ทฤษฎีการสร้างมนุษยสัมพันธ์ทฤษฎีการสร้างมนุษยสัมพันธ์มีองค์ประกอบ 3 องค์ประกอบคือ เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์ ( 2520 : 227 ) Show
1. ให้มนุษย์มีความสุข ( Happy ) จากแนวความคิดดังกล่าวข้างต้น พอสรุปได้ว่า ทุกชีวิตที่เกิดขึ้นมา และกำลังดำเนินอยู่ แม้ว่าทุกคน จะมีความแตกต่างกัน แต่ทุกคน เป็น มนุษย์ เหมือนกัน ต่างก็ต้องการให้ตัวเอง มีความสุขปราศจากโรคภัยเบียดเบียน มีร่างกายที่สะอาด และงามตามที่ธรรมชาติ กำหนด มนุษย์ทุกคนมีความต้องการสิ่งต่างๆ ที่จะอำนวยความสะดวกสบายให้แก่บุคคล ดังเช่น แนวความคิดของมาสว์โล เมื่อความต้องการลำดับต้นๆ ได้รับการตอบสนองแล้ว มนุษย์ก็จะต้องการสิ่งอื่นๆ อีก จนไปถึงขั้นสุดท้ายก็ เพื่อจะรู้ว่าแท้จริงแล้ว ในความเป็นมนุษย์นี่เราต้องการ และปรารถนาอะไร ในการอยู่ร่วมกันกับคนอื่นๆ บุคคลยังต้องการการยอมรับ และต้องการให้ เพื่อนมนุษย์ได้รับ ประโยชน์ร่วมกัน อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ดังนั้นมนุษย์ปฏิเสธการอยู่รวมกัน เป็นกลุ่มไม่ได้และเพื่อ ให้เป็นที่รัก ของคนอื่นเราทุกคนก็ต้องพัฒนาตน แนวทางหนึ่งที่สามารถพัฒนาตนได้คือ การสร้างความมีมนุษยสัมพันธ์เพื่อการพัฒนาบุคลิกภาพ ซึ่งมีแนวทางในการปฏิบัติดังนี้ คือ
ถ้าบุคคลมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น ก็จะเกิดการพัฒนาบุคลิกภาพของตนเองได้พัฒนาขึ้นและในเรื่องนี้จะช่วยให้บุคคลสามารถ ทำงานและอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างมีความสุข การเริ่มทำงานทุกงานทั้งภาครัฐและเอกชน ความรู้เรื่องมนุษยสัมพันธ์สามารถจะช่วยให้ บุคคลสามารถทำงานได้อย่าง มั่นใจจาก พระบรมราโชวาทในเรื่องงาน "การทำงานยากลำบากกว่าการเรียนยิ่งนัก การเรียนนั้นเรียนตามหลักสูตรหรือเรียนวิชาต่างๆ ตามที่ทางมหาวิทยาลัยจัดหลักสูตรให้ แต่สำหรับการทำงานไม่มีหลักสูตรวางไว้ ผู้ทำงานต้องศึกษาระบบงานเอง และจะต้องใช้ ความคิดริเริ่ม และความคิดพิจารณา ด้วยตนเองในอันที่จะกระทำสิ่งใด อย่างไรเมื่อใด หากไม่รู้จักพิจารณาให้ถูกช่อง ถูกโอกาส ถึงมีวิชาความรู้อยู่กับตัวมากเพียงใด ก็ไม่เป็นผลแก่งานและแก่ตัวผู้ทำงานนัก ดังนั้นผู้ที่เริ่มจะทำงานใหม่ ควรศึกษางาน ที่จะต้องทำให้ถ่องแท้ มีมนุษยสัมพันธ์กับ บุคคลในองค์กรให้ได้ทั้งที่ต่ำกว่าเรา เสมอเราหรือเหนือกว่าเราให้ได้" พระบรมราโชวาท โดยสรุปนี้ให้กับบัณฑิตใหม่ ที่กำลังจะก้าวไปสู่ตลาดแรงงาน ก้าวไปสู่อาชีพ เพื่อสร้างตัว สร้างฐานะ การศึกษาที่หลายท่านร่ำเรียนมา จะมาเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ และรายได้ที่ได้มาโดยหยาดเหงื่อของเรา มันจะสร้างความภูมิใจ ให้กับตัวเรา แต่มีหลายคนที่เมื่อเข้าสู่ระบบงานแล้วไม่สามารถทำงานตามที่ตนมีความรู้ ความสามารถให้ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งไว้ เทคนิควิธีการสร้างมนุษยสัมพันธ์ในการสร้างมิตรเทคนิควิธีการสร้างมนุษยสัมพันธ์ สามารถทำได้ง่ายๆ มีดังนี้
ศิลปะการเข้าถึงบุคคลเพื่อสร้างความคิดร่วมเนื่องจากมนุษย์เราเป็นสัตว์สังคมที่อยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ มนุษย์จึงต้องสัมพันธ์ กันทั้งด้านชีวิตส่วนตัว ทำงานสร้างสรรค์ร่วมกัน การสร้างมนุษยสัมพันธ์เพื่อความคิดร่วมกันในการดำเนินภารกิจในชีวิตประจำวัน จึงเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็น โดยใช้ศิลปะใน การเข้าถึงบุคคลดังนี้
การพัฒนาตนเพื่อเสริมสร้างสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงานการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในการทำงานร่วมกันนั้น บุคคลควร ตระหนักใน ความรับผิดชอบร่วมกันว่า ทุกคนจะเริ่มที่ตัวของตัวเอง การปรับเปลี่ยนตนเอง เพื่อให้อยู่ร่วมกับผู้อื่น อย่างเป็นสุขนั้น จะอยู่ในวิสัย ที่จะจัดการได้ดีกว่า การมุ่งปรับเปลี่ยนผู้อื่น หรือสิ่งแวดล้อม เมื่อบุคคลมี พฤติกรรมที่ดีกับผู้อื่น ในที่สุดก็จะได้ปฏิกิริยา ตอบสนองที่ดี จากผู้อื่นกลับคืนมา ดังมีคำกล่าวในสุภาษิตไทยตอนหนึ่ง ในประชุมโคลงโลกนิติ ที่ว่า ให้ท่านจักให้ ตอบสนอง สามสิ่งนี้เว้นไว้ แด่ผู้ทรชน คำกลอนดังกล่าวมีความหมายว่า การที่บุคคลให้สิ่งใดแก่ผู้อื่นก็มีแนวโน้ม จะได้รับสิ่งนั้น สะท้อนกลับคืนมา เช่นเดียวกัน ซึ่งบางทีการสะท้อนกลับคืนมานั้นอาจมิใช่ เพราะผู้อื่นนำมาให้เสมอไป ในหลายเรื่อง ได้รับจาก ความรู้สึกของตัวเราเอง เช่น เมื่อให้ความรักให้น้ำใจแก่คนอื่นผลจาก การให้ทำให้ตนเองรู้สึก ปลาบปลื้ม เป็นสุขภาคภูมิใจในตนเอง ความรู้สึกดีๆ ดังกล่าวนี้เป็นผลสะท้อนจาก การให้ที่เกิดขึ้น ในใจของเราเองโดยที่คนอื่น ไม่ต้องนำความรู้สึกนี้มาให้ และนับว่ามีสูงส่ง เนื่องจากเรื่องของความรู้สึกดีๆ นั้น ซื้อหาไม่ได้ด้วยเงิน การพัฒนาตน เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดี กับเพื่อนร่วมงาน อาจทำได้หลายลักษณะ หลายแนวทาง ในที่นี้จะกล่าว โดยสังเขป ในแนวปฏิบัติ บางประการที่เหมาะสมกับผู้ทำงาน ได้แก่ การสร้างอัตตมโนทัศน์ที่ตรงตามความเป็นจริง การมองตนเอง และผู้อื่นในทางที่ดี การปฏิบัติต่อผู้อื่นในทางที่ดี การพัฒนาการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น การพัฒนาการวางตนตามสถานะ และบทบาทในองค์การดังนี้ 1. การสร้างอัตตมโนทัศน์ ที่ตรงตามความเป็นจริงคำว่า อัตตมโนทัศน์ ซึ่งบางคนเรียกว่า ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับตนเอง นี้ โรเจอร์ ซึ่งเป็นผู้นำของ นักจิตวิทยา กลุ่มมนุษยนิยม กล่าวว่า เป็นความคิดความรู้สึกที่ เป็นข้อสรุปต่อตนเองของบุคคล ความคิดความรู้สึกดังกล่าว เป็นผลิตผลจาก ประสบการณ์ ในชีวิต ที่ได้มี การปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง อัตตมโนทัศน์เป็นภาพทั้งหมด ของบุคคล ในความคิดคำนึง ซึ่งมิได้เจาะจง ที่จุดใด จุดหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ไม่เจาะจงว่าเป็นคนสูงมาก อ้วนมาก โกรธง่าย หงุดหงิด หรือเป็นคนอารมณ์ขัน ฯลฯ หากแต่ เป็นความคิดความรู้สึกเกี่ยวกับตนเอง ในภาพรวมทั้งหมด เช่น ความรู้สึก เกี่ยวกับ สภาพอารมณ์ และร่างกายทั้งหมด กิจกรรมทุกอย่างที่ปฏิบัติ ทุกสิ่งที่ปฏิบัติ และล้มเหลว รวมทั้ง ความรู้สึก ของบุคคลที่ว่า บุคคลอื่นมองเขาอย่างไร ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้ เกิดจากการที่บุคคลติดต่อ สัมพันธ์กับผู้อื่น เช่นได้จาก การสังเกต กิริยาอาการ ของผู้อื่นที่ แสดงต่อตน จากการได้รับ การยอมรับ หรือไม่ได้รับการยอมรับ จากตำแหน่ง หน้าที่ในสังคม ฯลฯ ซึ่งอัตตมโนทัศน์ เหล่านี้จะมีทั้งบวก และลบ แต่อย่างไรก็ตาม มีสิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ บุคคลแต่ละคนมิได้มีอัตตมโนทัศน์ที่ถูกต้องเที่ยงแท้เสมอไป บางครั้งมี การเข้าใจตนเองผิดจาก ประสบการณ์บางประการ โดย อาจจะมองบวกมากไปเกี่ยวกับตนเอง เช่น มีเสน่ห์แรง ทำงานเก่ง สติปัญญาเป็นเลิศ หรืออาจจะมองลบเป็นส่วนใหญ่ เช่นอาจคิดว่าตนเองพูดไม่เป็นอ่อนแองุ่มง่าม บุคลิกภาพไม่ดี ฯลฯ คนบางคนมองแต่แง่ดี ในตัวเอง ไม่ยอมรับข้อเสีย บางคนมองแต่ข้อเสียไม่ยอมรับข้อดี แท้ที่จริงแล้วบุคคลมักจะมีทั้งข้อดี และข้อจำกัดในตัวเอง ซึ่งบุคคลควร ที่จะพยายามสร้างอัตตมโนทัศน์ให้ตรง ตามความเป็นจริง โดยหมั่นสำรวจตรวจสอบ ตนเองอยู่เสมอ โดยอาจจะพูด หรือเขียนประโยคต่างๆ ที่เป็นการบรรยายตนเอง แล้วพูดคุยกับผู้ใกล้ชิดว่า บุคคลเหล่านั้น เห็นด้วยกับสิ่งที่พูด หรือเขียนอย่างไร หรืออีกวิธีหนึ่งที่อาจจะช่วยให้ การสำรวจตรวจสอบตนเองเป็นไปได้ด้วยดี คือ การใช้แบบสำรวจตนเอง ซึ่งบุคคลจะต้อง ควบคุมตนให้ตอบอย่างซื่อตรง และจริงใจต่อตนเองเพื่อให้ค้นพบตัวเองที่แท้จริง ปัจจุบันมีผู้สร้างแบบสำรวจตนเอง เกี่ยวกับ มนุษยสัมพันธ์ ไว้มาก ตัวอย่างแบบสำรวจตนเองชุดหนึ่งที่น่าสนใจ เช่น แบบสำรวจชื่อ "มองตนเพื่อสร้างสัมพันธ์" ของวัชรี ธุวรรม อันเป็นแบบสำรวจที่สร้าง และปรับปรุงขึ้น เพื่อใช้สำหรับให้บุคคลสำรวจ ตรวจสอบตนเอง ในลักษณะของตน บางด้านที่เกี่ยวกับ พัฒนาการทางสังคม เพื่อให้รู้จักตนเองเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับลักษณะทางสังคมของตน เพื่อให้เกิดการพัฒนาตนด้านสัมพันธภาพกับผู้อื่น ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนางานในหน้าที่ได้ด้วย 2. การมองตนเอง และผู้อื่นในทางที่ดีลองใช้แบบสำรวจ เพื่อประเมินตนเองจากความคิดคำนึงของตนว่า ตนเองเป็นคนอย่างไร ในลักษณะต่างๆ ตามหัวข้อที่กำหนดให้ทั้ง 30 ข้อ เมื่อ เสร็จการประเมินตนเองแล้ว บุคคลอาจนำไปสนทนาแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น กับผู้ใกล้ชิดว่า มีใครเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร แล้วใช้เวลาส่วนหนึ่งอยู่ตามลำพังเพื่อเปรียบ เทียบความคิดเห็นของตน และผู้อื่นต่อตนเอง ลักษณะใด บ้างที่เห็นตรงกัน และลักษณะใดบ้างที่เห็นไม่ตรงกัน จากการหาเหตุผล อาจนำไปสู่การมีอัตมโนทัศน์ ที่ตรง ตาม ความเป็นจริง และทำให้ค้นพบ ลักษณะบางอย่างที่ดี อยากรักษาไว้ และลักษณะบางอย่างในตัวเอง ที่อยากปรับปรุงอันจะนำไปสู่สัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น จากตัวอย่าง การสำรวจตนเองที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า ความสามารถในการมองตนเอง ด้วยสายตาที่แท้จริง นำไปสู่ ความสัมพันธ์อันดี กับผู้อื่น และทำให้มีสุขภาพจิตดี เพราะช่วยให้สามารถทำตัวได้ตามสบาย ยอมรับในข้อจำกัดที่ตนมีอยู่ และมั่นใจ ในข้อดีของตน ไม่มีความจำเป็น ต้องปิดบังซ่อนเร้นตนเองด้วยกลไกการป้องกันตัว หาก แต่เป็นผู้สามารถ เป็นตัวของตัวเอง เมื่ออยู่ในที่แวดล้อมด้วยผู้คนหลากหลาย แบบทดสอบการมองตนเพื่อสร้างสัมพันธ์
2. ขี้บ่น 3. พูดมาก 4. มีน้ำใจ 5. ชอบพูดเรื่องคนอื่น 6.เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ 7. ซื่อสัตว์ต่อเพื่อน 8. สามารถไว้ใจได้ 9. มักมีปัญหาอยู่เสมอ 10. ชอบออกคำสั่งคนที่อยู่รอบข้าง 11. ตรงต่อเวลา 12. ขี้อิจฉา 13. หงุดหงิดอยู่เสมอ 14. ชอบเอาใจผู้อื่น 15. เป็นผู้ฝังที่ดี 16. กว้างขวางในหมู่ผู้หญิง 17.กว้างขวางในหมู่ผู้ชาย 18. โกรธง่าย 19. มักกล่าวคำขอโทษอยู่เสมอ 20. เห็นแก่ตัว 21. ชอบอยู่ตามลำพัง 22. มีท่าทางเป็นมิตรต่อผู้อื่น 23. คิดถึงคนอื่นก่อนคิดถึงตนตัว 24. เป็นคนสนุกใครๆ ก็อยากอยู่ด้วย 25. มักมองผู้อื่นต่ำกว่าตน 26. ไม่ชอบให้ใครวิจารณ์ 27. มักป้ายความผิดให้ผู้อื่น 28. โกรธเมื่อผู้อื่นไม่เห็นด้วย 29. ต้องการเป็นหนึ่งอยู่เสมอ 30. มีสุขภาพจิตดี 3. การปฏิบัติต่อผู้อื่นในทางที่ดีจอห์ บี.วัตสัน ผู้นำสำคัญของนักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม ซึ่งเป็นกลุ่มจิตวิทยาที่เชื่อในเรื่อง การใช้สิ่งเร้าหรือสิ่งแวดล้อมมา เป็นเงื่อนไข ในการปรับเปลี่ยน และ พัฒนาพฤติกรรมของบุคคล ได้กล่าวให้เห็น อิทธิพลของสิ่งเร้าหรือสิ่งแวดล้อม ต่อพฤติกรรมหรือ การกระทำของคนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "พฤติกรรมนิยม" ซึ่งเขา เขียนไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1924 ความว่า "จงนำเด็กทารกมา ให้ข้าพเจ้าเลี้ยงดูสัก 1 โหล ซึ่งเป็นเด็กที่สมบูรณ์ ลักษณะปกติ ข้าพเจ้ารับรองว่าจะสามารถสร้างให้เขาเหล่านั้น เป็นอะไร ก็ได้ตาม ต้องการ อาจจะเป็นนายแพทย์ นักกฎหมาย ศิลปิน ผู้นำทางการค้า หรือแม้กระทั่งขอทาน และหัวขโมย… ทั้งนี้โดยไม่สนใจว่า บรรพบุรุษของเด็กเหล่านี้ นั้นมีความสามารถ อาชีพ หรือเชื้อชาติใดมาก่อน" จากคำพูดของวัตสันดังกล่าว แสดงให้เห็น ความเชื่อของ นักจิตวิทยาในด้านพฤติกรรมหรือการกระทำของบุคคลว่า บุคคลจะมีพฤติกรรม โน้มเอียงไปตามสิ่งเร้า หรือสภาพแวดล้อม ถ้าได้รับ แรงกระตุ้น หรือสิ่งแวดล้อมในแง่ดีพฤติกรรมก็ออกมาดี และถ้าแรกระตุ้น เป็นไปในแง่ลบ ก็อาจได้ผลพฤติกรรม ในแง่ลบอ อกมา คำอธิบายนี้ นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในแง่ ของการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง เพื่อนร่วมงานได้ แนวปฏิบัติที่สำคัญ เกี่ยวกับ การปฏิบัติต่อผู้อื่น เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานด้วยกันมีดังนี้
จากที่กล่าวมาทั้งหมดในเรื่องการปฏิบัติต่อผู้อื่นในทางที่ดี สิ่งเหล่านี้จัดเป็น การสร้างสิ่งแวดล้อม หรือบรรยากาศทางจิตวิทยาที่ดี ในที่ทำงาน ซึ่งจะเป็น แรงกระตุ้นการสนองตอบที่ดี จากอีกฝ่ายหนึ่ง ช่วยให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกันมากขึ้นในหน่วยงาน หลักปฏิบัติดังกล่าวนี้ เมื่อพิจารณาใหใดีจะเห็นได้ว่า ตรงกับหลัก สังคหวัตถุในคำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหลักธรรม 4 ประการที่ใช้ปฏิบัติ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง เพื่อนร่วมงานได้ อันได้แก่ ทาน ปิยะวาจา อัตถจริยา และสมานัตตตา คำว่า "ทาน" หมายถึงการให้น้ำใจ ให้เกียรติ ให้คำแนะนำช่วยเหลือ ให้ความเป็นมิตร ซึ่งจะเห็นได้ว่า แนวทางปฏิบัติต่อผู้อื่น ในทางที่ดีนั้นมีลักษณะเป็นสากล และไม่ล้าสมัย ไม่ว่าชาติใดภาษาใด หรือยุคสมัยใด ก็ยังยึดถือหลักที่คล้ายคลึงกัน ดังเช่นแนวคิดของนักจิตวิทยาที่สอดคล้องกับหลักคำ สอนของพุทธศาสนา ซึ่งมีมาช้านานแล้ว 4. การพัฒนาการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นจากที่กล่าวมาเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้อื่นในทางที่ดี จะเห็นว่ามีหลายประการ ที่ต้องอาศัย ทักษะด้านการติดต่อสื่อสาร เช่น การให้ความสนใจเพื่อนร่วมงาน การ แสดงการจำได้ การเป็นคู่สนทนาที่ดี การแสดงการยอมรับผู้อื่น และการแสดงความชื่นชมยินดี ฯลฯ ถ้าบุคคลมีทักษะที่ดีด้านการสื่อสารกับผู้อื่น จะช่วยเสริมสร้างมนุษย สัมพันธ์ระหว่างกัน ได้เป็นอย่างมาก ซึ่งเรื่องนี้ วอลซ์ และเบจามิน ลิบบี้ กล่าวว่าหัวใจของ มนุษยสัมพันธ์ คือทักษะด้านการสื่อสารกับผู้อื่น โดยทำให้ผู้อื่น เกิดความรู้สึกที่ดี เกี่ยวกับ ตัวของ เขาเอง เขาได้ยกตัวอย่างเรื่องที่เล่าต่อกันมาแต่ครั้งโบราณเกี่ยวกับสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นที่รัก ของผู้คนในละแวก บ้านใกล้ เรือนเคียง คุณสมบัติที่น่าทึ่งประจำ ตัวของเธอก็คือ ความสามรถดึงดูดใจใครๆ ให้ชอบ ไว้ใจ และอยากอยู่ใกล้ชิด วันหนึ่งหญิงสาวผู้นี้เสียชีวิต ทุกคนในหมู่บ้านต่างเสียใจ และเสียดาย และพยายามสรรหา คำพูดเกี่ยวกับ คุณสมบัติประจำตัวของเธอ ซึ่งทำให้ใครๆ รักเพื่อเขียนคำไว้อาลัย เมื่อต่างก็ได้บรรยายคุณสมบัติ มากมายของหญิงสาวผู้นี้ตามที่แต่ละคนได้พบเห็น ทุกคนได้พบปัญหา อย่างหนึ่งก็คือไม่สามารถสรรหาคำที่จะมาแทนคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัวของหญิงสาวผู้นี้ได้ตรงตามลักษณะจริงๆ จนกระทั่ง เพื่อนของเธอคนหนึ่ง กล่าวคำพูดซึ่งดูเหมือน จะตรงกับความรู้สึกของทุกคน ในที่นั้นขึ้นมา เมื่อได้ฟังประโยค ดังกล่าวทุกคน ก็กล่าวเป็น เสียงเดียวกันว่า “ใช่แล้ว! ข้อความนี้แหละตรงกับความรู้สึกของฉันมาก” ประโยคที่ตรงกับความคิดของทุกคนในที่นั้น เกี่ยวกับสุภาพสตรีดังกล่าวคือ “ เมื่อฉันอยู่ใกล้ชิดเธอ เธอมักทำให้ฉันมีความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับตัวฉันเอง” ซึ่งหมายถึง ความสามารถในการติดต่อ สื่อสาร กับผู้อื่นของหญิงสาวผู้นี้ที่แสดงการยอมรับ ชื่นชม ให้ความสำคัญกับผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นรู้สึกอบอุ่น สบายใจ ไว้วางใจ และ เป็นสุข วิธีการที่บุคคลติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น มักเป็นเครื่องตัดสิน ความสามารถในการสร้างสื่อสัมพันธ์ของบุคคลว่า จะนำไปสู่ความใกล้ชิดกับผู้อื่นมากขึ้น หรือคงเดิม หรือทำให้ยิ่งห่างเหิน กับเขาออกไป และเมื่อบุคคลประพฤติปฏิบัติอย่างไร ในการติดต่อสื่อสารกับคนๆ หนึ่ง ก็มักทำอย่างนั้นเรื่อย ไปกับคนอื่น จนในที่สุดกลายเป็นความ เคยชิน กลายเป็นลักษณะนิสัยประจำตัว ซึ่งจะเห็นได้ว่า ทักษะด้านการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นนั้น บุคคลควรฝึกฝนตนเองให้ทำให้ได้ และเมื่อทำได้แล้วกับคนๆ หนึ่งก็มักมีแนวโน้มในการนำไปใช้กับบุคคลอื่นๆ ต่อไป การฝึกฝนตนเองดังกล่าว อาจเริ่มได้โดยศึกษาหลักปฏิบัติ เพื่อพัฒนาการติดต่อสื่อสาร กับผู้อื่น แล้วหมั่นฝึกตนเองให้ทำตาม หลักดังกล่าวทีละเล็กทีละน้อย จนกลายเป็นความเคยชิน หลักปฏิบัติเพื่อพัฒนาการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นในที่ทำงานซึ่งช่วยให้เกิดสัมพันธภาพที่ดี อาจกล่าวได้โดยสังเขปได้ดังต่อไปนี้
การพัฒนาการวางตนตามสถานะ และบทบาทในองค์การในที่ทำงานหนึ่งๆ จะมีผู้ทำงานในตำแหน่ง และระดับต่างๆ กันไป ซึ่งแบ่งได้กว้างๆ เป็น 3 ระดับ คือผู้บังคับบัญชา ผู้ร่วมงาน และผู้ใต้บังคับบัญชา บุคคลในแต่ละระดับดังกล่าว จะมีสถานะ และบทบาทต่างๆ กันไป ผู้ที่วางตนในการทำงานร่วมกับบุคคลระดับต่างๆ ได้โดยเหมาะสม มักช่วยให้การทำงานเป็นไปโดยราบรื่น และอยู่กันได้ด้วยความสุข แนวทางในการวางตนตามสถานะ และบทบาทในองค์การ มีโดยสังเขปดังต่อไปนี้ การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชาโดยผู้บังคับบัญชาไม่ว่าจะอยู่ในระดับใด ต้องถือว่าเป็น ผู้นำในการปฏิบัติงาน และเป็นผู้ต้องรับผิดชอบงานในที่ทำงาน เหนือกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้น ผู้ใต้บังคับบัญชา จึงต้องให้ความสำคัญกับผู้บังคับบัญชา ให้ความเคารพนับถือ ให้ความร่วมมือ และเชื่อฟังในสิ่งที่ชอบด้วยเหตุผล และบทบาทหน้าที่โดยปฏิบัติดังนี้ - ยกย่องผู้บังคับบัญชาตามควรแก่ฐานะ
ด้วยหลักการวางตนในการทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชาทั้ง 10 ประการ ดังกล่าว ถ้าบุคคลใดปฏิบัติได้โดยครบถ้วนสมบูรณ์ ก็มีแนวโน้มว่า จะมีสัมพันธภาพอันดี กับผู้บังคับบัญชาได้ไม่มากก็น้อย การวางตนในการทำงานร่วม กับผู้อยู่ในระดับเดียวกัน ผู้ที่ปฏิบัติงานในระดับเดียวกัน มักมีอิทธิพลต่อกัน และกันในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมีบทบาทสูงต่อ มนุษยสัมพันธ์ ในองค์การ เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดกันมากที่สุด และงานหลายงานก็ยังต้อง อาศัยความร่วมมือ และน้ำใจช่วยเหลือกัน ดังนั้น การวางตนในการทำงาน ร่วมกับ ผู้อยู่ในระดับเดียวกันนั้น จึงต้องวางตนโดยเป็นผู้ให้ให้มากที่สุด และปฏิบัติดีต่อกันให้ มากที่สุด ซึ่งได้กล่าวไว้ บ้างแล้ว ในหัวข้ออื่นๆ สำหรับในที่นี้กล่าวโดยสังเขปได้ดังนี้
หลักปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมงานทั้ง 10 ประการ ที่กล่าวมานี้ เมื่อทุกคนในที่ทำงานต่างร่วมใจปฏิบัติด้วยกัน ไม่เกี่ยงงอนกันว่าให้เขาทำก่อน และเราจะทำตาม ก็น่าจะ เชื่อได้ว่า ช่วยสร้างสัมพันธภาพอันดีให้เกิดแก่หน่วยงานได้ การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชาโดยการคำนึงอยู่เสมอว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาคือ ฝ่ายปฏิบัติงาน ในหน่วยงาน เปรียบเสมือนมือ และเท้าของผู้บริหาร ถ้าผู้ปฏิบัติขาดความสุขในการทำงาน ก็มักส่งผลเสียต่องาน และมีผลกระทบ ทางลบมาถึงผู้บังคับบัญชาได้ในที่สุด นอกจากนั้น ผลงานของลูกน้องทุกคนทั้งหมดเมื่อรวม กันแล้วก็คือผลงาน ของผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาจึงควร ต้องให้ความสำคัญ กับผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้ผลงานดี และมีบรรยากาศ ของความสัมพันธ์ อันดีต่อกันด้วย เรื่องบทบาทของผู้บังคับบัญชานี้ ได้กล่าวไว้บ้างแล้วในบทบาทที่ว่า ด้วยผู้บริหารงาน ดังนั้นในที่นี้จึงกล่าวเพิ่มเติมบางส่วนโดยสังเขป ดังนี้
หลัก 10 ประการของการวางตัวต่อผู้ใต้บังคับบัญชาดังกล่าว ถ้าผู้บังคับบัญชาปฏิบัติตามนี้ จะช่วยสร้างความรักความศรัทธา เกิดการยอมรับ จากผู้ใต้บังคับบัญชา ทำให้มีการ่วมมือกัน ดีขึ้นในการทำงานร่วมกัน บทสรุปจิตวิทยาความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเป็นการนำความรู้เกี่ยวกับ ธรรมชาติพฤติกรรมของบุคคล มาประยุกต์ใช้ใน การเสริมสร้าง มนุษยสัมพันธ์ ในหน่วย งาน เพื่อให้ทำงานร่วมกันได้โดยเป็นสุข และได้ผลงานดีนั้น ควรทำความเข้าใจตั้งแต่เรื่ององค์ประกอบของ มนุษยสัมพันธ์ ซึ่งจะต้องมีทั้งการรู้จักตัวเอง การเข้าใจผู้อื่น และการเข้าใจสิ่งแวดล้อม แล้วปรับปรุงพัฒนาตนเองให้เข้ากับผู้อื่น และสิ่งแวดล้อม ซึ่งก่อนที่จะปรับปรุง พัฒนาตนเอง บุคคล ต้องมีความเข้าใจว่า ลักษณะของกลุ่มทำงานที่ดีนั้น ควรเป็นกลุ่มทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตย มีความไว้วางใจ เชื่อในความสามารถ ของกัน และกัน มีการทำงานร่วมกัน อย่างเป็นระบบ มีการร่วมมือที่ดี และ ผู้มารวม กลุ่มทำงาน มีลักษระบุคลิกภาพซึ่งเอื้อต่อการสร้างสัมพันธ์ การเข้าใจเรื่อง ลักษณะของกลุ่มทำงาน ที่ดีดังกล่าว จะเป็นแนวทาง ในการพัฒนาปรับปรุงตนเองของ บุคคลเพื่อ ความสัมพันธ์ ระหว่าง เพื่อนร่วมงาน ซึ่งหลักการ พัฒนาตน เพื่อเสริมสร้าง ความสัมพันธ์ กับเพื่อร่วมงานนั้น บุคคลควรสร้างอัตตมโนทัศน์ที่ตรงตามความเป็น จริง มีความคิด ความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับตน ซึ่งจะส่งผลให้มองผู้อื่นในทางที่ดีด้วย เมื่อมองดีในผู้อื่นได้ก็จะส่งผล ให้อยากปฏิบัติต่อผู้อื่น ในทางที่ดีซึ่งท้ายสุดก็จะได้ พฤติกรรมที่สะท้อนกลับมา |