ทำไมเน ตม อถ อ ม นไวแต ตอนกลางว น

เผยแพร่: 6 ธ.ค. 2556 23:39 โดย: MGR Online

“สุเทพ” เป่านกหวีดครั้งสุดท้าย 9 ธ.ค. เวลา 09.39 น. ลุกขึ้นเดินขบวนครั้งใหญ่ทั้งประเทศ ต่างจังหวัดให้ไปที่ศาลากลางจังหวัดปิดทางเข้าไม่ให้ข้าราชการทำงาน กรุงเทพฯ มุ่งหน้าทำเนียบฯ ลั่นถ้าออกมาหลายล้านคนจะประกาศอำนาจเป็นของประชาชนแล้ว และจัดการบริหารประเทศแทนรัฐบาล ยันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3, 7 แต่ถ้าออกมาน้อยขอยอมแพ้ เดินหน้าเข้าคุกข้อหากบฏ

วันนี้ (6 ธ.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 20.35 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) กล่าวปราศรัยบนเวทีการชุมนุมศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ว่า หลายคนบอกการชุมนุมครั้งนี้ถ้าทำไม่สำเร็จเสียดายมาก เพราะคนอุตส่าห์ออกมาเป็นล้าน พวกตนไม่ใช่พวกเพ้อเจ้อ เคารพความเป็นจริง ชีวิตพวกเราทุกคนวางเป็นเดิมพัน ทุ่มหมดหน้าตักในการสู้ครั้งนี้ ชัดเจนสู้ครั้งนี้หนเดียว สุดกำลัง แพ้หรือชนะก็ต้องยอมรับ แต่กราบเรียนด้วยความความเป็นจริงถ้าจำนวนมีกันแค่นี้ แม้จะมีหัวใจห้าวหาญอย่างไร กอดคอเหนียวแน่นอย่างไร ก็ต้องมีคนเจ็บ-ตาย เพราะพวกโจรห้าร้อยไม่เคยปรานีประชาชน ตนรู้พี่น้องก้าวพ้นความกลัวเหล่านั้นมาแล้ว แต่ว่าชัยชนะของเราไม่วัดกันที่จำนวนคนเจ็บ-ตาย แต่วัดกันที่จำนวนคนที่ออกมาร่วมกันต่อสู้ ถึงบอกว่าการต่อสู้เรื่องนี้ต้องกำหนดวันจบได้แล้ว

ฉะนั้นวันจันทร์ที่ 9 ธ.ค. เรื่องนี้ต้องจบ ไม่มีประโยชน์ที่ต้องยืดเยื้อ จะเป็นจะตาย แพ้ชนะ ให้มันรู้กัน บรรดาคณะกรรมการ กปปส. ทุกคน แกนนำทุกเครือข่าย ปรึกษากันและมีมติเอกฉันท์วันจันทร์ที่ 9 ธ.ค. ต้องทำให้การต่อสู้ครั้งนี้จบลงให้ได้ ยืนยันใช้หลักสันติ ไม่มีอาวุธ จะชนะได้จำนวนคนที่ออกมาต้องมากมายมหาศาล จนมันยอมแพ้เท่านั้น เพราะฉะนั้น ทุกคนในประเทศไทยต้องตัดสินใจเลือกข้าง ถ้าตัดสินใจเป็นเสรีชน ต้องการปกปักรักษาบ้านเมือง สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ต้องออกมา แต่ถ้าทำใจได้เป็นขี้ข้าทักษิณต่อไปทั้งชาติ ก็นอนเสพสุขที่บ้านไม่ต้องออกมา ถ้ายอมออกมาเพราะเลือกข้างถูกเราจะชนะโดยไม่มีคนเจ็บ ตาย และชนะตลอดไป วันที่ 9 ธ.ค.นี้ ข้าราชการทั้งหลายถ้าเห็นแก่อนาคตประเทศไทย หยุดทำงานแล้วมาร่วมกับประชาชน

ทั้งนี้ รัฐบาลมีแผนการจะเกณฑ์ข้าราชการ และเด็กนักเรียนแต่งเครื่องแบบเดินมาอ้อนวอนพวกเราให้เลิกชุมุนม ถ้าไม่เลิกนายทักษิณสั่งไว้แล้วให้ปราบปราบด้วยความรุนแรง ตนจึงได้ประกาศเลยถ้าเช่นนั้นวันที่ 9 ธ.ค. ได้เห็นดำเห็นแดงกันเลย

“วันจันทร์ที่ 9 เวลา 09.39 น. ลุกฮือทั้งประเทศทวงอำนายอธิปไตยคืน ต่างจังหวัดเดินขบวนในจังหวัดตัวเอง แล้วก็มุ่งหน้าไปที่ศาลากลางจังหวัดทุกแห่ง ปิดทางเข้าไม้ให้ข้าราชการเข้าทำงานได้ นิสิต นักศึกษา นักเรียนทุกแห่ง 09.39 น. เป็นสัญญาณนัดหมาย ปฏิเสธไม่รับรัฐบาลนี้ สำหรับพี่น้อง กทม.เช้าวันที่ 9 ธ.ค. ต้องออกมาบนท้องถนนทุกคน ใครนอนบ้านทรยศประเทศไทย เดินขบวนครั้งใหญ่ไปบนถนนทุกสายมุ่งหน้าไปที่ทำเนียบรัฐบาล” นายสุเทพ กล่าว

นายสุเทพ กล่าวอีกว่า 9 ธ.ค. รวมพลังครั้งสุดท้าย ชนะก็เป็นไทย แพ้ก็ยอมก้มหน้าก้มตาเป็นขี้ข้าเขาไป ถ้าออกมาหลายล้านคน จะประกาศอำนาจอธิปไตยกลับมาถึงมือประชาชนแล้ว หลังจากนั้น ใช้อำนาจประชาชนบริหารจัดการประเทศไทย ให้ประเทศเดินหน้าไปได้ มีกฎหมายรองรับแน่นอน กฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 3 และ 7 มีไว้ชัด ถ้าไม่มา พวกเราที่สู้ทั้งหมดนี้พร้อมยอมรับความพ่ายแพ้ ขอประกาศว่านี่คือการเป่านกหวีดครั้งสุดท้าย ถ้าพี่น้องประชาชนทั้งหลายและข้าราชการไม่เลือกข้าง พวกตนยอมเดินหน้าเข้าคุก ไม่สู้แล้ว ยอมติดคุกข้อหากบฏ ประหารชีวิตก็ได้ ดีกว่าเอาชีวิตพี่น้องไปเสี่ยง เราจะไม่บุกเข้าไปในทำเนียบฯ เพื่อให้เกียรติทหาร แต่ก็จะเป็นการวัดใจทหารด้วยเช่นกัน ในวันจันทร์ที่ 9 ธ.ค. นี้

คำต่อคำ : “สุเทพ” เป่านกหวีดครั้งสุดท้าย

พี่น้องผู้รักชาติทุกเวทีทั่วประเทศไทย และหลายเวทีในต่างประเทศ ผมขอกราบสวัสดีทุกท่านด้วยความเคารพอย่างยิ่งครับ พวกเรายังมีอารมณ์ปลาบปลื้ม มีความสุข ที่ได้ร่วมกันทำหน้าที่พสกนิกรผู้จงรักภักดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ร่วมกันถวายพระพรชัยมงคลพระองค์ท่าน ซึ่งบนเวทีของพวกเรา ทั้งที่ราชดำเนิน กระทรวงการคลัง ศูนย์ราชการ และจังหวัดต่างๆ ที่มีพี่น้องประชาชนผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน ได้มาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง และได้ให้ฉันทานุมัติให้กระผมในฐานะที่เป็นเลขาธิการ กปปส.ได้เป็นตัวแทนของมวลมหาประชาชน กล่าวถวายพระพรชัยมงคล ภาพและเสียงที่เราได้เปล่งคำถวายพระพรชัยมงคลด้วยกันนั้น ยังประทับอยู่ในความรู้สึกของพวกเราทุกคน และจะเป็นมงคลสำหรับชีวิตของพวกเราสืบไป ที่สำคัญเป็นพิเศษก็คือเมื่อคืนนี้ มวลมหาประชาชนได้พร้อมใจกันถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า เราจะประพฤติตนเป็นพลเมืองที่ดี ดำรงตนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และจะสร้างสรรค์คุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข และจะร่วมพิทักษ์รักษาราชบัลลังก์ และระบอบประชาธิปไตย จนกว่าชีวิตจะหาไม่ คำปฏิญาณนี้พวกเราจะได้ยึดมั่น และจะได้ปฏิบัติในวันสองวันนี้ จะได้เห็นผลกันว่า สิ่งที่เราปฏิญาณนั้น เราทำได้สำเร็จหรือไม่อย่างไร

พี่น้องทั้งหลายครับ ตั้งแต่เราได้เริ่มกอดคอต่อสู้ร่วมกันมา มีคนถามพวกเราอยู่เรื่อยๆ ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ทำแล้ววันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เราก็ได้เพียรพยายาม อธิบาย ให้คนที่สงสัยได้เข้าใจมาเป็นระยะๆ แต่ว่าความที่เราเป็นประชาชน เรี่ยวแรงไม่มาก เราเสียเปรียบในเรื่องของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ คนที่เขาอยู่ฝ่ายรัฐบาลเขาได้เปรียบ เขามีสื่อแขนงต่างๆ ที่จะเอาข้อมูลข่าวสารที่เขาจงใจที่จะบิดเบือนเผยแพร่ถึงประชาชน จนทำให้พี่น้องประชาชนจำนวนมากเข้าใจสับสน ผมคิดว่าวันนี้น่าจะเป็นเวลาที่สมควรที่เราจะพูดจาเรื่องนี้กันให้ชัดเจนอีกสักครั้ง มีคนตั้งคำถามอยู่เรื่อยเลยครับว่า ถ้าสิ่งที่พวกเรากำลังต่อสู้กันอยู่ เป็นผลสำเร็จ แล้วเราจะทำอย่างไรกับประเทศไทย ฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และบรรดาคณะรัฐมนตรี มักจะออกมาหยามหยันพวกเรา บอกว่าสิ่งที่พวกเราทำนั้นไม่มีกฎหมายรองรับ ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ พวกเราเป็นพวกที่เพ้อเจ้อไปเอง

ผมอยากจะใช้โอกาสตรงนี้อธิบาย เรียนชี้แจงสักครั้งหนึ่ง ให้พี่น้องประชาชนที่มีใจเป็นธรรม สื่อมวลชนที่มีใจเป็นธรรม ได้ครุ่นคิดคำนึงอยู่ ในระบอบประชาธิปไตยนั้น นับตั้งแต่วันที่เปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 รัฐธรรมนูญฉบับแรกก็บัญญัติไว้ในมาตรา 1 เลยว่า อำนาจสูงสุดในการปกครองบ้านเมืองนั้นเป็นของราษฎร และในรัฐธรรมนูญทุกฉบับหลังจากนั้น ก็ได้มีบทบัญญัติเรื่องอำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองบ้านเมืองเอาไว้ชัดเจน จนกระทั่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก็เขียนไว้ในมาตรา 3 ว่า อำนาจอธิปไตยนั้นเป็นของปวงชนชาวไทย นี่ไม่ใช่แค่ข้อความโก้ๆ ครับ เป็นความจริงว่า ในระบอบประชาธิปไตยนั้น อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ปวงชนจึงเป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริงสูงสุดในการปกครองประเทศ แต่ประเทศเรามีพระมหากษัตริย์ มีความผูกพันล้ำลึกเหนือกว่าชาติไหนๆ ในโลก ที่พระมหากษัตริย์ และพสกนิกรชาวไทยผูกพันกัน คนไทยเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงได้ถวายอำนาจอธิปไตยนั้นให้พระองค์ท่านทรงใช้ผ่านรัฐบาลในส่วนที่เป็นอำนาจบริหาร ใช้ผ่านสภาฯ ในส่วนที่เป็นอำนาจนิติบัญญัติ ใช้ผ่านศาล ในส่วนที่เป็นอำนาจตุลาการ เพราะอำนาจสูงสุดในประเทศมี 3 ด้านนี้เท่านั้นคือ อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการ

ที่บอกว่าพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตย ผ่านทั้ง 3 สถาบันนี้นั้น เป็นความยินยอมพร้อมใจของประชาชน และมีกระบวนการที่จะนำไปสู่การใช้อำนาจนั้น กระบวนการที่เราเห็นกันอยู่ก็คือ ผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ประชาชนไปเลือกตั้ง ผู้แทนได้ผู้แทนก็ประกอบกันไปเป็นสภาฯ สภาฯ นอกจากจะทำหน้าที่เรื่องการออกกฎหมาย การแก้ไขกฎหมายการนิติบัญญัติต่างๆ แล้ว ตัวแทนของประชาชนคือ ส.ส.เหล่านั้น ก็ไปเลือกบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ารัฐบาล บริหารประเทศ แปลว่า ทั้งสภาฯ ทั้งรัฐบาล เป็นผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากประชาชน ให้ไปทำการบริหารประเทศ ให้ไปทำการดูแลเรื่องกฎหมายต่างๆ มี 2 ส่วนที่สำคัญ ส่วนเรื่องตุลาการ เรื่องศาลนั้น เราไม่ต้องไปพูดถึง เพราะนั่นได้ทำในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ โดยระบอบของเขา ประเด็นที่เกิดขึ้นในวันนี้ คือ สภาฯ และรัฐบาลที่ได้ไปใช้อำนาจในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ ตามที่ประชาชนมอบหมาย มอบอำนาจ ถ้าเป็นรัฐบาลที่ดี ถ้าเป็นสภาฯ ที่ดี เขาจะต้องไปปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และต้องอยู่ภายใต้หลักการสำคัญที่เขาเรียกว่าหลักนิติธรรม คือ หลักของกฎหมาย นี่สำคัญมากนะครับ ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ต้องปฏิบัติตามหลักกฎหมาย คือ หลักนิติธรรม ต้องทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน นี่สำคัญ 3 เรื่อง

ทั้งรัฐบาล ทั้งสภา ต้องเอาอำนาจที่ประชาชนมอบให้นี้ใช้ตามกฎเกณฑ์ ตามกติกา ที่เขากำหนดไว้อย่างนี้ ทุกแห่งในโลกต้องเป็นอย่างนี้ แต่ปรากฏว่ายังไง รัฐบาลยิ่งลักษณ์ สภาฯ ของสมศักดิ์ ทำยังไงกับประชาชน มันไม่ได้ใช้อำนาจที่ประชาชนมอบให้ตามกฎเกณฑ์ ตามกติกา ที่เขาวางไว้ ไม่ได้ใช้อำนาจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ได้ใช้อำนาจโดยคำนึงถึงหลักนิติธรรม แล้วไม่ได้ใช้อำนาจของประชาชนเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และของประชาชนแต่อย่างใดทั้งสิ้น เขาใช้อำนาจอย่างไร คนพวกนี้เหลิงอำนาจ อาศัยพวกมาก แล้วไปตรากฎหมาย ไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไม่คำนึงถึงหลักนิติธรรม ไม่คำนึงถึงความชอบ หรือไม่ชอบของหลักกฎหมายที่เขาปฏิบัติกันเป็นสากลในโลก

เอาอำนาจที่ประชาชนมอบให้ไปใช้เพื่อประโยชน์ของตัวเองของพวกพ้อง แก้รัฐธรรมนูญก็หวังที่จะรวบอำนาจการปกครองบ้านเมืองให้อยู่ในมือตัวเอง ไว้รองรับพี่ชายตัวเองที่หนีคดีให้ได้กลับมาเสวยอำนาจ และใหญ่คนเดียวในประเทศไทย และวิธีการทำก็อัปยศสิ้นดีใช้เล่ห์อุบายไม่ละอายฟ้าไม่ละอายดิน ไม่มีคุณธรรม ไม่มีจริยธรรม ทำทุกอย่างผิดทั้งนั้น นับตั้งแต่การปลอมแปลงเอกสารร่างรัฐธรรมนูญที่เสนอไปฉบับหนึ่ง แต่เวลาเอาไปพิจารณาก็เอาอีกฉบับหนึ่งขึ้นมาพิจารณา ในสภาฯ เขาใช้เหตุใช้ผลกัน เขาพูดอภิปรายกันด้วยเหตุด้วยผล ใครเห็นด้วยหรือใครไม่เห็นด้วย เห็นต่างอย่างไรเขาได้โต้เถียงด้วยเหตุผล เพื่อให้ ส.ส.ที่เป็นวิญญูชนได้ใช้สติปัญญา ตัดสินว่าเหตุผลข้างไหนถูก ข้างไหนผิด แต่ว่าพวกนี้ไม่ทำอย่างนั้น อาศัยอำนาจอย่างเดียว พวกกูพูด พวกมึงเห็นต่าง ไม่ต้องพูด ปิดปากมึงหมดเลย เวลาลงคะแนนเสียงมันก็ใช้สันดานเดิมของมัน ตั้งแต่ที่ตอนเลือกตั้งที่โกงเลือกตั้ง ที่ซื้อเสียง

วันนี้มันก็เอาระบบนี้มาใช้ในสภาฯ จ่ายเงินให้พวกที่ลงคะแนนให้มัน จ่ายไม่พอโกงคะแนนอีก แอบลงคะแนนแทนคนอื่น นี่คือโกงคะแนนในสภาฯ ในส่วนที่เป็นกฎหมาย มันก็บังอาจสมคบกันไปเขียนกฎหมายล้างผิดให้พี่ชายมันที่ศาลพิพากษาแล้วว่า ได้ทำความผิด ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ โกงชาติโกงแผ่นดิน มีโทษต้องจำคุก 2 ปี และถูกยึดทรัพย์ 46,373 ล้าน มันก็จะล้างผิดให้ ล้างผิดให้คนที่ศาลพิพากษาแล้วว่ามีความผิด ซึ่งไม่มีประเทศไหนในโลกเขาออกกฎหมายลบล้างคำพิพากษาของศาล นี่ผิดหลักนิติธรรมชัดๆ ออกกฎหมายล้างผิดให้คนที่ฆ่า พล.อ.ร่มเกล้า ฆ่าทหาร ฆ่าตำรวจ ฆ่าแม่ค้าขายข้าวแกง ฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่มีที่ไหนในโลกที่เขาจะออกกฎหมายล้างผิดให้ฆาตกรที่ฆ่าคน มีแต่ที่นี่ และสภาทาสแห่งนี้เท่านั้น ทั้งหมดที่มันทำมานี้ ผิดๆๆ ผิดทุกอย่าง

แล้วไม่ใช่เป็นความผิดที่คนอย่างเราตัดสิน เป็นความผิดที่ศาลเป็นผู้วินิจฉัยว่าผิด คือศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่า ทั้งหมด ทุกกระบวนการที่ทำมานั้น ผิดๆๆ แล้วเป็นไงครับ ผิดหลักนิติธรรม ผิดรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ก็ยังดาหน้าออกมาปฏิเสธไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ ที่มีอำนาจอยู่ เพราะรัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติให้อำนาจไว้ ตั้งโดยรัฐธรรมนูญ ให้อำนาจโดยรัฐธรรมนูญ และทุกคนต้องเชื่อฟัง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล สภาฯ หรือองค์กรอื่นๆ คำพิพากษาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ต้องผูกพันทุกองค์กร แต่รัฐบาลนี้ปฏิเสธ ประธานสภาฯ ปฏิเสธ พรรคเพื่อไทยปฏิเสธ ยิ่งลักษณ์ ก็ปฏิเสธ ส.ส.312 คน รวมทั้งยิ่งลักษณ์ปฏิเสธไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาล ทำตัวเป็นกบฏต่อรัฐธรรมนูญ สภาฯ หรือรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วย ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล และ ส.ว.ที่รัฐบาลซื้อเอาไว้ จ้างเอาไว้นี้ จึงสิ้นสภาพความเป็นรัฐสภา หมดสภาพทางกฎหมาย ไม่มีความเป็น ส.ส. ไม่มีความเป็น ส.ว.อยู่แล้ว เพราะได้กระทำตนนอกเหนือจากที่รัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจไว้ และเป็นกบฏต่อรัฐธรรมนูญโดยการประพฤติอย่างชัดเจน

ถ้าจะสรุปกันง่ายๆ ต้องถือว่าวันนี้ไม่มีรัฐสภาเหลืออยู่แล้วในประเทศไทย นี่ฝ่ายนิติบัญญัติ หันไปดูฝ่ายรัฐบาลครับ คนไทยรู้เห็นและเข้าใจกันทั้งประเทศว่า รัฐบาลของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ใช่รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นเพียงรัฐบาลหุ่นเชิด เวลาพูดกับชาวต่างประเทศ ฝรั่งมังค่า จ๊ะๆ จ๋าๆ อ้างว่า ฉันมาจากการเลือกตั้ง ประชาชนให้อำนาจมา แต่ที่รู้อยู่แก่ใจก็คือว่าโกงเลือกตั้งมา ซื้อคะแนนเสียงมา นั่นไม่ใช่เสียงที่แท้จริงของประชาชน แต่ที่แย่กว่านั้นอ้างประชาชนมาเป็นรัฐบาล แต่เมื่อมาเป็นรัฐบาลทั้งตัวนายกฯ และรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี กลับยอมตนให้คนอื่นที่อยู่ต่างประเทศบงการรัฐบาลชี้เป็นชี้ตายรัฐบาล ยอมตนอยู่ภายใต้อำนาจของคนภายนอก ซึ่งมันไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว พี่น้องลองหลับตานึกดูสิครับ ถ้ารัฐบาลไทยที่ประชาชนมอบอำนาจให้เป็นผู้บริหารราชการแผ่นดิน และไปฟังคำสั่งจากมิสเตอร์แบล็ก มิสเตอร์กรีน นายเขียว นายแดง ชาวอังกฤษ ชาวฝรั่งเศส ชาวอเมริกา หรือโยโกฮามา ชาวญี่ปุ่นไอ้นั่นมันจะถือว่า เป็นรัฐบาลไทยไหมครับ

หรือว่าท่านนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย คณะรัฐมนตรีของประเทศไทย รับอำนาจของประชาชนมาเป็นผู้บริหารแผ่นดินไทย แล้วฟังคำบงการของฮุน เซน อย่างนี้ถือว่าเป็นรัฐบาลไทยมั้ยครับ

เหมือนกัน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทั้งตัวนายกฯ ทั้งคณะรัฐมนตรี ฟังคำสั่ง คำบงการ มาจากต่างประเทศ แม้ว่าจะฟังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีฐานะ ไม่มีศักดิ์ศรีที่จะมาสั่งการรัฐบาลไทย เพราะทักษิณคือคนหนีคดีที่อยู่ต่างประเทศ ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับไหนเขียนเอาไว้ ว่าคนหนีคดี นักโทษหนีคดีที่อยู่ต่างประเทศ ให้มาสั่งการ บงการรัฐบาลของประเทศไทยได้ ไม่มี ที่ทำมาน่ะ ผิดทั้งนั้น

ถ้าพูดตามภาษากฎหมายต้องบอกว่า รัฐบาลของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยอมตนอยู่ภายใต้อำนาจของคนภายนอกประเทศ ยอมให้คนภายนอกกำหนดนโยบายที่เขาบอกว่า ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ ทักษิณคิดรัฐบาลทำ นั้นมันผิดอยู่แล้ว นอกจากยอมให้เขากำหนดนโยบายแล้ว ยังยอมให้เขาลงลึกมาถึงขั้นสั่งราชการด้วย ไม่งั้นไอ้แจ๊ดมันจะพูดหรอที่มันได้เป็นผู้บัญชาการนครบาล เพราะพี่มันให้นั่นมันชัดเจน รัฐบาลนี้ยอมให้คนนอกประเทศแต่งตั้งปลัดกระทรวง แต่งตั้งอธิบดี แต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจ ผู้บัญชาการ กองบัญชาการต่างๆ แต่งตั้งผู้ว่าฯ แต่งตั้งข้าราชการทั้งหลาย นี่มันลงลึก และผิดทุกอย่างที่เขาปฏิบัติกันมา ไม่ว่าประเทศไหนในโลกไม่มีที่ไหนเขาทำ นอกจากรัฐบาลหุ่นเชิดของยิ่งลักษณ์แห่งเดียวในโลกนี้

พี่น้องทั้งหลายทั้งสภาฯ ทั้งรัฐบาลมันถึงทำความผิดต่อรัฐธรรมนูญ ทั้งผิดแบบที่เห็นโจ้งๆ แล้วตัวเองออกมาแสดงประกาศเองว่า เป็นกบฏไม่ไม่เชื่อฟังรัฐธรรมนูญ และผิดโดยพฤตินัยที่ประชาชนคนไทยเห็นทั้งประเทศที่เขามาสั่ง เรื่องนโยบายที่เขามาสั่งเรื่องข้าราชการ ที่เขามาจุ้นจ้าน ตัดสินใจแทนนายกฯ และคณะรัฐมนตรี ทุกวันๆ

เพราะฉะนั้น รัฐสภา และรัฐบาลชุดนี้ จึงหมดสภาพความเป็นรัฐสภา หมดสภาพความเป็นรัฐบาล ที่มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญรับรองเอาไว้ คือ ถ้าเป็นพระทั้งรัฐสภา ทั้งรัฐบาล ปาราชิกไปแล้วครับ ผิดวินัยร้ายแรง เป็นพระต่อไปไม่ได้ ปาราชิกไปแล้วถึงแม้วันนี้จะห่มผ้าเหลืองอยู่ แต่ก็ไม่มีใครไหว้แล้วเพราะเนื้อในไม่ใช่พระแล้ว เป็นอลัชชีไปแล้ว มวลมหาประชาชนอย่างพวกเรา ได้ประจักษ์แจ้งแจ่มชัด ว่ารัฐสภานี้ รัฐบาลนี้ มีพฤติกรรมที่ผิดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน ไอ้ที่เรามอบอำนาจให้ เราถึงไม่ต้องการให้มันแล้ว เราถึงออกมาบอกว่า หยุดใช้อำนาจของฉันได้แล้ว ฉัน ประชาชนเอาคืน เราเป็นคนมอบอำนาจให้เขาไปใช้อำนาจแทนเรา แล้วมีกฎเกณฑ์กติกา ว่าจะต้องใช้อำนาจตามกฎเกณฑ์ กติกา แต่นี่ไปใช้อำนาจแบบอันธพาล ไม่เคารพกฎเกณฑ์กติกาใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เคารพแม้แต่กฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่เคารพศาลรัฐธรรมนูญ แล้วก็ไม่เกรงใจเจ้าของอำนาจ คือ ประชาชนด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ประชาชนจึงต้องลุกขึ้นมาทวงอำนาจคืน

พี่น้องทั้งหลาย อย่างที่ผมกราบเรียน ถ้าพูดกันทางภาษากฎหมาย ตรงไปตรงมา วันนี้ประเทศไทยไม่มีรัฐสภา ไม่มีรัฐบาล เป็นสุญญากาศแล้ว รัฐบาลนี้เป็นกบฏต่อรัฐธรรมนูญ พวกเราคนไทยลุกขึ้นพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ต้องการให้กฎหมายรัฐธรรมนูญในประเทศไทย ยังเป็นกฎหมายสูงสุด และใช้บังคับต่อไป แต่ที่ยิ่งลักษณ์ ตะแล๊ดแต๊ดแต๋บอกว่า ไม่มีกฎหมายรองรับ มันโง่ กฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 3 บอกไว้ชัดว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย นี่มาตรา 3 เรายังอยู่ในรัฐธรรมนูญ ทีนี้เมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย แล้วไม่มีสภาฯ ไม่มีรัฐบาล จะทำอย่างไร รัฐธรรมนูญเขาก็มีบทบัญญัติไว้ในมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญปัจจุบันครับ เขาบอกว่า ในกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติเขียนเอาไว้ เพราะรัฐธรรมนูญเขาไม่เคยนึกตามคนเขียนว่า จะมีสภาฯ ที่อุบาทว์ขนาดนี้ รัฐบาลที่อุบาทว์ขนาดนี้ ไม่คิดว่าจะมีสภาฯ ที่ทรยศประชาชน ไม่คิดว่าจะมีรัฐบาลที่ทรยศประชาชน จึงไม่มีบทบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะว่า ในกรณีที่ไม่มีสภาฯ ในกรณีที่ไม่มีรัฐบาลจะต้องทำอย่างไร มาตรา 7 ในรัฐธรรมนูญจึงได้บอกว่าต้องดำเนินการไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประเพณีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขทำอย่างไรครับ ประเพณีคือว่าเมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ประชาชนทั้งปวงที่เป็นเจ้าของอำนาจ จึงย่อมมีอำนาจที่จะแต่งตั้งคนใหม่ขึ้นมา ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ และแต่งตั้งคนใหม่มาทำหน้าที่ฝ่ายบริหารคือ เป็นรัฐบาล นี่เขาให้ไว้ตามประเพณีที่เขาปฏิบัติกัน เพื่อให้มีคนทำหน้าที่แทนนิติบัญญัติ เพื่อคนทำหน้าที่บริหารบ้านเมือง ประเทศไทยของเราจึงจะได้เดินหน้าต่อไปได้ นี่คือสิ่งที่เขาประพฤติกัน และในกรณีเช่นนี้ ปวงชนชาวไทย ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง มีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะดำเนินการให้มีกติกาในการปกครองบ้านเมืองต่อไป ให้สอดคล้องกับหลักการแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน แล้วทำให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในขณะนี้

ตรงนี้ ต้องให้พี่น้องชี้แจงกับคนที่เขาตั้งข้อสงสัยว่าประเทศจะต้องมีฝ่ายนิติบัญญัติ ประเทศจะต้องมีฝ่ายบริหาร แต่เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติมันตายไปแล้ว ฝ่ายบริหาร คือรัฐบาล มันตายไปแล้ว ตายไปจากกฎหมายที่ถูกต้องแล้ว ก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนเจ้าของประเทศ ที่จะต้องตั้งขึ้นใหม่อันนี้โต้เถียงไม่ได้ ที่ไหนก็ต้องเป็นแบบนี้ ทีนี้มาปรับดูให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงที่เป็นวันนี้ อย่างที่ผมกราบเรียนกับพี่น้อง เพราะสภาฯ มันเป็นโมฆะ สภาฯ ทำผิดรัฐธรรมนูญ ทำผิดหลักนิติธรรม หมดสภาพความเป็นสภาฯ ก็ถือว่า ไม่มีสภาฯ ไม่มีสภาฯ ก็ไม่มี ส.ส. ในรัฐธรรมนูญเดิมบอกว่า คนจะเป็นนายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งมาจาก ส.ส.ปรากฏว่า วันนี้ไม่มีสภาฯ วันนี้ไม่มี ส.ส.

เพราะฉะนั้นแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากคนภายนอกก็ได้ ถูกประเพณีการเมืองการปกครองไหม ถูกครับ ในอดีตมีนายกรัฐมนตรีหลายคนในประเทศไทย ที่เขาแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่ได้เป็น ส.ส. คราวนี้มันไม่มี ส.ส. เราจะไปแต่งตั้งใคร ส.ส.คนไหนมาเป็นนายกฯ ได้ ก็ต้องแต่งตั้งจากที่ไม่ได้เป็น ส.ส. นี่ก็เป็นเรื่องที่สอดคล้องกับประเพณีปฏิบัติ สำคัญอยู่ที่เจ้าของอำนาจอธิปไตย สำคัญตรงนี้ วันนี้พี่น้องครับ เรามวลมหาประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง ลุกขึ้นมาทวงอำนาจคืน เพราะคนที่เรามอบอำนาจให้ไปนั้นมันทรยศเสียแล้ว มันทำผิดเสียแล้ว เราต้องการอำนาจของเราคืน แต่มันไม่ให้มันหน้าด้าน มันยังอ้างโน่นอ้างนี่มันไม่ให้มันเบี้ยว มันไม่คืน ทำอย่างไร เราถึงต้องลุกขึ้นมาชุมนุม

พี่น้องทั้งหลายต้องพูดกันให้ชัดเจนวันนี้ เปิดใจพูดกันเลย บางคนมากล่าวหาครับ หาว่าเราสมคบกับทหาร หาว่าเรามาสร้างสถานการณ์เพื่อให้ทหารเขาปฏิวัติ จะได้ยึดอำนาจ ทำรัฐประหาร ผมเรียนตรงนี้กับพี่น้องทั้งหลาย ผมรู้จักทหารเหล่านี้ดี เคยทำงานด้วยกัน เมื่อตอนที่พวกทักษิณ และสมุนบริวารลุกขึ้นก่อการร้ายในประเทศไทย ปี 2552 และ 2553 ผมรู้เลย ว่าทหารเหล่านี้เป็นทหารของชาติ เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นข้าราชการของประชาชน เขาไม่ต้องการมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง เขาไม่มีใจที่คิดปฏิวัติยึดอำนาจ เขาต้องการให้เรื่องของการเมืองเป็นเรื่องของประชาชน ให้ฝ่ายประชาชนจัดการกันเอง แก้ไขกันเอง ทหารดูแลความมั่นคงของชาติเท่านั้น

วันนี้มีปัญหาระหว่างมวลมหาประชาชน เจ้าของอำนาจอธิปไตย กับรัฐบาลของระบอบทักษิณ ที่มียิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ที่อ้างว่าเขายังมีอำนาจอยู่ ทหารเขาถึงไม่เข้าข้างใคร เขาบอกว่า เขาเข้าข้างประเทศไทย ที่ผมมาเรียนพี่น้องไงครับ เพราะฉะนั้น ให้ชัดเจนแจ่มแจ้งในหัวใจทุกคน เรื่องนี้เป็นเรื่องของมวลมหาประชาชน กับระบอบทักษิณ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกองทัพ และทหารทั้ง 3 เหล่าทัพ แต่ประการใดทั้งสิ้น

เราจะเอาอำนาจคืนมาจากระบอบทักษิณได้หรือไม่ได้ อยู่ที่เรา ไม่ใช่อยู่ที่ทหาร นี่ให้ทำใจให้เข้าใจ ให้ชัดเจน เรามั่นใจได้อย่างเดียว ว่าทหารทั้งหลายเข้าใจประชาชน และไม่มีวันยอมตนเป็นเครื่องมือของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ออกมาปรามประชาชน นั่นชัดเจนแน่นอน

พี่น้องที่เคารพรักทั้งหลายครับ เมื่อวันที่เราตัดสินใจลุกขึ้นยืนต่อสู้ เราได้ประกาศชัดเจนว่า พวกเราเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ เมื่อวานนี้ เราก็ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าเราเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ เราจึงเลือกวิธีการต่อสู้ของเรา โดยวิธีการที่สันติ สงบ ปราศจากอาวุธ ไม่ใช้ความรุนแรง เพราะนี่เป็นวิถีทางที่พลเมืองดีทั่วโลกเขาใช้กัน และเรายึดวิธีนี้ ตลอดเวลาที่เรายืนเคียงบ่าเคียงไหล่ต่อสู้ร่วมกันมา เราแน่วแน่ในแนวทางการต่อสู้โดยสันติ สงบ และปราศจากอาวุธมาโดยตลอด อันนี้เราได้ทำให้โลกได้ประจักษ์ชัดเจนว่า ใจเราแน่วแน่ และยิ่งใหญ่มั่นคงเหลือเกินในวิถีทางต่อสู้

พี่น้องทั้งหลายผมได้เคยเรียนกับพี่น้องแล้วว่า นี่ถ้าสู้กันด้วยอาวุธจบไปแล้ว 3 วันรู้เรื่อง เผลอๆ 3 ชั่วโมงรู้เรื่อง ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศไทยที่เขามีการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจกัน ทหารเอารถถังออกมา เอาอาวุธปืนต่างๆ ออกมา ตั้ง 3 แยก 4 แยก จอดข้างทำเนียบตรงนั้นตรงนี้ 3 ชั่วโมงยึดอำนาจได้ แถลงการณ์ฉบับที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 เรียบร้อยเลยง่าย แต่นี่พวกเราพลเมืองดี ประชาชนทั่วไป ไม่มีอาวุธ มีแต่หัวใจมันก็ต้องใช้เวลา และต้องใช้กำลังใจในการต่อสู้อย่างมุ่งมั่นมีอุดมการณ์หนักแน่นกว่า แต่ว่าสิ่งที่เรากำลังทำนี้ให้พี่น้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน นี่ไม่ใช่การลุกขึ้นปฏิวัติของประชาชน นี่ไม่ใช่การที่ประชาชนลุกขึ้นแย่งชิงอำนาจมาจากใคร แต่เป็นการที่ประชาชนอย่างเราลุกขึ้นทวงอำนาจที่ชอบธรรมของเราคืนมาจากไอ้โจรห้าร้อยทั้งหลาย อำนาจนี้เป็นของประชาชนโดยชอบธรรม โดยธรรมชาติ โดยถูกต้อง ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แต่เราเผลอมอบอำนาจนี้ให้โจรห้าร้อยมันเอาไปใช้ พอเรารู้สึก เราก็เอาคืน เท่านั้นเอง เพียงแต่ว่าพวกโจรมันไม่ยอม แล้วมันก็พยายามใช้อำนาจเยี่ยงโจรเข้ามาจัดการกับเรา ข่มขู่ คุกคาม ใช้ความรุนแรง

พี่น้องทั้งหลาย ตั้งแต่เราสู้มาเราไม่เคยทำอะไรรุนแรงเลย ผิดกฎหมายบ้างเล็กน้อย เช่น ผิดกฎหมายจราจร เพราะเดินเต็มถนน อย่างนั้นเราก็ยอมว่าเราพร้อมผิด ต้องมาบุกรุกสถานที่ราชการ เป็นที่ชุมนุมบ้าง เพราะไม่มีบ้านใครที่จะรับคนเป็นล้านให้เราชุมนุมได้ เราจึงใช้สถานที่ราชการ

เราไม่ได้ปฏิเสธกฎหมาย ผมได้ประกาศแล้ว ว่าที่ทำไปนี้ รู้ว่าผิด และพร้อมที่จะรับความผิดขอให้เสร็จเรื่องนี้ก่อน ให้หายยุ่งเรื่องไล่ระบอบทักษิณออกไปก่อน แล้วจะไปมอบตัว จะเอาผิดอย่างไรยอมทั้งนั้น เพราะเราเคารพกฎหมาย แต่พี่น้องเป็นไหมครับ ฝ่ายโจรผู้ร้ายคือรัฐบาลนี้ มันเริ่มใช้ความรุนแรงกับพวกเรา ตั้งแต่จัดการฆ่า ทำร้ายนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง เด็กเยาวชนแท้ๆ มันยังทำได้ลงคอพี่น้อง น่าสงสารที่สุด เด็กเหล่านั้นไม่ได้มาร่วมต่อสู้กับเราที่นี่ เยาวชนเหล่านั้นเขาก็มีความบริสุทธิ์ใจ มีความคิดอ่านของเขา เขาลุกขึ้นแสดงสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของเขาในรั้วมหาวิทยาลัยของเขา แต่ไอ้โจรห้าร้อยส่งลูกสมุนอันธพาลไปฆ่าเด็ก ทำร้ายเด็ก นี่มันเป็นเรื่องที่แสดงความเป็นสันดานโจรของมันอย่างชัดเจน อภัยให้ไม่ได้ ประชาชนอย่างพวกเราต้องการที่จะไปทวงคืนอำนาจของเรา ไปบอกเจ้าหน้าที่ทั้งหลายว่า อย่าอยู่ฝ่ายระบอบทักษิณเลย ออกมาเถอะมาอยู่ฝ่ายประชาชน แต่ผมไปหามันเจออะไรแก๊สน้ำตา ยิงเป็นบ้าเป็นหลังยิงจนหมดยิง 2 วัน เกลี้ยงเลย

ผมจะเรียนพี่น้องนะครับ ตอนที่ผมเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ผมมีคำสั่งเลยว่า ในกรณีที่ต้องแก้ปัญหาเรื่องการชุมนุมต้องมีการเผชิญหน้ากัน ถ้าจะใช้แก๊สน้ำตาต้องใช้ชนิดขว้างเท่านั้น ไม่ให้ใช้ชนิดยิงจากปืน เพราะการยิงจากปืนเคยทำให้คนตายมาแล้ว สมัยที่น้องโบว์ตาย ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า นี่ผมห้ามไว้เลย แล้วพี่น้องเห็นไหมครับ ตำรวจของยิ่งลักษณ์ มันยิงออกมาจากกระบอกปืน และมีคนบาดเจ็บ มีคนได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะยิงแก๊สน้ำตา เท่านั้นไม่พอตำรวจของมันยังเอาหนังสติ๊กใช้ลูกเหล็กยิงหัวประชาชนอย่างเรา ไอ้นี่มันเลวมาก

พี่น้องทั้งหลาย และที่น่าเศร้าใจที่ผมจะต้องมาเรียนให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันที่ 2 ธันวาคม 2556 เวลาบ่าย 2 โมง ตอนที่กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปกดดันเจ้าหน้าที่ ที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล มีผู้ชุมนุมคนหนึ่งครับ ชื่อ นายมณีรัตน์ เมืองแก้ว อายุ 30 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ยิงด้วยกระสุนจริงครับ กระสุนถูกหน้าอกขวาทะลุปอดขวา ปอดฉีกขาด มีเลือดออกในช่องเยื้อหุ้มปอด ไตขวาฉีกขาด และที่น่าอัปยศที่สุด น่าสงสารสังเวชใจที่สุดก็คือว่า กระสุนนัดนี้ทะลุเข้าไปในไขสันหลังระดับเอวของคุณมณีรัตน์ เป็นอัมพาตไปครึ่งตัวอยู่ในโรงพยาบาลในขณะนี้ พวกเราเพิ่งไปเยี่ยมมา นี่เห็นถึงความรุนแรงของรัฐบาล นั่นยิงด้วยเจ้าหน้าที่ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 2 แล้วเมื่อคืนเป็นอย่างไรครับ เมื่อคืนรัฐบาลสั่งให้สมุนอันธพาลของมันออกมารังควานพวกเรา ทั้งที่ราชดำเนิน ทั้งที่กระทรวงการคลัง และที่ศูนย์ราชการแห่งนี้ แก๊งอันธพาลของมัน 40-50 คน ขี่มอเตอร์ไซค์มาคุกคามใช้อาวุธกับพวกเรา

พี่น้องทั้งหลายเมื่อคืนนี้มี นายบรรจง เพ็งตระกูล อายุประมาณ 50 ปี ชาว อ.บ้านนาสาร ถูกยิงที่มือซ้าย กระสุนทะลุข้อศอก เส้นเอ็นขาด วันนี้ผ่าตัดมา 2 หนแล้ว ขณะนี้ยังอยู่ในห้องผ่าตัดที่โรงพยาบาลราชวิถี ถูกยิงเมื่อคืนนี้ ตอนประมาณใกล้ๆ เที่ยงคืน ที่กระทรวงการคลัง โดยสมุนอันธพาลของรัฐบาลนี้

แล้วก็มีนายศรชัย เพชรสุวรรณ เป็นการ์ดของพวกเรา ดูแลความปลอดภัยให้ผู้มาชุมนุม อยู่ที่สี่แยกคอกวัว ถูกขว้างระเบิดเมื่อคืน ระเบิดปิงปอง ตอนเวลาประมาณตี 4 โดนที่มือข้างซ้าย ผ่าตัดแล้ว ถูกตัดนิ้วไป 3 นิ้ว แต่หมอพยายามรักษาข้อมือไว้ นี่คือหลักฐานที่จะบอกกับพี่น้องว่า ไอ้รัฐบาลนี้มันโจรจริงๆ มันเลวจริงๆ มันใช้ความรุนแรงกับคนมือเปล่าอย่างเรา

พี่น้องครับ เราต่อสู้ของเราอย่างสันติ สงบ ไม่ใช้อาวุธ ด้วยความอดทน ไปกองบัญชาการตำรวจนครบาล 2 วัน โดนแก๊สน้ำตาคนหนึ่งหลายๆ ลูก ไม่เคยลุแก่โทสะ ที่จะใช้ความรุนแรงตอบโต้กับเจ้าหน้าที่ นี่คือหัวใจของประชาชน แต่ดูที่มันทำกับพวกเราทั้งที่รามคำแหง ทั้งที่กระทรวงการคลัง ทั้งที่สี่แยกคอกวัว ไม่เคยรู้สึกรู้สม ไม่รู้คุณค่า ชีวิตร่างกายประชาชนเลย สำหรับสันดานของคนในรัฐบาลนี้ และกำลังจะทำกับเรา รุนแรงกว่านี้อีกครับพี่น้องครับ แก๊สน้ำตาที่ยิงพวกเรามา 2- 3 วัน หมดไปแล้ว วันนี้สั่งซื้อมาใหม่ ขนมาใหม่จากสนามบินสุวรรณภูมิ กะจะมาซัดกับเราพรุ่งนี้ มะรืนนี้ครับพี่น้องครับ แล้วอำมหิตมาก ไอ้แก๊สน้ำตาธรรมดาไม่เอาแล้วตอนนี้ เห็นบอกว่าเที่ยวนี้เอามาชนิดที่เป็นแป้ง พอยิงออกมามันจะติดอยู่ตามเสื้อผ้า พอเอาน้ำฉีดมันจะปวดแสบปวดร้อนมากขึ้น ดูมันคิดทำกับประชาชน คิดวิธีการที่จะเล่นงานประชาชนทุกอย่าง ระดมเจ้าหน้าที่ตำรวจมาทั่วประเทศ เจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อย ไม่ต้องการใช้กำลังกับประชาชน

พี่น้องก็เห็น วันนั้นพอเข้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ เจ้าหน้าที่กับประชาชนกอดกันกลมแล้วมีข้อเท็จจริงว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งยิงแก๊สน้ำตามาถูกแม่ตัวเอง ซึ่งอยู่ฝ่ายเรา นั่นเขายังเอามาพูดกันอยู่ทุกวัน แล้วทำอย่างไรครับพี่น้องครับ วันนี้ฝ่ายรัฐบาลมันออกประกาศ รับอาสาสมัครมาเป็นผู้ช่วยตำรวจ เพื่อที่จะมาปราบปรามประชาชนที่ชุมนุม นี่มันกำลังจะเอาเสื้อแดง เสื้อดำ มาเล่นงานเรา พี่น้อง นี่คือความระยำของรัฐบาลนี้

พี่น้องทั้งหลาย ผมได้กราบเรียนกับพี่น้องตั้งแต่ต้นว่า ไอ้ตัวปัจจัยสำคัญที่ยังทำให้ระบอบทักษิณมันยังขับเคลื่อนไปได้ ยังทำร้ายประเทศชาติ ยังทำร้ายประชาชนได้ หนึ่ง คือเรื่องสื่อมวลชนที่อยู่ในอิทธิพลเขา สอง คือ ข้าราชการประจำ ที่ยังต้องก้มหน้าก้มตาทำงานรับใช้ระบอบทักษิณอยู่ทุกวี่ทุกวัน ถ้าสื่อมวลชนเลิกรับใช้ ไม่บิดเบือนข่าวสาร ว่าไปตามข้อเท็จจริง เรื่องก็จะดีกว่านี้เยอะ ถ้าข้าราชการไม่ไปทำงาน ไม่รับใช้ระบอบทักษิณอีกต่อไป หันกลับมาเข้าข้างประชาชน เรื่องนี้ก็จบไปแล้ว รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็จะเป็นรัฐบาลที่ล้มเหลว ไม่สามารถจะใช้ใครได้ ฟันเฟืองที่จะหมุนระบอบทักษิณไปข้างหน้า ก็ต้องหยุดลง เราได้ไปหาพี่น้องข้าราชการตาามกระทรวงต่างๆ ไปที่สำนักงบประมาณ ไปที่กระทรวงการคลัง ไปที่กระทรวงมหาดไทย ไปที่กระทรวงแรงงาน ไปหลายกระทรวง แม้ว่าฝ่ายรัฐบาลจะเอากำลังเจ้าหน้าที่มาขัดขวาง จะตั้งเครื่องกีดขวาง แบริเออร์ทั้งหลายสูงท่วมหัว มีอาวุธปืน แก๊สน้ำตาคอยยิงป้องกัน

แต่เราก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ถ้ามวลมหาประชาชนที่มีมือเปล่าตั้งใจจะเข้าไปในสถานที่ราชการเหล่านั้นจริงๆ เราก็เข้าจนได้ เพราะความมุ่งมั่นมานะอุดมการณ์ของประชาชนไม่มีอำนาจอาวุธไหน ยับยั้งหัวใจที่แข็งแกร่งของพวกเราได้อย่างแน่นอน นี่เราทำให้เห็น และเราก็บอกกับรัฐบาลได้ครับพี่น้อง จะให้เรายึดหมดทุกกระทรวง ทบวง กรม ในกรุงเทพฯ นี้ ผมเชื่อว่ามวลมหาประชาชนของเราเป็นแสนเป็นล้าน เรายึดได้หมด พรุ่งนี้ก็ได้ มะรืนนี้ก็ได้ แต่พวกผมคณะกรรมการแกนนำตัดสินใจแล้วครับพี่น้องครับ เราทนเห็นพี่น้องบาดเจ็บไม่ได้ ผมเห็นพี่น้องที่ถูกแก๊สน้ำตา 2 วัน 3 วัน แม้หัวใจยังห้าวหาญแต่ดูสภาพร่างกายน่าสงสาร โดยเฉพาะคุณแม่ คุณป้า คุณยายผู้สูงอายุทั้งหลาย ซึ่งสู้เหลือเกินเที่ยวนี้ พวกผมไม่ต้องการให้คุณป้า คุณย่า คุณยายเหล่านั้นต้องทุกข์ทรมานมากกว่านี้ ไม่คุ้มกันเลยที่จะเข้าไปยึดสถานที่ราชการเหล่านั้น

ผมจึงอยากจะใช้โอกาสนี้ครับ กราบเรียนไปถึงพี่น้องข้าราชการทั้งประเทศ ท่านคิดเองไม่เป็นเลยหรือ ทำไมถึงจะต้องให้ผู้หญิงสูงอายุที่เป็นแม่เรา เป็นป้าเราลุกขึ้นมาเสียสละมากมายขนาดนั้น ข้าราชการทั้งหลายเป็นผู้ทรงภูมิความรู้ทั้งนั้น จบปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก รู้มากกว่าคุณแม่ คุณป้า คุณย่า คุณยายที่ส่งให้เรียน วันนี้ทำไมคิดเองไม่ได้ ทำไมเลือกข้างเองไม่ถูก ไม่รู้ว่าข้างไหนชั่ว ไม่รู้ว่าข้างไหนดี มันเป็นอย่างไรไปแล้ว ใจคอข้าราชการทั้งหลายต้องการให้คุณแม่ คุณป้า คุณย่า คุณยาย น้องสาว พี่สาวไปตายอยู่ที่หน้ากระทรวง เพื่อให้พวกคุณยังสามารถได้ดิบได้ดีอยู่ในระบอบทักษิณต่อไปอย่างนั้นหรืออย่างไรครับ ถามหน่อย ผมไม่แลก ตัดสินใจแล้วครับพี่น้อง เราเดินทางมาอย่างนี้ เราสู้มาอย่างนี้ เราตั้งใจของเราแน่วแน่ว่า เราทำในสิ่งที่ดีทำในสิ่งที่ถูกต้อง และวิธีการต่อสู้ของเราก็บริสุทธิ์ เรายึดแนวอหิงสา สันติ ไม่มีอาวุธ ไม่รุนแรง แต่เราก็ไม่สามารถทนเห็นญาติพี่น้องของเราต้องได้รับบาดเจ็บ ถูกยิง ถูกขว้างระเบิด หรือแม้แต่ถูกแก๊สน้ำตา การต่อสู้ของเราที่ทำด้วยวิธีการสันติ ไม่รุนแรงไม่มีอาวุธนั้น มีความสำคัญอยู่ข้อเดียวเท่านั้น คือ จำนวนของคนที่ลุกขึ้นต่อสู้ต้องมากมายมหาศาลถึงจะชนะเขาได้ ไม่งั้นชนะไม่ได้ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พี่น้องประชาชนก็ได้ออกมาแสดงพลังกันครั้งหนึ่งเป็นล้านคน

นั่นก็เห็นครับว่า มีพี่น้องประชาชนนับล้านคนที่ต้องการทวงอำนาจคืน ไม่ต้องการให้ไอ้พวกโจรเอาอำนาจของเราไปใช้ในทางที่ผิด ไปฉ้อไปโกงไปทุจริตคอร์รัปชัน ไปทำให้ชาติวิบัติเสียหาย เอาอำนาจของเราคืนมา เราจะจัดการของเราเอง ออกมาแสดงตนด้วยความกล้าหาญนับล้านคน แต่พวกโจรมันหน้าด้านเหลือเกินครับ กอดอำนาจกันเหนียวแน่น จนวันนี้มันก็ไม่ยอม มันบอกว่า ไอ้ที่ออกมาแค่ล้านเดียว ที่เลือกพวกมันมีตั้ง 13-14 ล้านคน นี่ความหน้าด้านของมัน วันที่พวกผมตัดสินใจลาออกจาก ส.ส. เพื่อมาร่วมต่อสู้กับพี่น้องทั้งหลาย เพราะพวกเราได้สัมผัสกับพี่น้อง ได้หยั่งรู้ถึงความคิดจิตใจของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งหลายว่า พี่น้องทนเจ็บปวดขมขื่นมากับระบอบทักษิณสิบกว่าปีแล้ว เห็นชาติวิบัติย่อยยับลงต่อหน้าต่อตา ทนไม่ได้อีกแล้ว อยากจะลุกขึ้นมาต่อสู้เพียงแต่ว่า ยังไม่มีใครมาเป็นตัวตั้งตัวตี เป็นคนจัดการ พวกผมทั้ง 9 คน จึงตัดสินใจลาออกจากผู้แทนราษฎร มาร่วมต่อสู้กับพี่้น้อง และก็ทำให้บรรดาองค์กรเครือข่ายประชาชนอื่นๆ ที่เขาสู้อยู่ก่อน มีกำลังใจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น คปท. กองทัพธรรม กองทัพประชาชน กลุ่มธุรกิจสีลม กลุ่มนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย เมื่อเห็นพวกเราออกมาสู้กันอย่างเป็นปึกแผ่น ทุกฝ่ายก็มีกำลังใจ และเข้ามาร่วมกัน ถึงได้เป็น กปปส.ขึ้นมาอย่างเป็นรูปเป็นร่าง เป็นกระบวนการ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย

ในชีวิตของพวกเราทุกคน ไม่มีใครเคยเห็นปรากฏการณ์อย่างนี้ขึ้นมาก่อน ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่คนไทยผู้รักชาติรักแผ่นดินจะลุกขึ้นต่อสู้เพื่อปกป้องชาติ ปกป้องแผ่นดิน ด้วยความกล้าหาญ แน่วแน่ มั่นคง เหมือนกับพี่น้องมวลมหาประชาชนที่ลุกขึ้นต่อสู้ในครั้งนี้ นี่คือข้อเท็จจริงที่้ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์

หลายคนออกมาพูดว่า กำนันสุเทพ ถ้าทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ จะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะว่าทำให้เสียของ คนอุตส่าห์ลุกขึ้นเป็นล้านๆ แล้วไม่สามารถทำให้ชนะได้ พี่น้องที่เคารพได้ พวกผมไม่ใช่พวกเพ้อเจ้อ เป็นพวกที่เคารพความเป็นจริง ผมได้กราบเรียนกับพี่น้องทั้งหลายแล้วว่า ชีวิตพวกเราทุกคนวางเป็นเดิมพัน ทุ่มเทหมดหน้าตักในการต่อสู้ครั้งนี้ และพี่น้องก็ได้ประจักษ์ชัดว่าพวกผมทุ่มเทอย่างนั้นจริงๆ และเคียงข้างพี่น้องมาโดยตลอด ไม่เคยคิดเป็นห่วงอนาคตของตัวเอง และได้ประกาศชัดเจนว่า สู้ครั้งนี้ หนเดียว ทำครั้งนี้ครั้งเดียว แพ้/ชนะ ก็ต้องยอมรับ แต่จะสู้ให้สุดกำลัง ทำเต็มที่ ทุ่มเททุกอย่าง ความพยายามเป็นเรื่องของเรา เป็นเรื่องของมนุษย์ ความสำเร็จเป็นเรื่องของฟ้าดิน แต่จะไม่ละความพยายามโดยเด็ดขาด

แต่ผมกราบเรียนกับพี่น้องตามความเป็นจริงครับ ถ้าพี่น้องประชาชนมีจำนวนกันเพียงแค่นี้ แม้จะมีหัวใจห้าวหาญอย่างไร กอดคอเหนียวแน่นกันอย่างไร สู้ต่อไปด้วยความมั่นคงอย่างไร ก็จะต้องมีคนเจ็บ ก็จะต้องมีคนตาย เพราะไอ้พวกผู้ร้าย โจรห้าร้อยนั้น มันไม่เคยปรานีประชาชนมันถึงทำกับนักศึกษารามคำแหง มันถึงทำกับพวกเราเมื่อคืนนี้ทั้งที่คอกวัว และกระทรวงการคลัง และเตรียมจะทำต่อไปในวันข้างหน้า ผมรู้ครับว่าพี่น้องทั้งหลายก้าวพ้นความกลัวเหล่านั้นมาแล้ว พี่น้องไม่กลัวมัน ผมก็ไม่กลัวมันครับพี่น้อง ยินดีที่จะสู้จนตาย แต่ว่าชัยชนะของเรามันไม่ได้วัดกันที่จำนวนคนเจ็บ มันไม่ได้วัดกันที่จำนวนคนตาย พี่น้องทั้งหลาย มันวัดกันตรงจำนวนของคนที่ลุกขึ้นมากอดคอร่วมกันต่อสู้ ผมถึงบอกว่าการต่อสู้เรื่องนี้ต้องกำหนดวันจบได้แล้ว และผมกำหนดแล้ว วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม เรื่องนี้ต้องจบครับพี่น้องครับ ไม่มีประโยชน์ที่เราจะต่อสู้ยืดเยื้อไปจนถึงปี 57-58 ทุกคนมีภาระหน้าที่ต้องกลับบ้านไปทำมาหากิน และนี่รัฐบาลเขาก็รู้ เขาถึงพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงกับเรา จะขอต่อรอง จะยุบสภาฯ เอาไหม จะลาออกเอาไหม มาเจรจากันไหม มันตั้งใจซื้อเวลาให้เราหมดแรง ให้เราเบื่อไปเอง กูก็รู้เท่ามึง ในขณะเดียวกัน มีพี่น้องประชาชนอีกจำนวนมากที่อยู่ที่บ้าน เป็นพวกที่ไม่อยากเห็นความรุนแรง อยากเห็นบ้านเมืองสงบ จะเป็นขี้ข้าเขาทั้งชาติก็ได้ไม่เป็นไร มีพี่น้องประชาชนอีกบางส่วนเอาใจช่วย แต่ว่าไม่อยากถูกแดด ไม่อยากตากฝน ไม่สามารถทนเหนื่อยได้ นอนเชียร์อยู่หน้าจอที่บ้าน แล้วจะให้แนวหน้าผู้รักชาติรักแผ่นดินมาตรากตรำอยู่ทั้งปีทั้งชาติเป็นหวัดกันหมดแล้ว โดนแก๊สกันหมดแล้ว

ผมถึงบอกว่า ไม่ต้องยืดเยื้อ ไม่ต้องให้มันยาวนานกว่านี้ เอากันให้จบไปเลยดีกว่า ประกาศไปเลยคืนนี้จะเป็นจะตาย จะแพ้จะชนะ ให้มันรู้กัน วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคมนี้ พวกผมตัดสินใจแล้วพี่น้องครับ บรรดาคณะกรรมการ กปปส.ทุกคน แกนนำทุกคนทุกเครือข่าย ปรึกษากันเรียบร้อย และมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ผมประกาศกับพี่น้องทั้งหลายว่า วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคมนี้ ต้องทำให้การต่อสู้คราวนี้จบลงให้ได้ มันจะจบอย่างไรครับพี่น้อง ผมเรียนกับพี่น้องแล้ว การต่อสู้ของคนดี การต่อสู้ที่คนดีใช้หลักสันติ ไม่ใช้อาวุธจะชนะได้จำนวนคนที่ออกมา ต้องมากมายมหาศาล จนมันต้องยอมแพ้จริงๆ เท่านั้น

เพราะฉะนั้นทุกคนในประเทศไทยต้องตัดสินใจเลือกข้าง เกิดมาจนป่านนี้โตมาจนป่านนี้ ต้องตัดสินใจให้ได้ว่าจะเลือกอยู่ข้างไหน ต้องตัดสินใจแล้ว ถ้าตัดสินใจที่จะเป็นเสรีชน ตัดสินใจที่จะปกปักรักษาบ้านเมือง ถ้าตัดสินใจจะรักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ต้องออกมา แต่ถ้าทำใจได้ว่าชาตินี้จะยอมตัวเป็นขี้ข้าระบอบทักษิณต่อไปทั้งชาติก็จงนอนเสพสุขอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องมา ไม่เสียใจกัน ไม่โกรธเคืองกัน ไม่ต้องฆ่ากัน ถ้าพวกคุณยอมออกมา เพราะคุณเลือกข้างถูก เลือกข้างประเทศไทย เลือกข้างประชาชนส่วนใหญ่ เลือกอนาคตของลูกหลาน เราชนะโดยไม่มีคนเจ็บโดยไม่มีคนตาย แล้วชนะตลอดไป

วันที่ 9 นี้ ข้าราชการทั้งหลาย ถ้าเห็นแก่อนาคตของประเทศไทย ถ้าเห็นแก่อนาคตของลูกหลานเรา หยุดทำงาน ไม่ต้องไปทำงาน แล้วมาร่วมกับประชาชน ผมได้ข่าวว่า รัฐบาลเขากำหนดแผนการแล้วครับ วันจันทร์นี้เขาจะบังคับข้าราชการทั้งหลายให้แต่งชุดสีกากี แล้วก็เกณฑ์เด็กนักเรียนแต่งเครื่องแบบเรียบร้อย แล้วให้ข้าราชการที่แต่งเครื่องแบบและนักเรียน เดินมาอ้อนวอนพวกเราให้เลิกชุมนุม เพื่อให้บ้านเมืองสงบ ถ้าเราไม่เลิกชุมนุมไอ้ทักษิณมันสั่งไว้แล้วว่า ให้ปราบปรามด้วยความรุนแรง ไม่ให้เหลือผู้ชุมนุม และแกนนำเลย ผมจึงได้ประกาศเลยว่า เอาเลยถ้าอย่างนั้น วันที่ 9 ให้เห็นดำเห็นแดงกันเลย

พี่น้องข้าราชการถ้าอยากจะแต่งเครื่องแบบออกมาก็แต่งได้ แต่ออกมาแล้วต้องมาอยู่ข้างเดียวกับประชาชน เอาอย่างนี้ก็แล้วกันพี่น้องครับ นัดหมายกันเลยวันนี้ นัดหมายกันคืนนี้เลย จะได้เตรียมตัวกันไว้ล่วงหน้า นอนกันให้เต็มอิ่ม พักผ่อนกันให้เต็มตา สะสมกำลังไว้ วันจันทร์ที่ 9 เวลา 09.39 น. ลุกฮือขึ้นทั้งประเทศ ทวงอำนาจอธิปไตยคืน

ลุกขึ้นให้พร้อมกันทั่วประเทศ คนที่อยู่ต่างจังหวัด ลุกขึ้นเดินขบวนในจังหวัดของตัวเอง ในตลาด ตลาดอำเภอ ตลาดจังหวัด เดิน แล้วก็มุ่งหน้าไปที่ศาลากลางจังหวัดทุกแห่ง ไม่ต้องบุกรุกเข้าไป ปิดทางเข้าศาลากลางจังหวัด ไม่ให้มันทำงานได้อีกต่อไป เอาวันที่ 9 นี้ล่ะ

นิสิต นักศึกษา นักเรียน ทุกแห่ง ลุกขึ้นพร้อมๆ กัน วันที่ 9 09.39 น. เป็นสัญญาณนัดหมายลุกขึ้นทั้งประเทศ ก่อเหตุนี้ ปฏิเสธไม่รับรัฐบาลนี้ ไม่รับระบอบทักษิณ เอาอำนาจเราคืนมา

สำหรับพี่น้องประชาชนชาวกรุงเทพมหานคร ช่วงนี้ วันหยุดยาว พาครอบครัวไปเที่ยว วันอาทิตย์ที่ 8 รีบกลับบ้าน อาบน้ำ กินข้าว นอนแต่หัวค่ำ รักชาติ รักประเทศ ตื่นเช้าวันที่ 9 ต้องออกมา ลงบนถนนทุกคน ใครนอนบ้าน ทรยศต่อประเทศไทย ทานข้าวเช้าเรียบร้อย ตั้งแต่วันที่ 9 เอาน้ำขวด เอาข้าวห่อ ใสเป้ใส่ถุง ชวนลูกชวนเมียออกมาบนถนน และเดินไปบนถนนทุกสายในกรุงเทพฯ เดินขบวนครั้งใหญ่ให้โลกจารึก

ขอให้คนกรุงเทพฯ ทุกคนลุกขึ้นมาเดินขบวนพร้อมกัน วันจันทร์ที่ 9 เวลา 09.39 น. ฤกษ์ดี ฤกษ์มีชัย ของประชาชนออกมาทุกคน เดินไปตามถนนทุกสาย มุ่งหน้าไปทำเนียบรัฐบาล เพื่อไปประกาศเอาอำนาจประชาชนคืนมา จากพวกโจรห้าร้อยของระบอบทักษิณ ใครอยู่ใกล้ เดินไปถึงก่อน ตั้งเวที พูดจาปราศรัยไปพลางๆ คนอยู่ไกลเดินตามไปสมทบ วันนั้นไม่ใช่ล้านเดียวแล้ว เอาทุกล้านที่มีออกมาหมดทุกคนๆๆ

ถ้าพี่น้องออกมาพร้อมกันทุกคน โลกทั้งโลกจะเห็น ไม่มีใครปฏิเสธมวลมหาประชาชนนั้นได้อีกแล้ว แล้วมากันกลางวันแสกๆ วันที่ 24 เรามากลางคืน มันบอกว่ามันมองไม่เห็น มันนับไม่ได้ แต่วันที่ 9 เรามาตอนเช้า มากลางวันแสกๆ มาให้โลกทั้งโลกได้เห็น และเป็นพยานว่าเรามาทวงอำนาจเราคืน

พี่น้องทั้งหลาย ตัดเชือกกันวันนี้ แล้วทำใจเลยพี่น้อง พี่น้องทั้งหลายได้กอดคอต่อสู้กันมาเดือนกว่าแล้ว หลายคนวันแรกจนวันนี้ยังไม่ได้กลับบ้านเลย หลายคนยังมีสามี มีภรรยา พี่น้องมาเปลี่ยน แต่ว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้ คนที่อยู่ต่างจังหวัดที่เคยมาร่วมต่อสู้กับเรา กลับมาราชดำเนินได้แล้ว กลับมาศูนย์ราชการได้แล้ว ยกสุดท้ายแล้ว พี่น้องชาวกรุงเทพฯ ก็เตรียมตัว พี่น้องชาวต่างจังหวัดที่จะมาที่นี่ก็เตรียมตัว รวมพลังกันครั้งสุดท้าย ชนะเขาได้ก็เป็นไท แพ้เขาก็ก้มหน้าก้มตาเป็นขี้ข้าเขาไปทั้งชาตินี้ ไม่ต้องร้องไห้

ผมตัดสินใจแล้วครับพี่น้องครับ ได้พูดกับพี่ๆ น้องๆ แกนนำ กปปส.ทุกๆ คน เราจะไม่ให้พี่น้องประชาชนพี่น้องของเราต้องทุกข์ยากทรมานไปมากกว่านี้ ต้องจบในวันที่ 9 แพ้เป็นแพ้ ชนะเป็นชนะ ถ้าพี่น้องออกมาหลายล้าน เราจะประกาศอำนาจอธิปไตยได้กลับมาถึงมือของประชาชนแล้ว หลังจากนั้นเราจะใช้อำนาจของปวงชนชาวไทยจัดการบริหารประเทศ จนประเทศไทยสามารถเดินหน้าไปได้ แบบอารยะประเทศ มีกฎหมายรองรับแน่นอน เป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญทั้งมาตรา 3 มาตรา 7 มีไว้ชัด อย่ามาเบียดเบียน อย่ามาบิดเบือนข้อเท็จจริง นี่คือความจริง และเราจะเดินตามนี้ไม่ใช้ปฏิวัติ ไม่ใช่ยึดอำนาจ ไม่ใช่ฉีกรัฐธรรมนูญ แต่เราออกมาใช้อำนาจของเราพิทักษ์รัฐธรรมนูญ และระบอบประชาธิปไตย ไม่มีอาวุธอื่น เพราะเราเป็นคนดี มีเฉพาะหัวใจที่รักชาติ เอาหัวใจออกมา มากันให้พร้อม แต่ถ้าพี่น้องไม่มาพวกเราที่สู้มาทั้งหมดนี้ ก็พร้อมที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ ชีวิตนี้จะต้องร้องไห้ครั้งนี้มากที่สุดก็จะยินดี และจะไม่เสียใจอีก เพราะชาตินี้ได้สู้อย่างเต็มที่แล้ว

ผมขอประกาศว่า นี่คือการเป่านกหวีดครั้งสุดท้าย ถ้าพี่น้องประชาชนทั้งหลาย ข้าราชการทั้งหลาย ถ้าไม่เลือกข้าง พวกผมยอม ประชาชนไม่ออกมาผมจะเดินหน้าไปมอบตัว ยอมเข้าคุกไม่สู้กับมันแล้ว วัดกันไปเลยพี่น้อง จะได้ไม่ต้องยืดยาว จะต้องไม่ยืดเยื้อ จะได้ไม่ต้องทรมาน ถ้าชาตินี้จะต้องเอาชนะให้ได้ก็ต้องวันที่ 9 ธันวาคม เอาชนะมันไม่ได้ก็ยอมเป็นขี้ข้ามันเลยชาตินี้ ไม่ต้องฝันเป็นอย่างอื่นแล้ว ยอมมันไปเลย ผมและพี่ๆ น้องๆ ปรึกษากันแล้ว ยอมติดคุกข้อหากบฏ จะเอาโทษถึงประหารชีวิตก็ได้ เพราะเป็นชีวิตของพวกผมเพียง 9 คน ดีกว่าที่จะเอาชีวิตของพี่น้องผู้บริสุทธิ์ผู้รักชาติทั้งหลาย ไปเสี่ยงกับความโหดร้ายทารุณของผู้คนที่เป็นฆาตกรอยู่ในรัฐบาลนี้ จุดได้กำหนดวันชี้ชะตาคือวันที่ 9 ธันวาคมนี้ พี่น้องครับ ยังมีเวลาให้คนตัดสินใจ ยังมีวันพรุ่งนี้ ยังมีวันมะรืนนี้ และเรามาดูใจพี่น้องชาวไทยสายเลือดเดียวกันกับเรา ในวันที่ 9 ธันวาคม ว่าใจใครมันจะใหญ่กว่าใครมาพิสูจน์กัน มันจะได้จบเสียที ประเทศชาติก็จะไม่เสียหายย่อยยับไปมากกว่านี้ และจะได้ไม่มีเหตุที่เกิดการบาดเจ็บล้มตายของประชาชน

เอากันอย่างนี้นะครับพี่น้อง ตกลงนะครับพี่น้องครับ เรายังจะยังคงชุมนุมอยู่ที่นี่ คืนนี้ คืนพรุ่งนี้ คืนวันอาทิตย์ และในคืนวันอาทิตย์ นอนแต่หัวค่ำ เก็บข้าวทุบหม้อข้าวเลย ตื่นเช้าวันจันทร์ เดินทางไกลครั้งสุดท้าย ผมจะเดินนำหน้าพี่น้องไปทำเนียบรัฐบาล แล้วไม่กลับมาที่นี่อีก ไปตัดสินผลแพ้ชนะกันที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ไม่เข้าไปในทำเนียบ เพราะให้เกียรติทหาร แต่เราก็อยากจะดูใจทหารในเช้าวันที่ 9 ธันวาคม เหมือนกัน เพราะฉะนั้นครับ ผมซักซ้อมเลย พี่น้องที่อยู่ราชดำเนิน ใครจะสะดวกไปราชดำเนิน ตื่นเช้าไม่ต้องรอขบวน เดินไปก่อน ใครพร้อมจะไปสมทบที่กระทรวงการคลังไปก่อน คนที่จากต่างจังหวัดที่มาจากศูนย์ราชการก็มาค้างคืนที่นี่ในคืนวันอาทิตย์ และรุ่งขึ้นเช้าเดินไปด้วยกัน ต้องขอกราบเรียนพี่น้องชาวกรุงเทพฯ ใครที่ไม่ต้องการมาต่อสู้ร่วมกับเรานอนอยู่ที่บ้าน เพราะว่าถ้าท่านออกมานอกบ้าน รถจะติดมากมายมหาศาล เพราะเราเดินทุกถนน ถ้าท่านจะโกรธเรา เราก็ยอม เพราะวันนั้นเป็นวันเดียวที่เราตั้งใจสู้เพื่อชาติ และถ้ากรุงเทพฯ มันจะต้องปิดไปทั้งเมือง ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะชีวิตเรายังยอมแล้ว และหากพี่น้องประชาชนท่านใดเห็นว่า บรรดาสมุนของทรราชระบอบทักษิณที่มันยังคิดความรุนแรงมาปราบปรามประชาชน ท่านจะจอดรถจอดราขวางกั้นถนนตรงไหน เพื่อป้องกันพวกเรา เชิญทำได้ตามใจชอบ วันนั้นทุกคนมีเสรีทั้งกรุงเทพฯ ในการเดินขบวนทางไกล จากที่นี่ไปทำเนียบ 17-18 กิโลฯ คนหนุ่มคนสาวมีเรี่ยวมีแรง แข็งแรงดีเดินไป คนที่เดินแล้วเหนื่อยจะมีรถรับขึ้นรถขึ้นไป เชียร์เพื่อนไปไม่เป็นไร แต่เราไปขบวนเดียวกัน เราไปด้วยกัน แล้วบอกพี่น้องที่ถนนนี้ จากนี่แจ้งวัฒนะไปจนถึงวิภาวดีทั้งขาเข้าขาออก วันนั้นใครอย่าคิดใช้ถนน เพราะเราจะเดินเต็มถนนหมดทุกเลน พี่น้องประชาชนที่มีบ้านอยู่สุขุมวิท ทุกคนก็ต้องเดินมาจากบ้านตัวเอง แล้วเดินไปตามถนนสุขุมวิท เป้าหมายทำเนียบรัฐบาล ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เดินกันทั้งวัน พี่น้องสีลมเดินมาจากสีลม พี่น้องประตูน้ำเดินมาจากประตูน้ำ พี่น้องบึงกุ่มเดินมาจากบึงกุ่ม พี่น้องฝั่งธนฯ เดินมาจากวงเวียนใหญ่ ข้ามสะพานทุกสะพาน ขบวนประชาชนทั้งนั้น

นั่นคือวันที่ประชาชนชาวไทยลุกขึ้นประกาศความเป็นเสรีชน เอาอำนาจคืนมา และพิสูจน์อนาคตประเทศไทยกันเลย ว่าจะเป็นประเทศไทยที่ท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน หรือประชาชนต้องเป็นขี้ข้าระบอบทักษิณไปทั้งชาติให้มันรู้กันไป แล้วก็ไม่ต้องมีใครมาค่อนแคะ ไม่ต้องมีใครมานินทา ผมและเพื่อนๆ ไม่ต้องการเอาชีวิตของประชาชน เอาความทุกข์ยากของประชาชนไปลงทุนมากวก่านี้อีกแล้ว เห็นใจพี่น้องแล้ว