ครอบคร ว ม ต การพ ฒนาเศรษฐก จและส งคม

` 1-12 เศรษฐกิจไ​ทย แนวต​ อบก​ จิ กรรม 1.1.2

  1. สันนิษฐาน​ว่า ใน​สมัย​สุโขทัย​มี​แนวคิด​ว่า พ่อขุน​เป็น​เจ้าของ​และ​ผู้​ดูแล​ที่ดิน​ใน​แว่น​แคว้น​และ​ สนบั สนนุ ใ​หพ​้ วก​ไพรห​่ ัก​รา้ งถ​ างพ​ งท​ ี่ดิน​เพอื่ ​เพาะ​ปลกู รวม​ทัง้ ​ให้ส​ ิทธ​ิใน​การ​ถือค​ รอง​ทีด่ ิน​ท�ำ ​กินแ​ ละเ​ป็น​มรดก​ สืบทอดถ​ งึ ​ลกู ​หลานไ​ด้
         สว่ นใ​นส​ มยั อ​ ยธุ ยาน​ นั้ ม​ ก​ี ารจ​ ดั การด​ า้ นท​ ด่ี นิ ท​ เ​ี่ ปน็ ร​ ะบบก​ วา่ ส​ มยั ส​ โุ ขทยั ในท​ างท​ ฤษฎี พระม​ หาก​ ษตั รยิ ​์  
    
    ทรงเ​ปน็ เ​จา้ ของท​ ด่ี นิ ท​ ว่ั ท​ งั้ อ​ าณาจกั ร แตใ​่ นท​ างป​ ฏบิ ตั พ​ิ ระองคไ​์ ดพ​้ ระราชทานส​ ทิ ธใ​ิ นก​ ารถ​ อื ค​ รองท​ ด่ี นิ เ​พอื่ ส​ รา้ ง​ ผลป​ ระโยชน์​แก​เ่ จ้าน​ าย ขนุ นาง ไพร่ และท​ าส ลดห​ ลนั่ ​กนั ไ​ปต​ ามศ​ ักดนิ าท​ ี​แ่ ต่ละ​คน​มอ​ี ยู่ รวมท​ ง้ั ไ​ดท้​ รง​กัลปนา​ ทีด่ ิน​แกว​่ ัด​ดว้ ย ในส​ งั คม​ศกั ดินา​สมัย​อยุธยา พระ​มหาก​ ษัตริย์ มูลนาย และ​วัด​จงึ เ​ปน็ ​ผ้คู​ วบคมุ ป​ ัจจัย​การ​ผลิต​ดา้ น​ ที่ดนิ ส่วน​พวกไ​พร่ม​ ี​สิทธ​ใิ น​ทด่ี ินท​ ​ีต่ นท​ �ำ ​กนิ ไมม่ ​ปี ญั หา​ในเ​รอ่ื งท​ ่ีดนิ และร​ ัฐ​ได​้สนับสนุนใ​ห​้ไพรห่​ กั ​รา้ ง​ถางพ​ ง​ บกุ เบกิ ท​ ดี่ นิ เ​พาะป​ ลกู ด​ ว้ ยม​ าตรการต​ า่ งๆ เพอื่ จ​ ะไ​ดป​้ ระโยชนจ​์ ากก​ ารเ​กบ็ ส​ ว่ ยส​ าอ​ ากรจ​ ากพ​ วกไ​พรใ​่ นผ​ ลผลติ ต​ า่ งๆ ท​ไี่ ด​จ้ าก​ผืน​ดนิ อนึ่งส​ ทิ ธ​ิในก​ าร​ถือค​ รอง​ทด่ี ิน​ที​่ครอบ​ครองน​ น้ั ​เปน็ ม​ รดก​ตกทอดถ​ งึ ล​ กู ห​ ลานแ​ ละซ​ อื้ ​ขาย​กนั ไ​ด้
  2. ใน​สมัย​รัตนโกสินทร์​ตอน​ต้น ชาว​จีน​อพยพ​ท่ี​อยู่​ใน​วิถี​การเกษตร​เพ่ือ​การ​ค้า​มี​สิทธิ​ใน​การ​ถือ​ครอง​

    และส​ รา้ ง​ผลป​ ระโยชน​ใ์ นท​ ดี่ ิน​ทต่ี​ น​บุกเบกิ จ​ ับจอง รวมท​ ้ัง​มสี​ ิทธใ​ิ น​การข​ ายท​ ด่ี นิ ​ท​่จี บั จอง​บุกเบิก​แลว้ แ​ ก่ผ​ อู​้ ื่นไ​ด้ เรอื่ ง​ที่ 1.1.3 ปจั จัย​การผ​ ลติ ​เรื่องแ​ รงงาน

       ในส​ ังคมไ​ทยส​ มัยจ​ ารตี ก​ ่อนก​ ารพ​ ัฒนาเ​ข้าส​ สู​่ ังคมส​ มยั ใ​หมภ่​ ายใ​ตร​้ ะบบท​ ุนนิยมน​ ั้น ก�ำ ลงั ค​ นห​ รือแ​ รงงานไ​พร​่  
    
    เป็นท​ รัพยากรท​ ี่ม​ ี​ค่า​ยิ่งข​ อง​อาณาจักรท​ ั้งใ​น​ด้าน​เศรษฐกิจแ​ ละก​ ารเมือง ในด​ ้านเ​ศรษฐกิจพ​ วก​ไพร่เ​ป็นแ​ รงงานส​ ำ�คัญ​ ใน​การ​ผลิต​อาหาร​เลี้ยง​ผู้คน​ใน​อาณาจักร ตลอด​จน​สร้าง​ผลผลิต​อื่น​ที่​ยัง​ความ​มั่งคั่ง​สมบูรณ์​ให้​รัฐ และ​ยัง​รับ​ภาระ​ เสีย​ภาษีใ​ห้​รัฐ​ด้วย เช่น อากรค​ ่า​นา อากรส​ มพ​ ัตส​ ร และ​ค่าธ​ รรมเนียมต​ ่างๆ เป็นต้น ในข​ ณะ​เดียวกัน กำ�ลังค​ น​ก็​เป็น​ พื้นฐ​ านส​ ำ�คัญ​ประการ​หนึ่ง​ของก​ าร​สร้างอ​ ำ�นาจ​ทางการเ​มือง เป็นก​อง​ทัพใ​น​ยาม​เกิด​ศึกส​ งคราม อีก​ทั้ง​ยังเ​ป็น​แรงงาน​ โยธา​ในก​ ารก​ ่อสร้าง​ต่างๆ เช่น การส​ ร้างป​ ้อมป​ ราการ กำ�แพงเ​มือง ขุดค​ ลอง คูเมือง อ่าง​เก็บ​นํ้า สร้างถ​ นนห​ นทาง และ​ วัดวา​อารามต​ ่างๆ ด้วยเ​หตุน​ ี้​การค​ วบคุม​กำ�ลังค​ นใน​อาณาจักร​ด้วย​ระบบ​ที่​มี​ประสิทธิภาพ เพื่อ​ให้​สามารถจ​ ัดสรร​และ​ เกณฑ์​แรงงาน​มา​ใช้​ให้​เกิด​ประโยชน์​สูงสุด จึง​เป็น​สิ่ง​ที่​มีค​ วามส​ ำ�คัญ​ยิ่ง
       ใน​ทาง​ทฤษฎี พระ​มหา​กษัตริย์​ทรง​เป็น​เจ้าของ​กำ�ลัง​คน​หรือ​แรงงาน​ไพร่​ทั้งหมด​ใน​ราช​อาณาจักร แต่​ใน​  
    
    ทาง​ปฏิบัติ​พระองค์​ไม่​สามารถ​จะ​ควบคุม​แรงงาน​ไพร่​ทั้งหมด​ได้​โดย​ลำ�พัง จึง​ต้อง​ทรง​มอบ​หมาย​ให้​พวก​มูลนาย​หรือ เ​จ้าน​ ายแ​ ละข​ ุนนางซ​ ึ่งเ​ป็นช​ นชั้นป​ กครองแ​ ละม​ ีส​ ่วนช​ ่วยพ​ ระม​ หาก​ ษัตริยใ์​นก​ ารบ​ ริหารง​ านร​ าชการต​ ่างๆ เป็นผ​ ู้ค​ วบคุม​ แทน กล่าว​อีก​นัยห​ นึ่ง​ก็​คือ ทรง​ควบคุมป​ ัจจัยก​ ารผ​ ลิตเ​รื่องแ​ รงงาน​โดยผ​ ่าน​กลไก​ต่างๆ ของร​ ัฐ
       ใน​สมัย​สุโขทัย การ​ศึกษา​ค้นคว้า​ทาง​วิชาการ​ได้​ข้อ​สรุป​ว่า ใน​สมัย​นี้​มี​การ​ควบคุม​จัดการ​เรื่อง​แรงงาน​ใน​  
    
    ลกั ษณะท​ วี่​ า่ ไพรส่​ บิ ค​ นม​ น​ี ายส​ บิ ด​ ูแล ถดั จ​ ากน​ ัน้ ม​ น​ี ายห​ ้าส​ ิบ นายร​ ้อยห​ รอื ห​ ัวปาก นายพ​ นั เจา้ ห​ มืน่ เจา้ แ​ สน ตามล​ �ำ ดับ เจ้าห​ มื่นจ​ ะส​ ั่งก​ ารผ​ ่านล​ ่ามห​ มื่นไ​ปย​ ังน​ ายพ​ ัน และน​ ายพ​ ันจ​ ะต​ ิดต่อเ​จ้าห​ มื่นโ​ดยผ​ ่านทางล่ามห​ มื่น เมื่อพ​ ิจารณาจ​ ากก​ าร​

    `