม?ใช่ แผนสมาชิกฟรีมีฟีเจอร์ความปลอดภัยพื้นฐานและมีเครื่องมืออื่น ๆ มากมายที่จะช่วยยกระดับความปลอดภัยของระบบของคุณให้ดียิ่งขึ้น น่าเสียดายที่ฟีเจอร์แยกต่างหากมากมายของ Avast เช่น VPN และ Cleanup Premium ไม่เปิดให้บริการในแผนสมาชิกฟรี หากคุณต้องการลงทุนในโปรแกรมแอนตี้ไวรัสพรีเมียม โปรแกรมแอนตี้ไวรัสชั้นนำอย่าง Norton เป็นตัวเลือกที่ดีกว่ามาก ด้วย Norton คุณจะได้รับความคุ้มค่ามากกว่า การตรวจจับมัลแวร์ที่ดีกว่า ฟีเจอร์มากกว่าและผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่คุณสามารถเชื่อใจได้ พวกเราจัดอันดับผู้ให้บริการตามการทดสอบและค้นคว้าอย่างเข้มงวด แต่ก็จะมีการคำนึงถึงความคิดเห็นของคุณและข้อตกลงเชิงพาณิชย์ของเรากับผู้ให้บริการด้วย หน้านี้มีลิงก์ affiliate |