29 มี.ค. 2019 Show การกลับมาของ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ / โดย ลงทุนแมน “สิ่งที่ดูปลอดภัยอาจจะเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุด” นิวเคลียร์ เคยเป็นหนึ่งในทางเลือกยอดนิยมของการนำมาผลิตไฟฟ้า แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง ถ้าเราเปรียบเทียบต้นทุนโดยประมาณของการผลิตไฟฟ้า
1 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง (kWh) ด้วยเชื้อเพลิงต่างๆ ถ่านหินอยู่ที่ 0.59 บาท ส่วนนิวเคลียร์อยู่ที่ 0.60 บาท แพงกว่าถ่านหินเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าถ่านหินจะเป็นต้นทุนเชื้อเพลิงที่มีราคาถูกสุด แต่ถ่านหินเป็นหนึ่งในเชื้อเพลิงที่มีต้นกำเนิดมาจากฟอสซิล ซึ่งเมื่อถูกเผาไหม้จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศและเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะโลกร้อนในเวลาต่อมา ไม่เพียงเท่านั้น โรงงานที่ใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้ายังมีการปล่อยมลพิษอื่นๆ อีกด้วย เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์, โลหะที่เป็นพิษ, สารหนู, แคดเมียม และปรอท นิวเคลียร์จึงเคยเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ถูกจับตามอง ในปี 1954 รัสเซียเป็นประเทศแรกที่ได้ริเริ่มการนำนิวเคลียร์มาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรก หลังจากนั้นไม่นาน การขยายตัวของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ดูเหมือนว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์กำลังจะกลายเป็นแหล่งพลังงานหลักของโลกไปแล้วจริงๆ เมื่อวันที่ 26 เมษายน 1986 เตาปฏิกรณ์ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล ใกล้เมืองพริเพียต แคว้นเคียฟ ทางตอนเหนือของยูเครนเกิดพลังงานพุ่งขึ้นสูงอย่างฉับพลัน แต่ระบบตัดการทำงานอัตโนมัติกลับไม่ทำงาน เตาปฏิกรณ์เกิดการระเบิดและลุกไหม้ขึ้น ตามมาด้วยฝุ่นที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสีลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ พบว่ามีผู้เสียชีวิตขณะที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นทันทีประมาณ 31 คน พร้อมกับส่งผลกระทบต่อคนงาน, ผู้อพยพ และผู้อาศัยในละแวกพื้นที่นั้นอีกเกือบ 600,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้ มีรายงานคาดการณ์ว่าเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งที่เกิดจากรังสีมากถึง 4,000 คน ถ้าใครคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้รุนแรงแล้ว อาจจะต้องคิดใหม่เลยทีเดียว เช้าของวันที่ 28 เมษายน หลังจากเหตุการณ์ระเบิดที่เชอร์โนบิล คนงานที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Forsmark ประเทศสวีเดนซึ่งอยู่ห่างจากเชอร์โนบิลประมาณ 1,100 กิโลเมตร กลับตรวจพบอนุภาคกัมมันตรังสีบนเสื้อผ้า ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ ภายหลังการตรวจสอบพบว่า กัมมันตรังสีได้ปนเปื้อนคิดเป็นพื้นที่เกือบ 200,000 กิโลเมตรและแพร่กระจายไปไกลถึงอิตาลี ค่าใช้จ่ายในการจัดการกับเชอร์โนบิลในช่วงแรก สูงถึง 5.7 แสนล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนเงินที่มหาศาลในขณะนั้น และเรื่องนี้ทำให้เศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตต้องสั่นคลอนไปหลายปี ประเทศเบลารุสซึ่งอยู่ใกล้กับเชอร์โนบิลหมดเงินไปรวมกว่า 7.4 ล้านล้านบาท ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ใช้ในการฟื้นฟูส่วนที่ได้รับการปนเปื้อน หลังจากเหตุการณ์เชอร์โนบิล โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดและมีการเติบโตช้าลง อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่า เวลาจะทำให้คนเราลืมสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้น ในปี 2007 โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถูกยกกลับมาพูดถึงอีกครั้งเป็นหนึ่งในแนวทางของการแก้ปัญหาโลกร้อนโดยให้เหตุผลว่า อันตรายร้ายแรงที่โลกต้องเผชิญคือภาวะโลกร้อนมากกว่านิวเคลียร์ พอเป็นแบบนี้แล้ว โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็เริ่มกลับมาก่อสร้างเพิ่มขึ้น แต่ฝันร้ายครั้งใหญ่ก็ได้กลับมาเยือนอีกครั้ง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ ได้รับผลกระทบจากคลื่นสึนามิ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์ควบคุมการหล่อเย็น ทำให้เตาปฏิกรณ์ทั้ง 3 เครื่องความร้อนพุ่งขึ้นสูงจนเกิดการหลอมละลายของปฏิกรณ์ และเริ่มปลดปล่อยสารกัมมันตรังสีออกมา ความร้ายแรงที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้ถูกจัดให้อยู่ในระดับเดียวกับเชอร์โนบิล ปีถัดมาพบว่า มากกว่าหนึ่งในสามของเด็กในฟุกุชิมะ มีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติในต่อมไทรอยด์ และในปี 2013 มีเด็กมากกว่า 40 คนถูกวินิจฉัยใหม่ว่าเป็นโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ ที่น่าสนใจก็คือ มีการตรวจสอบพบว่าภัยพิบัตินิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เกิดจากความประมาท เพราะสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุทั้งหมดเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ก่อนการเกิดแผ่นดินไหว เพียงแต่โรงไฟฟ้าไม่ได้มีการป้องกันที่ดี นอกจากนี้ยังพบว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิถูกออกแบบมาไม่ถูกต้องตามมาตรฐาน ทำให้ไม่สามารถทนต่อการเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิได้ ซึ่งบริษัทที่เป็นผู้ดูแลโรงไฟฟ้าแห่งนี้ก็คือ TEPCO ที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือรัฐบาลญี่ปุ่นนั่นเอง ภายหลังการเกิดเหตุ หุ้น TEPCO ปรับตัวลงกว่า 70% ภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือน เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้หลายประเทศทั่วโลกได้กลับมาทยอยปิดตัวโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์อีกครั้ง แม้ว่าจะมีการปิดตัวโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไปหลายแห่ง เนื่องจากในบางประเทศยังคงผลิตไฟฟ้าได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของเศรษฐกิจ เช่น อินเดียมีแผนที่จะเพิ่มโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จาก 20 โรงเป็น 24 โรง บราซิลมีแผนในการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่มอีก 7 โรงตั้งแต่ปี 2015 หรือแม้แต่ญี่ปุ่น
ซึ่งเป็นประเทศที่เกิดภัยพิบัติเองก็ทยอยกลับมาเปิดใช้โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์อีกครั้ง ล่าสุดเมื่อสิ้นปีที่แล้ว บิลล์ เกตส์ ได้พูดถึงเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไว้ในจดหมายประจำปีของเขาว่า แสงอาทิตย์และลมเป็นแหล่งพลังงานที่เกิดขึ้นอย่างไม่ต่อเนื่อง ซึ่งไม่มีแบตเตอรี่ราคาถูกที่จะสามารถเก็บพลังงานได้นานเพียงพอ นอกจากนั้นพลังงานจากแสงอาทิตย์และลม มีสัดส่วนเพียงแค่ 25% ของความต้องการไฟฟ้าทั่วโลกเท่านั้น นิวเคลียร์จึงเหมาะสำหรับภูมิอากาศที่ไม่แน่นอน เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่ปราศจากคาร์บอน ส่วนความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุ ทั้งหมดนี้เองก็เป็นเรื่องราวสำคัญที่เกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ในอนาคตโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะกลับมาเติบโตเหมือนเมื่อ 50 ปีที่แล้วหรือไม่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะกลับมาเป็นทางเลือกของหลายประเทศทั่วโลกอีกครั้ง ติดตามเรื่องหลากหลาย จากผู้เขียนเก่งๆ หลายท่าน ในแอป blockdit โหลดได้ที่ http://www.blockdit.com ประเทศไทยสามารถมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้ไหมประเทศไทยมีเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูวิจัย ขนาด 2 เมกะวัตต์เพียงแห่งแรกและแห่งเดียวที่บางเขน กรุงเทพฯ โดยเริ่มดำเนินงานตั้งแต่ปี 2505[18] เนื่องจากเครื่องปฏิกรณ์นี้มีอายุ 59 ปี และใกล้สิ้นสุดวาระการใช้งานในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จึงมีข้อเสนอให้จัดทำเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูวิจัยขนาด 20 เมกะวัตต์ ที่ อ.องครักษ์ จ.นครนายก ซึ่งต่อมามี ...
โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในประเทศไทยมีกี่แห่งการเติบโตของพลังงานนิวเคลียร์ในเอเชีย. ประเทศใดที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์สำหรับประเทศในทวีปเอเซียซึ่งมีการใช้งานโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น 54 โรง (กำลังก่อสร้าง 3 โรง) เกาหลีใต้ 18 โรง (กำลังก่อสร้าง 2 โรง) อินเดีย 14 โรง (กำลังก่อสร้าง 8 โรง) ไต้หวัน 6 โรง จีน 5 โรง (กำลังก่อสร้าง 6 โรง) ปากีสถาน 2 โรง และอิหร่าน กำลังก่อสร้าง 2 โรง
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ดียังไงข้อดี-ข้อจำกัดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ปริมาณมาก ปริมาณของเสียน้อยเมื่อเทียบกับวิธีการผลิตไฟฟ้าแบบอื่นๆ สามารถยืดอายุการใช้งานของเชื้อเพลิงและโรงไฟฟ้าได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ สามารถขนส่งเชื้อเพลิงได้ง่าย
|