We’ve updated our privacy policy so that we are compliant with changing global privacy regulations and to provide you with insight into the limited ways in which we use your data. You can read the details below. By accepting, you agree to the updated privacy policy. Thank you! View updated privacy policy We've encountered a problem, please try again.
ดนตรี มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของเสียงที่เรียบเรียงเป็นทำนอง การเกิดทำนองเพลงได้ต้องนำองค์ประกอบส่วนย่อยต่างๆ มารวมเข้าด้วยกัน ดนตรีของชาติต่างๆ ทั้งดนตรีไทย ดนตรีจีน ดนตรีอินเดีย ดนตรีเปอร์เซีย และดนตรีตะวันตก ต่างต้องมีส่วนประกอบสำคัญอย่างน้อย 6 ประการ ที่เชื่อมโยงและสัมพันธ์กัน เพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น ให้ผู้เรียนนึกถึงทำนองเพลงคุ้นเคย หรืออาจเลือกเพลงและดนตรีที่ปรากฏในสังคมและวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่งเป็นตัวอย่างและเชื่อมโยงกับองค์ประกอบของดนตรี ดังนี้ 1. เสียง
แสดงการแบ่งระดับเสียงดนตรีในทางวิทยาศาสตร์
แสดงการแบ่งระดับเสียงดนตรีในทางดนตรีศาสตร์ คุณภาพเสียง แหล่งกำเนิดเสียงต่างกัน ให้เสียงที่มีระดับเสียงเดียวกัน(ความถี่เท่ากัน) เช่นไวโอลินและขลุ่ยเล่นโน้ตเดียวกัน แต่เราสามารถแยกออกได้ว่าเสียงใดเป็นเสียงไวโอลินและเสียงใดเป็นเสียงขลุ่ย นั่นแสดงว่าต้องมีปัจจัยอื่นอีกที่ทำให้เสียงแตกต่างกัน จนเราสามารถแยกเสียงจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ กันได้ ความหมายเลขตัวบนและตัวล่าง เลขตัวบน เป็นเลขที่กำหนดว่าบทเพลงจะแบ่งออกเป็นห้องละกี่จังหวะตามตัวเลขที่กำหนดดังนี้ เลข 2 แบ่งออกเป็นห้องละ 2 จังหวะ เลขตัวล่าง เป็นเลขที่กำหนดว่าโน้ตลักษณะใดจะเป็นเกณฑ์ตัวละ 1 จังหวะดังนี้ เลข 16 กำหนดให้ โน้ตตัวเขบ็ต 2 ชั้น () เป็นตัวละ 1จังหวะ 2.2 จังหวะ (Rhythm) คือ กระสวน หรือรูปแบบ (Pattern) ของการเคาะจังหวะที่แบ่งซอยจังหวะให้เป็นตามที่อัตราจังหวะกำหนดไว้ มีความถี่ - ห่างต่างกัน เพื่อให้ตรงตามกระบวนแบบหรือลีลาของบทเพลง สามารถสังเกตได้จากบทเพลง ซึ่งกำหนดชื่อเฉพาะของจังหวะไว้ เช่น จังหวะรำวง จังหวะวอตซ์ จังหวะแทงโก้ จังหวะโซล จังหวะสวิง จังหวะรุมบา เป็นต้น 2.3 อัตราความเร็ว (Tempo) คือ อัตราความเร็วของการดำเนินจังหวะทุกส่วน ทั้งส่วนอัตราจังหวะ ส่วนรูปแบบจังหวะ และส่วนอัตราจังหวะ ตัวอย่างที่ศึกษาได้ คือ เพลงสมัยนิยม หรือเพลงป๊อบปูล่าร์ เพลงเห่านี้จะระบุอัตราความเร็วด้วยคำว่า Slow หรือ Fast หรือ Quick นำหน้าชื่อลีลา หรือกระุบวนแบบของบทเพลง เช่น Slow Tango หมายถึงจังหวะแทงโก้อย่างช้า 3. ทำนอง 3.1.
บันไดเสียง (Scale) และโหมดเสียง ( Mode) 2. Whole Tone Scale เป็นสเกลหรือบันไดเสียงที่มีการไล่เสียงโดยให้โน๊ตแต่ละตัวมีความห่างกัน 1 เสียงเต็ม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการนำเครื่องหมายชาร์ป และแฟล็ทมาใช้ในการบังคับให้โน๊ตมีความห่าง 1 เสียงเต็ม
ถ้าเทียบบนคอกีตาร์คือคุณไล่สเกลโดยกดนิ้วข้ามช่องเว้นช่องไปเรื่อย ๆ (เนื่องจากครึ่งเสียง=1 ช่องเฟร็ต และ 2 ช่องเฟร็ต=1เสียงเต็ม) ลองดู C โฮลโทนสเกล นะครับ 3. Cromatic Scale คล้ายกับ whole tone scale แต่ช่วงห่างของเสียงของโน๊ตแต่ละตัวจะเป็นครึ่งเสียงแทน
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการใช้เครื่องหมายชาร์ปและแฟล็ทในการควบคุมโน๊ตเช่นกัน หรือคือการไล่สเกลบนคอกีตาร์โดยการกดไล่ในทุก ๆ ช่องเฟร็ต ( 1 ช่องเฟร็ต=ครึ่งเสียง) ข้างล่างนีเป็นตัวอย่างของ C โครมาติคสเกล Major Scale เป็นสเกลพื้นฐานที่สำคัญและเป็นแม่แบบของสเกลอื่น ๆ อีกหลายชนิดเช่น ไมเนอร์ เพนตาโทนิค เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่สร้างมาจากสเกลเมเจอร์ สเกลเมเจอร์เกิดจากการเลียนการออกเสียงตามธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้นจะเห็นว่าการไล่เสียงในสเกลเมเจอร์จะเป็นธรรมชาติมากในความรู้สึกเวลาเราออกเสียง มีลักษณะเสียงที่ชัดเจน มั่นคง แต่มีความสดใส เบิกบานแฝงอยู่ จึงถือว่าเป็นสเกลพื้นฐานของดนตรี ต่อมาเรามารู้จักโครงสร้างของสเกลเมเจอร์กันเลยนะครับ ผมจะใช้ C เมเจอร์สเกลในการอธิบายนะครับ โดยการไล่เป็น Diatonic scale คือเริ่มที่ C และจบที่ C ในอีก octave หนึ่งการไล่เสียงของ C ลองมาดูโครงสร้างของ C เมเจอร์สเกลดู 3.2. จังหวะ (Rhythm) คือ การเรียบเรียงหน่วยเสียงจากหมวดเสียงและบันไดเสียงให้ต่อเนื่อง มีอัตราความสั้น - ยาวของเสียงแตกต่างกัน แต่ต้องอยู่ในกรอบจำนวนจังหวะเคาะหลัก หรืออัตราจังหวะที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ นักประพันธ์เพลงสามารถออกแบบจังหวะได้อย่างหลากหลาย 3.3. ทิศทางเดิน (Direction) ทิศทางเดินหมายถึง การเคลื่อนที่ของทำนอง กล่าวคือทำนองอาจจะเคลื่อนที่ไปในหลายทิศทาง เช่น เคลื่อนที่ขึ้น เคลื่อนที่ลง หรืออยู่กับที่ โดยปกติทำนองมักจะเคลื่อนที่ขึ้นจุดสูงสุดเมื่อเนื้อหาของเพลงดำเนินไปถึงจุดสำคัญที่สุด ปกติการเคลื่อนที่ของทำนองอาจจะเป็นในลักษณะกระโดด (Disjunct Progression) หรือเรียงกันไป (Conjunct Progression) บทเพลงนั้นจะน่าสนใจ น่าฟัง หรือชวนฉงนสงสัย ขึ้นอยู่กับผลรวมของคุณสมบัติต่างๆของทำนอง ทำนองจัดเป็นลักษณะพื้นฐานของดนตรีหรือบทเพลง โดยทั่วไปทำนองที่เป็นหลักในบทเพลงหนึ่งจะเรียกว่าทำนองหลัก (Main Theme) ในแต่ละบทเพลงอาจจะมีทำนองหลักได้มากกว่า 1 ทำนอง 3.4.
ลักษณะการเคลื่อนที่ของระดับเสียงที่อยู่ในทำนอง (Progression) คือระดับเสียงจากอนุกรมเสียงในบันไดเสียง และ โหมด ต่างๆ ที่บรรจุลงและเรียงกันอยู่ในวรรคตอนของบทเพลง โดยจำแนกลักษณะการเคลื่อนที่ออกเป็นคู่ๆ จากโน้ตตัวที่หนึ่ง ไปยังโน้ตอีกตัวที่อยู่ถัดไป เรียงไปจนจบวรรคตอน สามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 3.5 มิติ (Dimension) คือ ความแคบ - กว้าง เรียกว่า "พิสัย" ของทำนอง บทเพลงยิ่งมีช่วงเสียง หรือความแคบ - กว้างเท่าใด ยิ่งทำให้นักร้อง นักดนตรีขับร้อง หรือบรรเลงเพลงนั้นๆ ยากขึ้นตามไปด้วย 3.6 รูปร่างทรวดทรง (Contour) คือ รูปร่างทรวดทรงของทำนอง สังเกตได้จากการลากเส้นจากหัวตัวโน้ตตัวเริ่มต้นทำนองในบรรทัด 5 เส้น ผ่านไผยังหัวตัวโน้ตตัวอื่นๆที่บันทึกเรียงลำดับไปจนถึงหัวตัวโน้ตสุดท้ายที่จบวรรคตอน เส้นที่เกิดขึ้น คือ รูปร่างทรวดทรงของทำนองนั่นเอง 3.7 ระดับช่วงเสียง (Register) คือ
อนุกรมระดับเสียงในทำนองทั้งชุดที่ผู้ประพันธ์เพลงเลือกใช้ให้เหมาะสมกับช่วงเสียงของผู้ขับร้อง หรือเสียงของเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลง และเนื้อหาสาระที่อยู่ในทำนอง เช่น 4. การประสานเสียง 5. เนื้อดนตรี 5.2 เนื้อดนตรีแบบร่วมคอร์ด (Homophonic) คือ เนื้อดนตรีที่เกิดจากการบรรเลง 2 แนว โดยแนวหนึ่งจะเป็นทำนองหลัก และอีกแนวเป็นกลุ่มเสียงคอร์ดที่นำมาบรรเลงสนับสนุนในแนวตั้ง 5.3 เนื้อดนตรีแบบหลายแนว (Polyphonic) คือ เนื้อดนตรีที่เกิดจากการนำทำนองสอดประสานมาบรรเลงพร้อมกัน แต่ละทำนองต่างก็มีแนวทางเดินของตน ทั้งนี้ ทุกทำนองสามารถสอดรับกันได้อย่างเหมาะสม โดยมีเสียงประสานแนวตั้งเป็นเสียงเชื่อมโยง 5.4 เนื้อดนตรีแบบมีจุดรวม หรือลูกตกเดียวกัน (Heterophonic) คือ เนื้อดนตรีที่มีทำนองมากกว่า 2 ทำนองขึ้นไป แนวทำนองต่างๆ จะเกิดการแปรทำนองจากทำนองหลักเดียวกันความสัมพันธ์ของแต่ละแนวทำนองที่เกิดจากการแปรทำนองหลักอยู่ที่จุดร่วมของเสียงจะมีการกำหนดจุดนัดพบของแนวทำนองต่างๆ ให้มาตกที่จังหวะเดียวกันและเป็นเสียงเดียวกัน 6. บันไดเสียง
เทคนิคที่ใช้ในการสร้างสรรค์งานดนตรี ตัวอย่างเพลงคลาสสิก
|