ขณะที่คนหนึ่งสิ้นแรง อีกคนกลับหน้าระรื่น ภันวัฒน์วางโทรศัพท์มือถือของตนเองลงบนโต๊ะ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ ดวงตาจับจ้องบัตรประชาชนของใครบางคนที่ตนเป็นคนยึดไว้ซึ่งอยู่ในมือ กวาดตามองใบหน้าในรูปถ่ายก่อนย้ายไปที่ชื่อ-นามสกุลซึ่งปรากฏอยู่ เข้าใจแล้วชื่อที่ใช้ในบล็อกมาจากไหน จากนั้นก็โยนมันลงบนโต๊ะทำงานซึ่งมีกระเป๋าเงินสีเทาอ่อนวางอยู่ พรุ่งนี้เขาจะได้เคลียร์ปัญหาคาราคารังที่ทำให้เขาหนักอกมาเกือบเดือนสักที เขาจะต้องทำให้อาทิตย์อัสดงยอมแก้ไขข้อมูลในบล็อกนั่นให้ได้ แล้วก็ต้องลงข้อความขอโทษด้วย นอกจากนั้นก็ต้องเรียกค่าเสียหายเพื่อชดใช้สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะความมักง่ายของเจ้าตัว ก๊อก ก๊อก ก๊อก ประตูหน้าห้องเปิดออกมาหลังจากเสียงนั้นดังอยู่ชั่วครู่ ร่างที่ก้าวเข้ามาเป็นหญิงสาวคนเดิม เธอมาพร้อมกับแฟ้มในมือ และยื่นส่งให้กับผู้เป็นเจ้านาย “รายงานสรุปเรื่องอีเวนท์บุฟเฟต์ขนมหวานของสองสัปดาห์ที่ผ่านมาค่ะ” “ขอบคุณครับ คุณนน” “นนนี่ค่ะ” แม้จะถูกค้านเรื่องชื่อ แต่ผู้จัดการหนุ่มกลับทำหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยินเสียงใดๆ เขาเปิดดูเอกสารในแฟ้มพร้อมกับฮัมเพลงในลำคอไปด้วย พานให้เลขานุการสาวประหลาดใจ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เพราะแม้เจ้านายของเธอจะเป็นคนสบายๆ แต่วันนี้ก็ดูผิดปกติอยู่ดี “วันนี้คุณภันดูอารมณ์จังเลยนะคะ” “ดูออกด้วยเหรอ” ไม่ได้ตอบโดยตรง แต่แสร้งยื้อบทสนทนาแบบคลุมเครือ “ดูออกสิคะ นนนี่ไม่ได้ตาบอดหูหนวกนะคะ” “พรุ่งนี้ผมมีเดทน่ะ” นนทิยามุ่นคิ้วเข้ามาหากันแทนที่ตำแหน่งเดิม เจ้านายของเธอเป็นชายหนุ่มภูมิฐาน หน้าตาจะเรียกว่าหล่อเหลาก็คงไม่กระดาก เพราะคมเข้มมีเสน่ห์ จึงไม่แปลกหากจะมีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เข้ามาในชีวิตบ้าง แต่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเรื่องแบบนี้ ไม่รู้แน่ว่าเพราะไม่เคยพูดถึง หรือไม่เคยเอามาเป็นสาระด้วยสับรางไม่หวาดไม่ไหว “จะอวดเหรอคะ” “ผมเห็นคุณสงสัย ก็เลยบอกเฉยๆ” “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณค่ะ” สิ้นเสียงของเธอ ปลายปากกาในมือชายหนุ่มก็ตวัดลายเซ็นบนเอกสารเสร็จพอดี เขาปิดแฟ้มส่งมันคืนให้เธอก่อนเตือนย้ำ “พรุ่งนี้ผมหยุดนะ อย่าโทรมารบกวนผมล่ะ” “นนนี่จะโทรเฉพาะแค่เวลาเจ้านายหนีงานเท่านั้นแหละค่ะ” เธอรับแฟ้มมาถือไว้ และแถมด้วยการแขวะกันอีกฝ่ายอีกเช่นเคย แต่คนโดนลูกน้องปีนเกลียวใส่กลับยักไหล่ไม่ใส่ใจ “ผมว่าผมมีความรับผิดชอบพอดูนะ” “ก็แค่พอดูน่ะค่ะ” ตอบเหมือนไม่ใส่ใจแล้วเธอก็เอ่ยขอตัว ก่อนจะก้าวถอยหลังสองสามก้าว และหมุนตัวเดินออกจากห้องไปตามมารยาทที่ดี ประตูห้องทำงานปิดลง มือหนาเลื่อนออกมาจับบัตรประชาชนที่วางแผ่อยู่บนโต๊ะอีกรอบ ภันวัฒน์เดาะลิ้นเบาๆ อย่างสบายอารมณ์ จากนั้นจับมันใส่ลงในกระเป๋าเงินที่วางอยู่ข้างกัน อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ ซะแล้ว ท้องนภาเปื้อนด้วยสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ เสียงระฆังประตูดังเบาๆ ขณะที่พื้นที่ภายในร้านซึ่งอุ่นอวลไปด้วยกลิ่นหอมหวานถูกเก็บกวาดจนสะอาดเรียบร้อยแล้ว เจ้าของร่างสูงที่นั่งชะเง้อมองประตูมาตลอดทั้งวันยกตัวลงจากเก้าอี้ตรงเคาน์เตอร์เมื่อเห็นว่าคู่นัดหมายเพิ่งผ่านประตูเข้ามา “มาซะดึกเลยนะครับ” “คุณไม่ได้บอกสักหน่อยว่าผมจะต้องมากี่โมง มันก็ต้องแล้วแต่ผมสะดวกไม่ใช่เหรอครับ” ขาเรียวก้าวเข้ามาพร้อมตอบคำทักทายที่เหมือนจะสุภาพอยู่ในที แต่ได้ยินเมื่อไรก็รู้ว่าเจตนาของคนพูดไม่ได้ต้องการสุภาพถึงขนาดนั้น “นั่งก่อนสิครับ” “ไม่จำเป็นหรอก ผมแค่มาเอากระเป๋าตังค์ของผมคืน” แทนที่จะตอบอะไรกลับมาบ้าง ชายร่างสูงผิวสีเข้มกว่าที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์กลับรินน้ำลงแก้วอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน เหมือนกับจะยั่วโมโหกัน ก่อนจะเดินถือมันมาวางบนโต๊ะตัวที่ใกล้ที่สุด ซึ่งเป็นบริเวณที่ตกแต่งแนวโมเดิร์น พื้นโต๊ะเป็นกระจกใสแต่งสีเป็นลวดลายสดงาม จากนั้นก็หย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ราวกับจะระบุว่าให้แขกที่มาเยือนนั่งฝั่งที่มีแก้วน้ำตั้งอยู่อย่างไรอย่างนั้น อาทิตย์อัสดงยืนมองกิริยาของภันวัฒน์อย่างไม่สบอารมณ์อยู่ชั่วครู่ แต่เพราะอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาใดๆ นอกเหนือจากนั้น ดั่งรอให้ตนลงไปนั่งประจันหน้ากัน จึงยอมสืบเท้าเข้าไปใกล้และทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ในตำแหน่งที่เว้นไว้ให้อย่างช่วยไม่ได้ “คืนกระเป๋าตังค์ผมได้หรือยังครับ” “ทำไมใจร้อนจังเลยล่ะครับ ทีตอนสร้างความเดือดร้อนให้ผม ไม่เห็นจะรู้สึกอะไร” คิ้วเรียวดำของบล็อกเกอร์หนุ่มขมวดฉับทันทีที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ เริ่มรู้สึกว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้ารับมือยากขึ้นมาทันใด “คุณต้องการอะไร” “ง่ายๆ” เสียงทุ้มเอื้อนออกมาพร้อมกับรอยยิ้มเย็นใจ แต่สร้างความกดดันให้คนมองเห็นได้ไม่น้อย “ลบเอนทรี่ที่คุณอัพเกี่ยวกับ Sweet Butterfly ซะ แล้วก็ต้องอัพบล็อกขอโทษร้านของผมด้วย” “ผมว่าคงไม่จำเป็นมั้งครับ” ไม่ต้องคิดตรึกตรองให้เสียเวลา อาทิตย์อัสดงสวนคำตอบกลับมาฉับพลัน มองสบตาร่างสูงโดยไม่หลีกเลี่ยง ให้รู้กันไปเลยว่าเขาไม่อ่อนข้อให้แน่นอน ในเมื่อเขาไม่ผิด "ถ้าอย่างนั้นผมคงคืนของให้คุณไม่ได้” สิ่งที่ตอบกลับมาไม่ไกลจากที่คาดการณ์ไว้เมื่อครู่ อาทิตย์อัสดงลอบสูดลมหายใจลึกเพื่อระงับความไม่พอใจเอาไว้ ปกติเขาเป็นคนค่อนข้างใจเย็น แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชายคนนี้แล้วกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนตนกลายเป็นภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุเมื่อไรก็ได้ “ก็ได้ ถ้าอยากได้คุณเอาไปเลย ผมทำบัตรใหม่ทั้งหมดก็ได้ ไม่มีปัญหา” นั่นคือหนทางเดียวที่จะรับมืออีกฝ่ายได้ “ดูท่าคุณไม่ค่อยเดือดร้อนเท่าไรเลยนะ” นัยน์ตาสีดำสนิทกวาดมองดวงหน้าขาวสะอ้าน จับจ้องที่ดวงตาสีน้ำตาลเรียวที่เสริมให้รู้ว่าร่างโปร่งมีเชื้อสายจีนมากเป็นพิเศษ เพื่อจับสังเกตเหยื่อไม่ให้หลุดลอดไปได้ แต่ฝ่ายนั้นกลับใจเย็นเกินคาด “ถ้าหมดธุระแล้วผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” กายโปร่งได้สัดส่วนลุกขึ้น ทว่ายังไม่ทันได้ขยับเขยื้อนออกห่างจากโต๊ะก็ถูกรั้งเอาไว้ มือหยาบผลักจนล้มจ้ำลงไปกระแทกกับเก้าอี้อีกหน ก่อนดวงตาเรียวคมดั่งเหยี่ยวจะโฉบไปสะดุดเข้ากับลำคอขาว บริเวณนั้นมีแสงสว่างส่องประกาย พานให้มือใหญ่เอื้อมคว้าครามครัน “เฮ้ย” คอเสื้อที่ถูกแหวกด้วยมือหนาพร้อมกับน้ำหนักที่ทิ้งลงมาแหวกว่ายตรงนั้นพลันทำให้ทั้งร่างสะดุ้ง อาทิตย์อัสดงร้องอุทานอย่างไม่ทันตั้งตัว และยิ่งเบิกตากว้างมากขึ้นเมื่อร่างที่ใหญ่กว่าลุกขึ้นชะโงกตัวข้ามโต๊ะมาทางตนเอง ใบหน้าใกล้กันเสียจนขนลุกซู่ มือเรียวคว้าขวับที่ข้อแขนของอีกฝ่าย หวังจะดึงออก “นี่มันคุกคามทางเพศแล้วนะ ผมแจ้งตำรวจได้” “คุณคิดว่าเราอยู่ประเทศไหน ตำรวจเขาไม่สนใจปัญหาหยุมหยิมแบบนี้หรอก” คำตอบที่ได้รับกลับมาพร้อมกับสีหน้าที่ไม่แสดงถึงความสะทกสะท้านทำให้อาทิตย์อัสดงนิ่งอึ้งไป ทว่าไม่เพียงเท่านั้น ประโยคต่อไปยังดังตามมาให้ยิ่งตะลึงงันมากขึ้นไปอีก “ไม่ต้องห่วง คุณไม่ใช่สเปกผม” ทั้งที่พูดออกมาแบบนั้นแต่ว่ามือยังคงลูบคลำแถวหน้าอกอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะละมือออกพร้อมกับอะไรบางอย่างที่ติดมือไปด้วย “สร้อยผม!” เข้าใจในตอนนี้เองว่าที่ร่างสูงล้วงเข้ามาในอกเสื้อเขาก็เพื่อการไหน บล็อกเกอร์หนุ่มลูบจับตำแหน่งที่เคยมีสร้อยสีทองอยู่ราวกับจะยืนยันให้แน่ใจ ว่ามันหายไปจากคอของตนเองจริงๆ ซึ่งมันก็ว่างเปล่าอย่างที่เห็น “เอาสร้อยผมคืนมา สร้อยนั่นแม่ให้ผมมานะ” “ผมขอสร้อยเส้นนี้เป็นตัวประกันแล้วกัน จนกว่าคุณจะลบรีวิวนั่นออกแล้วก็ขอโทษ ผมถึงจะคืนให้” ภันวัฒน์พูดอย่างวางมาด ก่อนจะเอาสร้อยคอทองคำน้ำหนักประมาณสองบาทที่ห้อยพระอยู่หนึ่งองค์ยัดเข้าใส่กระเป๋าเสื้อตัวเอง และตามด้วยโยนกระเป๋าเงินที่เคยยึดมาก่อนหน้านี้คืนให้ อาทิตย์อัสดงรู้สึกเดือดดาลอยู่ในใจ จ้องมองร่างใหญ่กว่าด้วยดวงตาอาฆาต ไม่แน่ใจว่าตนเองคิดถูกหรือผิดกันแน่ที่มาที่นี่ในวันนี้ บางทีการที่เขาตัดใจจากกระเป๋าเงินของตัวเองอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วก็ได้ เพราะข้อเรียกร้องของอีกฝ่ายมันมากเกินกว่าเขาจะยินยอมทำให้ได้ เขาไม่อยากทำลายศักดิ์ศรีตัวเองด้วยการอัพอะไรที่ไม่จริง “ผมขอยื่นข้อเสนออื่น” ร่างโปร่งพยายามคิดหาหนทางอย่างเต็มกำลัง อย่างน้อยก็เจอกันครึ่งทาง และหวังว่าผู้ชายตรงหน้าคงไม่ไร้เหตุผล “ข้อเสนออะไรครับ” “คุณปรับปรุงขนมของคุณมาให้ผมชิม ถ้าผมยอมรับได้ ผมถึงจะแก้ไขข้อมูลให้ ส่วนเรื่องที่ทำให้คุณเดือดร้อน ผมไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะส่งผลกระทบกับร้านของคุณ ผมต้องขอโทษด้วย” “คุณว่ามันไม่ง่ายไปเหรอ” “แต่เราก็ควรจะเดินมาเจอกันครึ่งทาง ผมไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ขนมของคุณแบบเสียๆ หายๆ เลย ขนมชิ้นอื่นๆ ผมก็ให้คะแนนคุณดีไม่ใช่เหรอ ก็แค่มีหนึ่งชิ้นที่มันยังมีจุดบกพร่องอยู่ ถ้าคุณแก้ไขมันได้ ก็เป็นผลดีกับคุณเอง ไม่ใช่ผม” ประโยคแรกๆ ภันวัฒน์เกือบทำเป็นหูทวนลมได้ แต่ประโยคท้ายกลับทำให้เขาต้องครุ่นคิดตาม ซึ่งมันก็เปิดโอกาสให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกหายใจได้สะดวกขึ้น กระหยิ่มยิ้มกับไหวพริบและทัศนคติของตนเอง พลางเอ่ยอธิบายต่อเพื่อไม่ให้เสียเวลา จะโจมตีศัตรูให้ล่าถอยและพ่ายแพ้ไป ก็ต้องโจมตีด้วยคอมโบ “ลองพิจารณาดูนะครับ ถ้าคุณสามารถปรับปรุงขนมชิ้นนั้นให้ออกมาสมบูรณ์ได้ และผมรีวิวแก้ไขให้คุณ นอกจากจะเรียกลูกค้าเพิ่มให้คุณแล้ว ลูกค้าจะยังรู้สึกชื่นชมเสียอีกที่คุณพัฒนาสินค้าของตัวเอง เพราะมันแสดงว่าคุณมีความรับผิดชอบ และใส่ใจในตัวลูกค้า” เกิดความเงียบหลังจากสิ้นเสียงนั้น ภันวัฒน์รวบรวมคำกล่าวอ้างนั้นแล้วพิจารณาไปที่ละประโยค และก็ต้องรู้สึกเห็นด้วยอยู่ในใจ เขาไม่ใช่คนไร้เหตุผลเสียทีเดียว “ก็ได้” ได้ยินเสียงทุ้มต่ำในลำคอดังขึ้นมาอย่างยอมรับในเหตุผลของตน อาทิตย์อัสดงก็ผลิยิ้มออกมาอย่างลืมตัว ร้อง ‘เยส’ อยู่ในใจดังๆ ที่แผนสำเร็จจนได้ ก่อนจะยื่นมือออกมา “งั้นก็ขอสร้อยผมคืนด้วยครับ” ฉับพลันนั้นริมฝีปากที่ยิ้มอยู่ก็กลายเป็นรอยยิ้มค้าง “ผมยังคืนให้ไม่ได้หรอก” “อ้าว ทำไมล่ะ ก็ตกลงกันได้แล้ว” “คุณบอกเองว่าครึ่งทาง” หนุ่มตี๋รู้สึกเหมือนว่าจะเกิดอาการช็อกขึ้นสมองเฉียบพลัน อ้าปากพะงาบนึกคำพูดไม่ออก เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้รับคำตอบสวนกลับมาแบบนี้ “ผมจะปรับปรุงขนมแล้วเอาให้คุณชิมตามที่คุณบอก ส่วนผมเก็บสร้อยพระของคุณไว้ จนกว่าคุณจะยอมรับขนมของผม แบบนี้สิถึงจะถูกต้อง ไม่ใช่เหรอครับ” “.....” “ถ้าผมไม่พยายามทำขนมให้ออกมาดี ร้านของผมก็ต้องเสียชื่ออยู่อย่างนี้ ส่วนคุณก็ไม่ได้สร้อยคืน แต่ถ้าผมทำขนมออกมาดี คุณยอมรับได้ คุณก็ได้สร้อยคืน” “.....” “ถ้าได้ผลประโยชน์ก็ได้ทั้งคู่ แต่ถ้าเสียผลประโยชน์ก็เสียทั้งคู่ ก็แฟร์ดีนี่ครับ” ร่างโปร่งอึ้งกว่าเก่าเสียอีกเมื่ออีกฝ่ายคิดคำนวณไปไกลมากกว่าที่ตนคิดไว้ จะเรียกว่าเป็นคนมองการณ์ไกล วิสัยทัศน์ดี หรือจะบอกว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์จอมวางแผนดี เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำ “ว่าอย่างไรครับ” ภันวัฒน์ถามความเห็นราวกับจะย้ำเพื่อให้ตัดสินใจเสียที ร่างสูงยอบกายลง ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้งด้วยท่วงท่าสบายๆ ทิ้งเวลาให้คู่เจรจาคิดนิดหน่อย ทั้งที่สุดท้ายคำตอบที่อาทิตย์อัสดงเลือกได้มีเพียงคำตอบเดียว “ตกลงตามนั้นก็ได้ครับ” ตอบกลับอย่างจนหนทางแล้วก็ยื่นมือไปหยิบกระเป๋าเงินกลับคืนมา จากนั้นลุกขึ้นจากตำแหน่งที่นั่ง “งั้นผมขอตัวกลับก่อน” ทว่าก้าวขาออกไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงทุ้มจากคนด้านหลังก็ดังให้ต้องเหลียวหน้ากลับไป “จ่ายค่าน้ำด้วยสิครับ คุณอาทิตย์อัสดง” จะเรียกว่า เงิบ ก็คงได้ “หา คุณเป็นคนเรียกผมมาเองนะ แล้วน้ำนี่ผมก็ไม่ได้สั่งด้วย” “นี่มันของซื้อของขายนะคุณ” เจ้าตัวตอบด้วยรอยยิ้มที่พานให้คนมองรู้สึกว่ามันช่างยียวนกวนประสาทเสียเหลือเกิน คนโดนทวงค่าน้ำเปล่าที่ไม่ได้ดื่มแม้แต่หยดเดียวยอมเดินกลับไป ควักเหรียญบาทสองเหรียญในกระเป๋ากางเกงออกมาวางบนโต๊ะด้วยน้ำหนักที่มากกว่าธรรมดาสักหน่อยพลางบอก “หวังว่าแค่นี้คงพอนะ” เสร็จกิจสุดท้ายที่คงท้ายสุดแล้ว ก็ได้เดินออกมาจากร้านจริงๆ เสียที ร่างโปร่งพึมพำกับตัวเองเบาๆ โดยไม่หันกลับไปมองใครอีกคนที่อยู่ในร้านนั้น อะไรของแม่งวะ ไอ้ปลาตีนสิแย่นั่น Rrrrrr Rrrrrrr เสียงรบกวนดังซ้ำอยู่หลายระลอก เดี๋ยวดับเดี๋ยวหยุดจนน่าเวียนหัว มือเรียวควานสะเปะสะปะหาต้นกำเนิดเสียงที่คิดว่าน่าจะอยู่ใกล้ๆ หัวเตียงก่อนจะค่อยๆ ปรือเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้น พร้อมกับคว้าสิ่งนั้นเอาไว้ได้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหมือนสีชาเหลือบมองดูแสงสว่างบนจอสี่เหลี่ยม ใช้สติอันเลือนรางของตนประมวลผลตัวเลขซึ่งปรากฏอยู่และลงความเห็นได้อย่างฉับพลัน เบอร์ใครวะ ตั้งคำถามกับตนเองเสร็จแล้วก็เลื่อนสายตาไปยังแถบสเตตัสด้านบน ก่อนจะเบิกตาโพลง เพราะว่ามันกำลังบอกเวลาว่าคือตีสอง พานให้นึกก่นด่าอยู่ในใจว่าใครอุตริโทรมายามวิกาลแบบนี้ แล้วจึงกดตัดสายทิ้งไป ทว่าเพียงชั่วประเดี๋ยว สัญญาณว่ามีโทรศัพท์โทรเข้ามาอีกสายก็ดังขึ้น เป็นเบอร์เดียวกับเมื่อครู่เด๊ะ “อะไรวะเนี่ย” เสียงแหบพร่าเพราะจำต้องตื่นนอนมาอย่างไม่เต็มใจระบายออกมาเบาๆ จากนั้นมือเรียวกดตัดสายอีกครั้ง ตามด้วยจัดการบล็อกเบอร์ที่โทรเข้ามาก่อกวนยามดึกเสียเลย คิดว่าคราวนี้แหละจะได้นอนอย่างสงบเสียที จึงผละออกจากสิ่งรบกวนเมื่อครู่แล้วเลื้อยตัวลงบนที่นอนด้วยท่าที่สบายที่สุด ทว่า... Rrrrrr Rrrrrrr โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งราวกับกำลังจะทดสอบความอดทนกัน อาทิตย์อัสดงพลิกตัวขึ้นนั่งอย่างไม่สบอารมณ์แล้วคว้ากล่องสื่อสารนั้นมาอีกรอบ ตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอนั้นไม่ใช่ตัวเลขเดิม แน่นอนล่ะ เพราะว่าเขาบล็อกมันไปแล้ว แต่ที่น่าประหลาดใจ ก็คือมันมีความคล้ายคลึงกัน คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างฉับพลัน ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมรับสายที่ดังมาครู่หนึ่งแล้วอยู่ดี ปุ่มรูปหูโทรศัพท์สีแดงถูกกดอย่างง่ายดาย ก่อนจะตามด้วยการเข้ารายการบล็อกเบอร์โทร ทว่าทำดังนั้นแล้วแทนที่จะสบายใจจบสิ้นกันเสียทีกลับกลายเป็นการก่อสงครามขนาดย่อมแทน เพราะเหตุการณ์วนลูปกลับมายังที่เดิมอีกครั้ง โทรเข้า ถูกบล็อก โทรเข้า ถูกบล็อก อยู่เช่นนั้นราวๆ ยี่สิบสาย จนความอดทนของคนที่ถูกทำลายการนอนแสนสงบหมดลงเรื่อยๆ “ไอ้บ้านั่นมันมีกี่เบอร์กันวะ” สุดท้ายก็ยอมกดรับสายในที่สุด พลางนึกหงุดหงิดในใจที่ตนเป็นคนประเภทที่ไม่ยอมท้อถอยและค่อนข้างหัวรั้น เพราะหากเป็นคนอื่น คงปิดเครื่องหนีเพื่อความสงบสุขของตนเองไปแล้ว ไม่ต่อสู้เพื่อเอาชนะอยู่อย่างนี้ “ไม่ทราบว่าจะโทรมาทำไมนักหนาครับ” ประโยคแรกที่ทักทายคู่ต่อสู้ที่มีความอดทนพอๆ กันเต็มไปด้วยความไม่พอใจในน้ำเสียง แต่สิ่งที่ตอบกลับมาจากอีกฝ่ายนั้นกลับตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง [ก็คุณไม่รับสักที ผมก็ต้องโทรต่อไปสิ] นอกจากน้ำเสียงยังไม่มีเค้าของความง่วงงุนแล้ว เสียงที่ระบุได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็ทำให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกหัวร้อนฉ่าขึ้นมาทันที “ผมบล็อกเบอร์คุณไปขนาดนี้แล้ว คุณก็น่าจะรู้ตัวว่าผมไม่ต้องการรับสาย คุณก็ควรจะหยุดโทรได้แล้ว คุณมีกี่เบอร์กันแน่ ผมบล็อกเบอร์คุณจนนิ้วจะหงิกอยู่แล้ว” [ผมใช้เบอร์ที่ทำงานโทรน่ะ มีเป็นร้อยสาย ถ้าคุณบล็อกไหวก็เชิญตามสะดวก] รู้สึกเหมือนความร้อนแล่นเข้ามาในหัวอีกระลอก คงให้ความจำกัดความถึงความรู้สึกของร่างบนเตียงได้เพียงเท่านั้น มือเรียววางบนหน้าผากของตนเองเพื่อพิสูจน์ว่าตอนนี้ตนกำลังตัวร้อนขึ้นจริงๆ หรือว่าเป็นการอุปาทานไปเองกันแน่ “แล้วใครบอกให้คุณโทรมาตอนนี้กันล่ะครับ รู้ไหมว่ากี่โมงแล้ว” [ตีสอง สิบสามนาที ทำไมล่ะครับ] “คุณคิดว่ามันใช่เวลาที่จะมาโทรหาคนอื่นไหมครับ” [ก็ผมเพิ่งทำงานเสร็จนี่ครับ แล้วเมื่อคืนผมทำขนมไว้ อยากให้คุณมาช่วยชิมหน่อย] คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้ร่างโปร่งตะลึงงันได้เล็กน้อย ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเพิ่งเสร็จงาน แต่เป็นเพราะประโยคที่ว่า ‘อยากให้ช่วยชิมหน่อย’ ต่างหาก “คุณจะให้ผมขับรถออกไปตอนนี้เนี่ยนะ” [ถ้าคุณไม่สะดวก ผมไปหาคุณก็ได้ คุณอยู่ที่อยู่ตามบัตรประชาชนหรือเปล่า] เป็นอีกครั้งที่คนฟังต้องตกตะลึง เบิกตาขึ้นกับความคิดพิลึกพิลั่นของปลายสาย นี่มันจะบุกบ้านกันเลยเหรอ “นี่คุณครับ จะไม่มีมารยาทก็ให้มันมีขอบเขตหน่อย” สิ้นประโยคนั้น ปุ่มวางสายก็ถูกกดอีกครั้ง และตามด้วยปุ่มเปิดเครื่องอย่างเร็วพลันเพื่อไม่เปิดโอกาสให้คนก่อกวนยามวิกาลอาศัยจังหวะโทรเข้ามาอีก พลางงึมงำกับตนเองอย่างอดไม่ได้ หมอนั่นต้องบ้าไปแล้ว ตรู๊ด... ตรู๊ด... ตรู๊ดๆๆ ตรู๊ดๆๆๆ เสียงสัญญาณเดิมดังซ้ำกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แม้ว่าจะไม่ย่อท้อและติดต่ออีกฝ่ายได้เป็นผลสำเร็จ ทว่าคราวนี้กลับต้องยอมถอดใจ เพราะดูเหมือนปลายสายจะปิดเครื่องหนีไปแล้วจริงๆ ภันวัฒน์เดาะลิ้นเบาๆ อย่างขัดอารมณ์ ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะล้มเลิกความตั้งใจของตนเอง เขาเปิดแกลเลอรี่รูปถ่ายในโทรศัพท์มือถือ หารูปบัตรประชาชนของร่างโปร่งที่ถ่ายเอาไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โชคดีที่เขาถ่ายมันเก็บไว้ เผื่อว่าจะมีกรณีฉุกเฉิน เช่น อีกฝ่ายหนีหน้า ติดต่อไม่ได้ เป็นต้น แต่ก็ไม่คิดว่าจะถูกนำมาใช้รวดเร็วเช่นนี้ หน่วยตาคมกวาดมองตัวอักษรระบุที่อยู่ ดูไม่ไกลมากเท่าไรนัก ก่อนจะเบือนสายตาลงต่ำเพื่อสังเกตวันออกบัตร เพิ่งจะออกบัตรใหม่ปีนี้ แสดงว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ที่อยู่ก็น่าจะเป็นที่อยู่ปัจจุบันด้วย รับรู้ถึงความจริงข้อนี้ มุมปากได้รูปก็กระตุกเบาๆ มือหนาเอื้อมหยิบกุญแจรถยนต์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน ก่อนจะเดินออกจากห้องและมุ่งหน้าไปยังรถยนต์ของตนเอง นึกขอบคุณเทคโนโลยีก้าวหน้าในยุคนี้ขึ้นมาอย่างซาบซึ้ง เพราะมีทั้งเนวิเกเตอร์ในรถ และกูเกิลแมปที่ทำให้การค้นหาสถานที่หนึ่งง่ายดายกว่าที่คิด ไม่นานก็มาถึงสถานที่เป้าหมาย ถึงจะขับรถเลยหน้าบ้านที่ว่านั้นไปนิดหน่อย แต่ก็ไม่ลำบากอะไรที่ต้องถอยกลับมา ร่างสูงกำยำก้าวลงจากรถหลังจากดับเครื่อง สังเกตตัวบ้านเดี่ยวสองชั้นสไตล์โมเดิร์นสีขาวเทาขนาดเล็กที่น่าจะเหมาะกับการอยู่กันไม่เกินสี่คน มีสวนด้านข้างขนาดหย่อมให้พอร่มรื่น และรถยนต์สีขาวจอดอยู่หนึ่งคัน ก่อนจะบ่นอุบเบาๆ “ลืมไปเลยแฮะ ถ้าในบ้านมีคนอื่นอยู่ด้วยล่ะ?” เป็นเรื่องที่ลืมคิดไปเสียสนิท ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะถอดใจแล้วขับรถกลับบ้านตนเองไป ภันวัฒน์สาวเท้าเข้าไปใกล้อาณาเขตบ้านมากขึ้น ส่องสายตาสำรวจดูว่ามีอะไรที่พอจะบอกได้บ้างว่าบ้านหลังนี้มีสมาชิกอยู่กี่คน ประจวบกับสายตาเล็งเห็นชั้นวางรองเท้าพอดี เป็นชั้นวางแบบเรียบง่ายที่มีรองเท้าอยู่สี่คู่ รองเท้าผ้าใบ รองเท้าหนัง รองเท้าแตะ และรองเท้าแตะแบบหุ้มส้น เห็นแบบนั้นแล้วเหมือนกำลังใจเพิ่มขึ้นมาอีกโข เพราะระบุได้ว่า...เป้าหมายอยู่ลำพังคนเดียว ชายหนุ่มย้ายร่างของตนเองมายังเสาประตู และยื่นมือไปกดกริ่งหลายครั้ง ในคราวแรกบ้านยังเงียบสนิท แต่สักพักไฟจากชั้นบนก็เริ่มเปิด ตามด้วยชั้นล่าง และสุดท้ายก็หน้าบ้าน ก่อนที่จะเจ้าบ้านจะเดินหน้ามุ่ยออกมาด้วยท่าทีไม่พอใจ “นี่มันจะตีสามแล้วนะคุณ” ได้รับการต้อนรับอย่างยินดีจากเจ้าของบ้านเลยทีเดียว ทว่าภันวัฒน์ก็ยังทำเป็นหูทวนลม “ก็ให้ผมเข้าไปสิครับ” “ผมไม่มีอารมณ์มีชิมขนมให้คุณหรอกนะ ง่วงจะตายอยู่แล้ว ผมต้องตื่นเช้าด้วย” “ถ้าคุณคิดว่าผมมารบกวน คุณก็น่าจะรีบทำให้มันจบๆ ไปนะ ยิ่งคุณค้านก็ยิ่งเสียเวลา ไม่อยากรีบนอนเร็วๆ เหรอครับ” ถูกถามมาแบบนี้ คนที่กำลังอยู่ในอารมณ์อยากกระโดดขึ้นเตียงเต็มแก่ แต่กลับต้องพยายามเบิ่งตาให้มากที่สุดจึงไร้ข้อโต้เถียงที่พอจะคิดได้ทัน ร่างโปร่งจำยอมเปิดประตูรั้วของบ้านออกและเชื้อเชิญแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาในบ้าน อาทิตย์อัสดงเดินนำเข้ามาในบ้านโดยมีร่างสูงเจ้าของร้านขนมเดินตามมาติดๆ กัน ก่อนจะเปิดไฟที่ห้องอาหารควบห้องครัวซึ่งมีขนาดใหญ่พอประมาณ เปิดตู้เย็นหยิบน้ำมาเทใส่แก้วเพื่อดื่มเอง ไม่ได้ส่งให้แขกตามมารยาทอย่างที่ควรเป็น แล้วเดินไปหยิบช้อนกาแฟติดมือมาด้วยหนึ่งคัน จากนั้นหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าว วางแก้วที่ถือค้างไว้ลงบนโต๊ะ มองร่างโปร่งเคลื่อนไหวจนหยุดนิ่งแล้ว ภันวัฒน์ก็ยอบตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเคียงกัน ตามด้วยวางกล่องพลาสติกที่ใส่ขนมเอาไว้ลงบนโต๊ะแล้วจึงเลื่อนให้ไปอยู่ตรงหน้าคนที่ตนมาหา มือเรียวเปิดกล่องสีขาวขุ่นนั้นอย่างช้าๆ พิจารณาขนมเจ้าปัญหาที่ทำให้เกิดเรื่องราวทั้งหมด เหมือนสมองมึนเบลอ ภาพเริ่มพร่าลงกว่าปกติ หน่วยตาที่ฝืนเปิดขึ้นเพราะโดนรบกวนปรือลงทีละน้อย ถึงกระนั้นบล็อกเกอร์หนุ่มก็ยังจ้วงช้อนคันเล็กลงไปบนชิ้นสีครีม ตักมันเข้าปากแล้วเริ่มเคี้ยวอย่างเชื่องช้าพร้อมกับตาที่ปิดต่ำลงมากกว่าเดิมทุกทีๆ ราวกับว่ายิ่งขยับปากเคี้ยวก็ยิ่งกล่อมให้ผล็อยหลับ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ อาทิตย์อัสดงกลืนขนมเข้าไปหมดคำ พร้อมกับเปลือกตาที่ปิดลงสนิท คนที่ยังตาสว่างอยู่เพราะนอนดึกเป็นประจำเนื่องด้วยต้องดูแลรับผิดชอบงานให้เรียบร้อยเอียงคอมองอย่างสงสัย รอคอยคำตอบจากหนุ่มข้างกายว่าเป็นอย่างไรอยู่สักพัก แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะตอบมา จนต้องชะเง้อคอมองไปด้านหน้าอีกเล็กน้อยเพื่อสังเกตหน้าฝ่ายนั้นชัดๆ แล้วก็ถึงกับเบิกตากับเหตุการณ์ตรงหน้า ไม่คิดว่าจะมีคนประเภทที่หลับระหว่างกินอยู่ได้ด้วย “เฮ้ย หลับจริงอะ” เพราะไม่แน่ใจมือหนาจึงโบกไปมาตรงหน้าหนุ่มหน้าตี๋ ทว่าก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบรับ เสียงทุ้มเรียก ‘คุณ คุณ คุณอาทิตย์อัสดง’ อยู่หลายหน แต่ก็เหมือนว่าคนที่ถูกเรียกจะหูหนวกไปแล้วในตอนนี้ ภันวัฒน์จึงกำมือจนเหลือแต่นิ้วชี้แล้วจิ้มไปที่ช้อนในมือเรียว ปึก ช้อนร่วงลงบนโต๊ะอย่างง่ายดาย... “เป็นไปได้ไงเนี่ย คุณตื่นก่อน ตอบผมมาก่อน” มือหนาแตะแขนพลางเขย่าร่างที่กำลังหลับตา แต่รายนั้นส่งเสียงหึ่งๆ เหมือนคนกำลังรำคาญก่อนจะยกมือขึ้นปัดไปมา จากนั้นก็... กดศีรษะลงเรื่อยๆ จนมันจรดกับโต๊ะ ชัทดาวน์ตัวเองอย่างถาวรเป็นที่เรียบร้อย ถึงกระนั้นร่างสูงก็ยังไม่ยอมแพ้อย่างง่ายๆ เขย่าตัวอีกฝ่ายพลางบอกอีกที “ถ้าไม่ได้คำตอบจากคุณ ผมจะไม่กลับนะ นี่คุณ” แต่ก็ไร้ประโยชน์เหมือนเดิม เสียงถอนหายใจยาวๆ ทอดออกมาจากปลายจมูกโด่งสันอย่างสุดเซ็ง เพราะเขาอุตส่าห์ถ่อมาถึงบ้านอาทิตย์อัสดง แต่เจ้าตัวกลับหลับต่อหน้าเขาได้อย่างหน้าตาเฉย ถ้าตอบคำถามของเขาแล้วหลับ เขาจะเชิญให้หลับตามสบายด้วยความเต็มใจเลย เพราะตารางงานของเขาใช่ว่าจะว่างมากเสียเมื่อไร ภันวัฒน์เหม่อตามองร่างที่หลับสนิทอย่างไม่ทุกข์ร้อนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาอีกครั้ง ตีสามแล้ว และความพยายามของเขาก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าถ้าอีกฝ่ายตื่นจะยังจำรสชาติขนมของเขาได้หรือไม่ คิดดังนั้นก็ผ่อนลมหายใจต่ออีกรอบ จากนั้นจึงฉุดตัวขึ้นจากเก้าอี้ “กลับบ้านก็เสียเวลา” รำพันกับตนเองเบาๆ แล้วจึงกวาดตามองไปรอบๆ สถานที่แห่งนี้ เหลือบไปเห็นว่ามีบันไดเล็กๆ นำสู่ชั้นบนอยู่ไม่ไกล จึงสาวเท้าไปยังตำแหน่งนั้น ก้าวขึ้นไปบนความต่างระดับทีละขั้นๆ จนปรากฏประตูห้องสองบาน ห้องด้านหน้าเขาคิดว่าน่าจะเป็นห้องนอนของอาทิตย์อัสดง ส่วนอีกห้อง... เท้าใหญ่สืบเข้าหามัน หมุนลูกบิดประตูเบาๆ ก่อนจะปรากฏความว่างเปล่า ไม่ใช่ทั้งห้องเก็บของ ห้องพระ หรืออะไรอื่นๆ ที่อาจจะจินตนการตามได้ แต่เป็นห้องว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรสักอย่าง เห็นดังนั้นก็ปิดประตูลงโดยไม่ต้องคิดให้มากความ ก่อนจะเดินไปยังห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับเตียงขนาดกลางกว้างห้าฟุต มีผ้านวมคลุมอยู่อย่างไม่เรียบร้อย ดูก็รู้ว่าเจ้าของเตียงเพิ่งลุกไปได้ไม่นาน ส่วนโต๊ะทำงานมีของวางกระจัดกระจายอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงขนาดรก ตู้เสื้อผ้าเรียบๆ อยู่ริมผนัง ภายในห้องตกแต่งด้วยสีขาวเสียเป็นส่วนใหญ่ ดูสะอาดสะอ้านตาเหมาะกับหน้าตี๋ๆ ผิวขาวของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย เห็นบรรยากาศนี้แล้วก็ชวนให้รู้สึกง่วงขึ้นมาอย่างฉับพลัน ยิ่งอุณหภูมิในห้องกำลังดี เพราะเครื่องปรับอากาศกำลังทำงานอยู่ |