����Ԫ������� �����Ԫ� �31102 �ӹǹ 10 ��� �� �ç���¹�աѹ(�Ѳ�ҹѹ���ػ�����) ����� ��س����͡�ӵͺ���١��ͧ����ش ��ͷ�� 1) ��õդ��� �դ������µç�Ѻ�����ҡ����ش �����ҹ��ͤ��� ��÷Ӥ������� ��ú͡�������·��ὧ���� ����ʴ������Դ��繢ͧ�ؤ�� ��ͷ�� 2) "�����ҹ������Ժ�������������դ��������´�����ҡ��鹨ҡ���ͤ������" ���¶֧�����ҹ㹢��� �����ҹ�դ��� �����ҹ�Ť��� �����ҹ���¤��� �����ҹ��ػ���� ��ͷ�� 3) �����������ѡ㹡����ҹ�դ��� �Ѻ������Ӥѭ�ͧ����ͧ�����ҹ����� �Ӥ������㨡Ѻ���¤Ӻҧ�ӷ�������Ҥӹ���դ����Ӥѭ �Դ���˵ؼ����ҧ�ͺ�ͺ�����һ�������ҡѺ�����Դ�ͧ�� �Ծҡ���Ԩ�ó��ʴ������Դ��繵������ͧ�����ҹ�����������֡��Ф����Դ�ͧ�� ��ͷ�� 4) ����ͧ���¹���դ�������ѹ��Ѻ�����ҡ����ش ���ѧ���������¡ ��Ե�ѳ��������þ�� ����ѹ��Ҿ�ѧ���繾�ɵ����ҧ��� ��Ե�ѳ��������ö�ӡ�Ѻ�������� ��ͷ�� 5) �����¹�ٻ�Ҿ᷹���Ҿٴ �������ͤ���������١��ͧ��ЪѴਹ���·���ش ���˭ԧ - �������� �����͡ - �ػ��ä ����Һᴧ - �����ѡ �մ� - ������������ ��ͷ�� 6) �����ʴ���������֡�ͧ����оѹ���蹪Ѵ����ش ���´�ѧ ��Ъ� ��蹪� ¡��ͧ ��ͷ�� 7) �������������Դ��ѡ�ͧ��ͤ�����ҧ�� ����ͨ���ҹ��йض��������稧ҹ���Ƿʹ��� ����ͨ���ҹ��йض����Դ�ٺ٪���ͧҹ���稡�Ѻ����� ����ͨ���ҹ��йض������͡���� �������稸��С�����ҧ��� ����ͨ���ҹ��йض������㨷ء���ҧ������稧ҹ��������������� ��ͷ�� 8) �ҡ�ӻ�оѹ���ҧ�� ��Ңͧ���������������� ������� ������ ����������ҡ ����շ�Ѿ���ҡ ��ͷ�� 9) "Ⱦ���������ŧ �١�����������ͧ� ���չ�ӵ�� ��Ǽ�� ��繫���ç�繫��� ����������ŧ�ҷӹͧ��ҧ��� ���繤�ҧ��ǵ���˭����ش ���ͨѺ�١��ǡ���繪״�˹���� ������ ��ҡ�����˹����� ����ժ��Ե ���ҧ��������ҧ�й�鹡�дԡ��" ��ͤ������¡�ҹ��Ѵ���������ê�Դ� ����������� Ժ������� �ȹ������ ��ó������� ��ͷ�� 10) ��÷�����÷յ�ͧ���·�Ѿ���ҡ������������������ҡѺ�Թ�ͧ����ͧ����� �ç�Ѻ��ҹǹ� �է����ҡԹ ��ҹ�Ӿ�ԡ���������� ����ʹ�Ҫ�ҧ ��ҧ�ʹ����� ���¹��������ҡ �����ҡ���¹ҹ ประเภทของการอ่าน การอ่านแบ่งออกเป็น ๒ ประเภทคือ การอ่านในใจและการอ่านออกเสียง ๒.การอ่านในใจ การอ่านในใจ คือการแปลความหมายของตัวอักษรออกมาเป็นความคิด ความเข้าใจ และนำความคิดความเข้าใจที่ได้นั้นไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ประเภทของการอ่านดังต่อไปนี้คือ ๑. การอ่านจับใจความ การอ่านจับใจความ เป็นการอ่านหนังสืออย่างละเอียดเพื่อเก็บแนวคิดหรือสรุปสาระสำคัญของเรื่อง ที่อ่าน หลักสำคัญของการอ่านจับใจความคือการแยกใจความ (ข้อความสำคัญที่สุด) ออกจาก พลความ (ข้อความประกอบ) วิธีการอ่าน ๑) สังเกตส่วนประกอบของงานเขียน เช่น ชื่อเรื่อง คำนำวัตถุประสงค์ ของผู้เขียนว่าเป็นงานเกี่ยวกับอะไร และเขียนเพื่ออะไร ๒) วิเคราะห์จุดมุ่งหมายงานเขียนว่าเขียนด้วยวัตถุประสงค์ใด ๓) จัดลำดับเนื้อหาใหม่ตามความสำคัญ ๔) ใช้การตั้งคำถามกว้าง ๆ ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร และทำไม เพื่อหาความสัมพันธ์ในการดำเนินเรื่อง ๒. การอ่านตีความ คือ การอ่านที่ผู้อ่านจะต้องใช้สติปัญญาตีความหมายของคำและข้อความทั้งหมด โดยพิจารณาถึงความหมายโดยนัย หรือความหมายแฝงที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อความหมาย ซึ่งทั้งนี้ผู้อ่านจะสามารถตีความหมายของคำสำนวนได้ถูกต้องหรือไม่นั้นจำเป็นต้องอาศัยเนื้อความแวดล้อมของข้อความนั้นๆบางครั้งต้องอาศัยความรู้หรือประสบการณ์ปัจจุบันเป็นเครื่องช่วยตัดสินการอ่านตีความมีหลักเกณฑ์ในการอ่านดังนี้ การอ่านตีความอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้อ่านต้องพิจารณาความหมายโดยอาศัยบริบท น้ำเสียงของผู้เขียน เจตคติ ภูมิหลังของเหตุการณ์ประกอบด้วย ข้อปฏิบัติในการอ่านตีความ - อ่านเรื่องให้ละเอียดโดยพยายามจับประเด็นสำคัญของเรื่องให้ได - หาเหตุผลอย่างรอบคอบเพื่อพิจารณาว่ามีความหมายถึงสิ่งใด - ทำความเข้าใจกับถ้อยคำที่ได้จากการตีความ - เรียบเรียงถ้อยคำให้มีความหมายชัดเจนและมีเหตุมีผลเป็นหลักสำคัญ ๓. การอ่านอย่างมีวิจารณญาณ การอ่านชนิดนี้เป็นการอ่านที่ค่อนข้างยาก เพราะต้องใช้การหาเหตุผลมาใช้ในการวิจารณ์ ข้อควรปฏิบัติในการอ่านอย่างใช้วิจารณญาณ ๑. พิจารณาความหมายของข้อความที่อ่าน ๒. พิจารณาความต่อเนื่องของประโยคว่ามีเหตุผลสอดรับกันหรือไม่ ๓. พิจารณาความต่อเนื่องของใจความหลักและใจความรอง ๔. แยกแยะข้อเท็จจริงออกจากความคิดเห็นและความรู้สึก ๕. พิจารณาว่ามีความรู้เนื้อหา หรือมีความคิดแปลกใหม่น่าสนใจหรือไม่ ๔. การอ่านวิเคราะห์ การอ่านชนิดนี้เป็นการอ่านเพื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เป็นการแยกแยะทำความเข้าใจองค์ประกอบหรือโครงสร้างของหนังสือแต่ละประเภท ข้อควรปฏิบัติในการอ่านวิเคราะห์ ๑. ศึกษารูปแบบของงานประพันธ์ว่าเป็นรูปแบบใด ๒. แยกเนื้อเรื่องออกเป็นส่วน ๆ ให้เห็นว่าใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไร ๓. แยกพิจารณาแต่ละส่วนให้ละเอียดลงไปว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง ๔. พิจารณากลวิธีในการนำเสนอ ๕.การอ่านเพื่อประเมินคุณค่า การประเมินค่าเป็นการตัดสินความถูกต้องเที่ยงตรงและคุณค่าของเรื่องที่อ่าน ว่าถูกต้องชัดเจนหรือไม่ เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด มีคุณค่าหรือไม่ อย่างไร โดยพิจารณาเนื้อหา วิธีการนำเสนอ และการใช้ภาษา วิธีการอ่านประเมินคุณค่า ๑.พิจารณาความถูกต้องของภาษาจากเรื่องที่อ่าน การอ่านออกเสียง การอ่านออกเสียง หมายถึงการอ่านข้อความโดยการเปล่งเสียงออกมาเพื่อให้ผู้อื่นได้รับรู้ข้อความนั้นๆ ด้วยการอ่านออกเสียงแบ่งเป็น ๒ ลักษณะคือ ๑.การอ่านออกเสียงปกติ เป็นการอ่านออกเสียงตามปกติทั่วไป อ่านได้ทั้งบทร้อยแก้วและร้อยกรอง เช่น อ่านข่าว อ่านประกาศ อ่านตีบท อ่านสารคดี อ่านข้อความประกอบภาพนิ่ง หรืออ่านบทภาพยนตร์ วิธีการอ่านออกเสียงปกติ ๑.ทำความเข้าใจกับเรื่องที่จะอ่านก่อนการอ่านจริง ๒.ออกเสียงชัดเจน ดังพอประมาณ มีลีลาจังหวะในการอ่านอย่างเหมาะสม ๓.แบ่งวรรคตอนได้ถูกต้อง ๔.อ่านออกเสียงถูกต้องตามอักขรวิธี ๒.การอ่านทำนองเสนาะ การอ่านทำนองเสนาะเป็นการอ่านออกเสียงบทร้อยกรองหรือวรรณคดีไทยให้ไพเราะน่าฟัง มุ่งให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้ง เกิดอารมณ์ จินตนาการ คล้อยตามบทร้อยกรองนั้นๆ ด้วย วิธีการอ่านทำนองเสนาะ ๑.ต้องรู้จักลักษณะคำประพันธ์ที่จะอ่านก่อนว่าบังคับฉันทลักษณ์อย่างไร ๒.อ่านให้ถูกทำนอง ๓.ควรมีน้ำเสียงและลีลาในการอ่านที่ดี ๔.ออกเสียงแต่ละคำถูกต้องชัดเจน การอ่านคือข้อใดการอ่าน คือ กระบวนการที่ผู้อ่านรับรู้สารซึ่งเป็นความรู้ ความคิด ความรู้สึก และ ความคิดเห็นที่ผู้เขียนถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร การที่ผู้อ่านจะเข้าใจสารได้มากน้อยเพียงไร ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความสามารถในการใช้ความคิด (มณีรัตน์ สุกโชติรัตน์, 2547, หน้า 18)
ข้อใดคือสารให้ความรู้1.การฟังสารประเภทให้ความรู้ สารประเภทให้ความรู้ ได้แก่ ข้อความหรือเรื่องราวที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้ทั่วไปในการดำเนินชีวิตประจำวัน ข้อความหรือเรื่องราวเกี่ยวกับข่าวสารเหตุการณ์ความเป็นไปสังคมตั้งแต่สังคมขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีทั้งสารข้อเท็จจริง สารข้อคิดเห็นและสารแสดงอารมณ์ความรู้สึก นอกจากนี้ยังรวม ...
ข้อใดสำคัญที่สุดสำหรับการอ่านในใจการอ่านในใจ. ตั้งสมาธิให้แน่วแน่. กะระยะช่วงสายตาแต่ละคราวให้กว้างที่สุด จะทำให้อ่านได้รวดเร็ว ไม่ควรมองเป็น ... . จับใจความสำคัญและใจความประกอบให้ได้ อาจตั้งคำถามถามตนเองว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร แล้วตอบคำถามเหล่านั้นก็จะสามารถจับใจความสำคัญได้. ไม่ทำปากขมุบขมิบหรือออกเสียงในเวลาอ่าน. ข้อใดคือความหมายของการพูดการพูดเป็นพฤติกรรมทางภาษาที่ควบคู่ไปกับการฟังเพื่อการสื่อความหมายระหว่างมนุษย์ เป็นการเปล่งเสียงออกมาเป็นภาษาเพื่อถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก หรือความต้องการของผู้พูดไปยังผู้ฟัง โดยใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง และอากัปกิริยา จนเป็นที่เข้าใจกันได้
|