อย่าเสียรู้ ทิ้งเงินก้อนโต เงื่อนไขรับเงินคืนจาก ”ประกันสังคม” บางคนได้เกือบแสนสำหรับคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือน ที่จะต้องจ่ายเงินประกันสังคม จะต้องสมทบเงินประกันสังคมทุกเดือน Show ซึ่งจะหักจากเงินเดือนประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์แต่สูงสุดได้ไม่เกิน 750 บาท นั่นก็คือคนที่ได้รับเงินเดือน 15,000 บาทขึ้นไปนั้นเอง แต่เราเคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่า สำนักงานประกันสังคมนั้น เขาเอาเงินที่เราจ่ายทุกเดือนไปทำอะไรกันบ้างระบบงานประกันสังคม
เป็นสิ่งที่ต่างประเทศมีมานานแล้ว แต่บ้านเรานั้นเพิ่งจะเริ่มมี โดยประกันสังคมนั้นเป็นระบบที่บังคับให้ทุกคนออมเงินส่วนหนึ่ง มันก็คือ 5 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนข้อดีของเงินประกันสังคม คือลูกจ้างอย่างเราจะจ่ายเงินประกันสังคมอย่างนี้เพียง 1 ใน 3 ส่วนเท่านั้น เพราะผู้ที่มีหน้าที่จะต้องจ่ายประกันสังคมสมทบกองทุนประกันสังคม ประกอบด้วย 3 ฝ่ายนั้นก็คือ 1. ฝ่ายรัฐบาล 2. ส่วนนายจ้าง 3. ลูกจ้าง ดังนั้นลูกจ้างจึง จ่ายเงินเข้ากองทุนเพียง 5% ของค่าจ้าง และรัฐบาลสมทบอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งทำให้เราได้รับผลประโยชน์มากขึ้น คุ้มค่าเกินกว่ามูลค่าเงินที่เราลงไป 2. 75 บาท สำหรับใช้ประกันการว่างงาน ถ้าว่างงานเมื่อไหร่ สามารถเอาเงินส่วนนี้มาใช้ในระหว่างตกงานหรือรอหางานใหม่ แต่ถ้าไม่ว่างงานเลย เงินส่วนนี้ก็จะหายไป ไม่ได้รับคืน เงิน 750 บาท ในแต่ละเดือนของประกันสังคม จะถูกแบ่งเป็น– 225 บาท ดูแลเรื่องเจ็บป่วย ทุพพลภาพ คลอดบุตร และเสีย ถ้าไม่ใช้สิทธิ เงินส่วนนี้ก็จะหายไป ไม่ได้คืน – 75 บาท ใช้ประกันการว่างงาน ถ้าว่างงานเมื่อไหร่ ก็เอาเงินส่วนนี้มาใช้ในระหว่างที่หางานใหม่ แต่ถ้าไม่ว่างงานเลย เงินส่วนนี้ก็จะหายไป ไม่ได้คืน – 450 บาท เก็บเป็นเงินออม จะได้คืนเมื่ออายุครบ 55 ปี โดยเงื่อนไขการได้เงินก้อนสุดท้าย (เงินออม เมื่ออายุครบ 55 ปี) คืน คือ 1. จ่ายประกันสังคมไม่ครบ 1 ปี ได้คืนส่วนที่จ่ายเป็นเงินก้อน เรียกว่าบำเหน็จชราภาพ เช่น จ่ายเดือนละ 750 บาทมาโดยตลอด 10 เดือน (750 บาท จะถูกหักเป็นเงินออม 450 บาท) เมื่ออายุครบ 55 ปี จะได้คืน 450 บาท x 10 เดือน = 4,500 บาท 2. จ่ายครบ 1 ปี แต่ไม่ถึง 15 ปี จะได้เป็นเงินก้อนเรียกว่าบำเหน็จเช่นกัน แต่จะมากกว่าข้อ 1. คือ ได้ส่วนที่นายจ้างสมทบด้วย เช่น จ่าย 750 บาท ตลอด 7 ปี (84 เดือน) ที่จะได้รับคืนเมื่ออายุครบ 55 ปี คือ 450 บาท (ส่วนที่ตนเองจ่าย) + 450 บาท (ส่วนที่นายจ้างจ่าย) x 84 เดือน = 75,600 บาท 3. จ่ายตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จะได้รับเป็นเงินรายเดือน เรียกว่า บำนาญชราภาพ โดยคำนวณ 2 กรณี คือ– กรณีจ่ายครบ 15 ปีเป๊ะๆ จะได้รับรายเดือน คือ 20% ของเฉลี่ยเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย สมมติ 60 เดือนสุดท้าย เฉลี่ยแล้วเท่ากับ 15,000 บาท จะได้รับ 20% คือ เดือนละ 3,000 บาท ไปจนเสีย– กรณีสมทบมากกว่า 15 ปี จะได้รับโบนัสเพิ่ม 1.5% ของเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย หากครบปี เช่น จ่ายครบ 20 ปี รายเดือนที่จะได้รับ คือ 20% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือน + 1.5% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือน x 5 ปี (จ่าย 20 ปี เกินจากที่กำหนดขั้นต่ำมา 5 ปี)สมมติเฉลี่ยเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย เท่ากับ 15,000 บาท จะได้รายเดือน คือ (20% x 15,000 บาท = 3,000 บาท) + (1.5% x 15,000 บาท x 5 ปี) = 3,375 บาท รวมเป็น 6,375 บาท ต่อเดือน ไปจนเสียกรณีที่ได้รับเงินบำนาญชราภาพแล้ว ยังไม่ครบ 5 ปีเลย แต่เสียซะละ กรณีนี้จะได้รับบำเหน็จ 10 เท่าของเดือนสุดท้ายของเงินบำนาญที่ได้รับ เช่น รับรายเดือน เดือนล่าสุด 6,375 บาท เสียปุ๊บ รับ 63,750 บาท ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการ โดยการปรับปรุงแก้ไขสิทธิประโยชน์กองทุนประกันสังคม กรณีชราภาพ ให้ผู้ประกันตนสามารถนำเงินกรณีชราภาพบางส่วนออกมาใช้ก่อน
เพื่อให้ผู้ประกันตนที่เป็นผู้สูงอายุจะได้รับความคุ้มครองภายใต้ระบบสามารถเลือกเข้าถึงแหล่งเงินฉุกเฉินได้เพิ่มเติม โดยใช้เงินกรณีชราภาพที่ตนจะได้รับในอนาคตเป็นเงินทุน แต่จะทำให้ผู้ประกันตนมีหลักประกันรายได้ยามเกษียณที่ลดลง (ขอเลือก ขอคืน และขอกู้) มีเงื่อนไขดังต่อไปนี้ 3 ขอ “กองทุนชราภาพ”
เงื่อนไขสำคัญ 3 ขอ
ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธินำเงินกรณีชราภาพบางส่วนออกมาใช้ก่อนประมาณ 5 ล้านคน คนละ 30,000 บาท สำนักงานประกันสังคม จะต้องดำเนินการสำรองเงิน จำนวน 150,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้กองทุนประกันสังคมสูญเสียรายได้จำนวน 6,750 ล้านบาท พร้อมทั้งเสียผลตอบแทนการลงทุนในอัตราร้อยละ 4.5 เป็นเวลา 1 ปี อย่างไรก็ตาม ร่างหลักเกณฑ์ในการปรับปรุงกฎหมาย พ.ร.บ.ประกันสังคมครั้งนี้ ต้องรอประกาศบังคับใช้อย่างเป็นการทางอีกครั้ง ประกันสังคม หัก 5% ทุกเดือนทั้งนี้ ผู้ประกันตน ในมาตรา 33 เป็นลูกจ้างทำงานให้กับนายจ้างที่อยู่ในสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ในทุก ๆ เดือน จะถูกหักเงินเดือนเพื่อสมทบกองทุนประกันสังคม 5% ของรายได้ ซึ่งแบ่งออกไปสมทบ 3 ส่วน คือประกันเจ็บป่วย หรือตาย, ประกันการว่างงาน และประกันชราภาพ ยกตัวอย่าง กรณีมีรายได้เกิน 15,000 บาทต่อเดือน จะต้องส่งเงินสมทบประกันสังคม เดือนละ 750 บาท (อัตราสูงสุด) ดังนี้
3 ช่องทางเช็กเงินชราภาพสำหรับวิธีคำนวณเงินชราภาพที่ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับนั้น สามารถเช็กได้ง่าย ๆ ผ่าน 3 ช่องทาง
เช็กยอดเงินผ่านแอปพลิเคชั่น
เช็กยอดเงิน ผ่าน Line Official Advertisement
เช็กยอดผ่านเว็บไซต์
วิธีคำนวณเงินชราภาพทั้งนี้ กรณีที่จ่ายเงินสมทบกรณีสงเคราะห์บุตร และชราภาพ ไม่ถึง 12 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพมีจำนวนเท่ากับจำนวนเงินสมทบ ที่ผู้ประกันตนจ่ายสมทบ ตัวอย่าง การคำนวณเงินผู้ประกันตนได้รับค่าจ้างเดือนละ 10,000 บาท
ทั้งนี้ หากผู้ประกันตนอายุ 2 ปี และสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง ขณะส่งเงินสมทบได้ 2 เดือน ประโยชน์ทดแทนกรณีบำเหน็จชราภาพจะได้รับ 300 x 2 = 1,200 บาท การคำนวณเงินเดือนของผู้ประกันตน ทางสำนักงานประกันสังคมจะทำการคำนวณจากเงินเดือนสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเบื้องต้นเป็นข้อมูลที่มีในระบบ ณ ปัจจุบัน ซึ่งอาจจะไม่รวมยอดที่อยู่ระหว่างการบันทึก เงินสมทบค้างชำระหรือข้อขัดข้องอื่น ๆ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา เงื่อนไขใหม่ประกันสังคมนอกจากนี้ ในร่างดังกล่าวยังเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีอื่น อาทิ เพิ่มเงินทดแทนกรณีขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ จากร้อยละ 50 ของค่าจ้าง เป็นร้อยละ 70 ของค่าจ้าง เพิ่มจ่ายเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรจากเดิม 90 วันเป็น 98 วัน เป็นต้น รวมทั้งแก้ไขขยายอายุขั้นสูงของผู้ประกันตนที่เป็นลูกจ้าง จากเดิม “อายุ 60 ปีบริบูรณ์” เป็น “อายุ 65 ปีบริบูรณ์”
สำหรับขั้นตอนต่อไปหลังจาก พ.ร.บ.ประกันสังคม ฉบับใหม่ผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว จะส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อตรวจสอบรายละเอียด ก่อนจะส่งไปยังสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป |