27 ก.ค. 2022 ย้อนกลับไปในปี 2015 เทคโนโลยี USB Type-C พอร์ตที่มีความสามารถในการส่งผ่านพลังงานและข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ในขนาดที่เล็กกะทัดรัด และที่สำคัญคือ “เสียบใช้งานได้สองด้าน” ได้เปิดตัวขึ้นเป็นครั้งแรก.. และด้วยความสามารถของมันนั้น ก็ทำให้ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนหลายรายเลือกใช้กันอย่างแพร่หลาย เริ่มตั้งแต่ในสมาร์ตโฟนรุ่นระดับล่าง ไปจนถึงสมาร์ตโฟนระดับเรือธงของแบรนด์.. นอกจากนี้อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ รวมถึง IoT ก็ต่างเลือกใช้พอร์ต USB Type-C กันมากขึ้น จึงทำให้ปัจจุบันสายชาร์จ USB-C เพียงเส้นเดียว ก็สามารถชาร์จอุปกรณ์ได้แทบทุกอย่าง ตั้งแต่โน้ตบุ๊ก ไปจนถึงพัดลมตั้งโต๊ะขนาดพกพา.. เรียกง่าย ๆ ว่าตั้งแต่นั้นมา USB-C ก็ได้เข้ามามีบทบาทกับชีวิตของผู้คนในวงกว้าง มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนอกจากจะสะดวกต่อผู้ใช้แล้ว ยังดีต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เพราะยิ่งหลายแบรนด์หันมาใช้สายชาร์จแบบเดียวกันมากขึ้น จำนวนสายชาร์จที่จะกลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ ก็จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญด้วยเช่นเดียวกัน.. แต่อย่างไรก็ตาม กับ “iPhone” หนึ่งในสมาร์ตโฟนที่มีฐานผู้ใช้มากที่สุดในโลก กลับยังคงเลือกที่จะใช้สาย Lightning ของตัวเอง ที่เปิดตัวครั้งแรกพร้อมกับ iPhone 5 ในปี 2012 มาจนถึงปัจจุบัน.. ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า Lightning ของ Apple นั้นแทบจะด้อยกว่า USB-C ในทุกด้าน ตั้งแต่ความเร็วในการชาร์จ, ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูล อีกทั้งมันก็ดูขัดกับแนวทางของ Apple ที่พยายามบอกว่า แบรนด์ใส่ใจและมีแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พอสมควร เพราะใน 2 ปีที่ผ่านมา Apple
ได้มีการประกาศยกเลิกการแถมหัวชาร์จอะแด็ปเตอร์ ใน iPhone ทุกรุ่น แต่ก็ต้องยอมรับว่านโยบายดังกล่าว สามารถลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้จริง ๆ แต่ก็ลดต้นทุนการผลิตของ Apple ไปได้กว่า 6,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 239,000 ล้านบาท) ด้วยเช่นกัน ในกรณีนี้มันก็น่าคิดว่า ถ้า Apple อยากช่วยสิ่งแวดล้อมจริง ๆ มันจะง่ายกว่ามาก ถ้าหาก Apple ยอมเปลี่ยนพอร์ตชาร์จใน iPhone ให้กลายเป็น USB-C ตั้งแต่แรก
เพราะจะส่งผลให้ประเภทพอร์ตชาร์จและจำนวนสายชาร์จในตลาด “น้อยลงไปอีก” แถมการเปลี่ยนพอร์ตเป็น USB-C ยังดูจะสร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้าของ Apple ได้อย่างมหาศาลด้วยซ้ำ เพราะอุปกรณ์อื่น ๆ ของ Apple ตั้งแต่ MacBook หรือแม้แต่ iPad ต่างก็ยอมเปลี่ยนมาใช้ USB-C กันหมดแล้ว.. แล้วทำไม iPhone ถึงไม่เปลี่ยนมาใช้ USB-C เสียที ทั้งที่บริษัทระดับ Apple จะทำ USB-C บน iPhone ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร ? เรื่องนี้คงต้องไปดูรายได้ของ
Apple ที่แบ่งออกเป็นสัดส่วน ดังนี้ (รายได้ช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ปี 2022) เห็นได้ว่า iPhone ที่ต้องใช้พอร์ต Lightning มีสัดส่วนรายได้เกินครึ่งหนึ่งของ Apple ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานบนรถ, การใช้งานในที่ทำงาน หรืออื่น ๆ (ยังไม่นับกรณีสายชาร์จที่บอบบางและพังง่าย) ทำให้ผู้ใช้ iPhone หลายคน ต้องซื้อสาย Lightning เพิ่มอย่างน้อย ๆ ก็คนละ 1 เส้น.. ซึ่งรายได้จากการขายสาย Lightning ของ Apple นั้นก็ไม่น้อยเลย เพราะมีรายงานว่า Apple มียอดขายจากการขายสาย Lightning เพียงอย่างเดียว แล้วรายได้ 1.6 ล้านล้านบาท มันมากขนาดไหน ? ดังนั้นหากจะเปลี่ยนให้ iPhone มาใช้พอร์ตชาร์จแบบ USB-C นั้น อาจจะทำให้ Apple เสียรายได้ในจุดนี้ไป เพราะผู้บริโภคจะสามารถนำสาย USB-C จากอุปกรณ์อื่น ๆ ของตัวเองที่มีอยู่แล้ว มาใช้แทนที่สาย Lightning ของตัวเองได้ทันที โดยไม่ต้องซื้อใหม่กับทาง Apple ก็ได้.. ซึ่งมันต่างจากการที่ Apple ยอมเปลี่ยนมาใช้ USB-C ใน Mac และ iPad พอสมควร เพราะถ้าหากเทียบสัดส่วนกันแล้วมันน้อยกว่า iPhone หลายเท่า.. นอกจากเหตุผลเรื่อง การสูญเสียอีกแหล่งรายได้ทำเงินแบบง่าย ๆ จากผู้บริโภคแล้ว มาตรฐานที่ Apple เอาไว้ควบคุมคุณภาพของอุปกรณ์ที่จะนำไปเชื่อมต่อกับ iPhone พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าหากผู้ผลิตรายไหนต้องการทำอุปกรณ์เสริมมาใช้กับ iPhone ก็ต้องผ่านมาตรฐานดังกล่าวก่อน ซึ่งรายได้จาก MFi ของ Apple นั้น แม้จะไม่ได้มีรายงานอย่างเป็นทางการ แต่ก็คงเดาได้ไม่ยากว่ามันไม่น้อยแน่ ๆ.. สรุปก็คือ ถ้าหาก Apple ยอมเปลี่ยนมาใช้สาย USB-C บน iPhone แล้ว จะไม่ใช่แค่การเสียรายได้เท่านั้น ซึ่งถ้าจะมองแบบแฟร์ ๆ เลยก็คือ Apple
ก็อาจจะไม่ผิดที่ต้องการควบคุมคุณภาพบนผลิตภัณฑ์หลักของตัวเอง เช่น บรรจุภัณฑ์ของ Apple ในยุคหลัง ๆ มานี้ ก็มีการใช้วัสดุรีไซเคิลที่มีต้นทุนสูงกว่ามาทดแทนพลาสติก แต่หากมองในมุมของผู้บริโภคเองก็ไม่ผิดเหมือนกัน ที่พวกเขาจะเรียกร้องผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง.. แม้ว่าปัจจุบัน สหภาพยุโรปจะได้มีการผ่านกฎหมายบังคับให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดที่ขายในยุโรปต้องใช้พอร์ตชาร์จ USB-C แบบเดียวกันทั้งหมด ภายในปี 2024 เป็นที่เรียบร้อย แต่ Apple จะยอมทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าวหรือไม่ ก็ยังไม่มีใครรู้ ซึ่งจริง ๆ ที่ Apple พูดมันก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะถ้าหากทุกแบรนด์ใช้เทคโนโลยีแบบเดียวกันหมด สุดท้าย ไม่ว่าในปี 2024 ที่จะถึงนี้ แต่ที่รู้ ๆ คือ ผู้ใช้ iPhone ต้องทนใช้สาย Lightning ไปอีก 2 ปี นั่นคือเรื่องจริง.. |