สารานุกรมการบริหารและการจัดการหลักการบริหาร 14 ประการของ Fayol
สารานุกรมการบริหารและการจัดการ
หลักการบริหาร 14 ประการของ Fayol
เมื่อเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม การผลิตสินค้าได้เปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรแทนแรงคน และเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า จากครัวเรือนมาเป็นโรงงาน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยังไม่มีการศึกษาและพัฒนาความรู้เรื่องการบริหาร แทบไม่มีเครื่องมือ, model, หรือวิธีการบริหารอะไรให้ผู้บริหารได้ใช้เลย แม้ว่าเมื่อสิ้นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม จะมีการสร้างหลักการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เช่น หลักการบริหารของ Taylor ก็เป็นเพียงการหาวิธีการผลิตเพื่อให้ได้สินค้าครั้งละมากๆ แต่ขาดหลักที่จะนำไปใช้ในการบริหารจัดการองค์กร Henry Fayol (1841-1925) นับเป็นคนแรกที่ได้วางรากฐานการบริหารตามหลักการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้การสังเกตและการวิเคราะห์ประสบการณ์การทำงานของผู้บริหารอยู่นานหลายปี และนำข้อมูลที่ได้มาสังเคราะห์เป็น หลักการบริหาร 14 ประการ เพื่อใช้เป็นแนวทางให้ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจและการบริหารจัดการ
ประวัติย่อของ Henri Fayol Henri Fayol เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดที่อิสตันบูลในปี ค.ศ. 1841 เมื่ออายุ 19 ปีได้ทำงานเป็นวิศวกรกับบริษัทเหมืองแร่ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศฝรั่งเศสชื่อ Compagnie de Commentry-Fourchambault-Decazeville ซึ่งขณะนั้นอยู่ในฐานะเกือบล้มละลาย เขาได้มีส่วนร่วมพัฒนาบริษัทจนกลายเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในธุรกิจภายในเวลาไม่กี่ปี Fayol ได้เจริญก้าวหน้าในการทำงานและได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการของบริษัทแห่งนั้นโดยมีพนักงานในการดูแลถึง 1,000 คนซึ่งนับเป็นองค์กรขนาดใหญ่มากในขณะนั้น เขาใช้เวลาหลายปีพัฒนาหลักที่คิดว่าสำคัญที่สุดในการบริหารขึ้นมา 14 ประการเพื่อให้ผู้บริหารทราบว่าควรบริหารคนและองค์กรอย่างไร ในปี 1916 ซึ่งเป็นช่วงสองปีก่อนที่จะก้าวลงจากตำแหน่งผู้อำนวยการ เขาได้นำหลักการบริหาร 14 ประการนี้ลงพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศสในหนังสือชื่อ “Administration Industrielle et Generale ; prévoyance, organisation, commandement, coordination, controle.” นอกจากนั้น เขายังได้เขียนหน้าที่ 5 ประการทางการบริหาร เพื่อใช้ควบคู่กับหลักการบริหาร 14 ประการนี้ด้วย หลักการบริหาร 14 ประการของ Henri Fayol เป็นทฤษฎีการบริหารที่สร้างขึ้นมาในยุคแรกๆ ของการพัฒนาความรู้เรื่องการบริหารและพัฒนาองค์กร และยังคงเป็นทฤษฎีที่มีความครอบคลุมมากที่สุดทฤษฎีหนึ่ง Fayol ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีอิทธิพลทางความคิดในการบริหารงานสมัยใหม่ ทฤษฎีของ Fayol ได้รับการจัดอยู่ในกลุ่มสำนักทางความคิดที่เรียกว่า Administrative Management ในยุค Classical Management Theory
ประวัติย่อของ Henri Fayol
Henri Fayol เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดที่อิสตันบูลในปี ค.ศ. 1841 เมื่ออายุ 19 ปีได้ทำงานเป็นวิศวกรกับบริษัทเหมืองแร่ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศฝรั่งเศสชื่อ Compagnie de Commentry-Fourchambault-Decazeville ซึ่งขณะนั้นอยู่ในฐานะเกือบล้มละลาย เขาได้มีส่วนร่วมพัฒนาบริษัทจนกลายเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในธุรกิจภายในเวลาไม่กี่ปี Fayol ได้เจริญก้าวหน้าในการทำงานและได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการของบริษัทแห่งนั้นโดยมีพนักงานในการดูแลถึง 1,000 คนซึ่งนับเป็นองค์กรขนาดใหญ่มากในขณะนั้น เขาใช้เวลาหลายปีพัฒนาหลักที่คิดว่าสำคัญที่สุดในการบริหารขึ้นมา 14 ประการเพื่อให้ผู้บริหารทราบว่าควรบริหารคนและองค์กรอย่างไร ในปี 1916 ซึ่งเป็นช่วงสองปีก่อนที่จะก้าวลงจากตำแหน่งผู้อำนวยการ เขาได้นำหลักการบริหาร 14 ประการนี้ลงพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศสในหนังสือชื่อ “Administration Industrielle et Generale ; prévoyance, organisation, commandement, coordination, controle.” นอกจากนั้น เขายังได้เขียนหน้าที่ 5 ประการทางการบริหาร เพื่อใช้ควบคู่กับหลักการบริหาร 14 ประการนี้ด้วย
หลักการบริหาร 14 ประการของ Henri Fayol เป็นทฤษฎีการบริหารที่สร้างขึ้นมาในยุคแรกๆ ของการพัฒนาความรู้เรื่องการบริหารและพัฒนาองค์กร และยังคงเป็นทฤษฎีที่มีความครอบคลุมมากที่สุดทฤษฎีหนึ่ง Fayol ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีอิทธิพลทางความคิดในการบริหารงานสมัยใหม่ ทฤษฎีของ Fayol ได้รับการจัดอยู่ในกลุ่มสำนักทางความคิดที่เรียกว่า Administrative Management ในยุค Classical Management Theory
หลักการบริหาร 14 ประการ ของ Henri Fayol ประกอบด้วย
1) การแบ่งงานกันทำ (Division of Work) การแบ่งงานกันทำ คือ การแตกงานออกเป็นภารกิจย่อยที่แตกต่างกันซึ่งเมื่อทำสำเร็จทั้งหมดก็จะได้งานชิ้นนั้นขึ้นมา หลักบริหารข้อนี้เชื่อว่าสมาชิกแต่ละคนในทีมมีทักษะและความชำนาญ (specialty) ที่ต่างกัน ความชำนาญนี้เกิดขึ้นได้ด้วยการมอบหมายงานให้พนักงานทำ พนักงานแต่ละคนจะพัฒนาประสิทธิภาพและความเชี่ยวชาญในการทำภารกิจนั้นขึ้นมา ระดับและประเภทของความรู้จะเป็นตัวแยกความชำนาญเรื่องหนึ่งออกจากความชำนาญอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนทักษะในการนำความรู้ไปใช้จะเป็นตัวแยกระดับความชำนาญของแต่ละบุคคล Fayol เชื่อว่าการพัฒนาพนักงานให้มีความชำนาญในเรื่องต่างๆ จะช่วยให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพและมีผลผลิตสูง มีความแม่นยำและความรวดเร็วในการผลิตผลงาน หลักบริหารข้อนี้สามารถนำไปใช้ได้กับงานทั้งด้านเทคนิคและด้านบริหาร
1) การแบ่งงานกันทำ (Division of Work)
การแบ่งงานกันทำ คือ การแตกงานออกเป็นภารกิจย่อยที่แตกต่างกันซึ่งเมื่อทำสำเร็จทั้งหมดก็จะได้งานชิ้นนั้นขึ้นมา หลักบริหารข้อนี้เชื่อว่าสมาชิกแต่ละคนในทีมมีทักษะและความชำนาญ (specialty) ที่ต่างกัน ความชำนาญนี้เกิดขึ้นได้ด้วยการมอบหมายงานให้พนักงานทำ พนักงานแต่ละคนจะพัฒนาประสิทธิภาพและความเชี่ยวชาญในการทำภารกิจนั้นขึ้นมา ระดับและประเภทของความรู้จะเป็นตัวแยกความชำนาญเรื่องหนึ่งออกจากความชำนาญอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนทักษะในการนำความรู้ไปใช้จะเป็นตัวแยกระดับความชำนาญของแต่ละบุคคล Fayol เชื่อว่าการพัฒนาพนักงานให้มีความชำนาญในเรื่องต่างๆ จะช่วยให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพและมีผลผลิตสูง มีความแม่นยำและความรวดเร็วในการผลิตผลงาน หลักบริหารข้อนี้สามารถนำไปใช้ได้กับงานทั้งด้านเทคนิคและด้านบริหาร
หลักการบริหาร 14 ประการของ Fayol0หลักการบริหาร 14 ประการของ Fayol1หลักการบริหาร 14 ประการของ Fayol2หลักการบริหาร 14 ประการของ Fayol3
หลักการบริหาร 14 ประการของ Fayol4
หลักการบริหาร 14 ประการของ Fayol5หลักการบริหาร 14 ประการของ Fayol6
หลักการบริหาร 14 ประการของ Fayol7หลักการบริหาร 14 ประการของ Fayol8
หลักการบริหาร 14 ประการของ Fayol90
12
34
56
789 เมื่อเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม การผลิตสินค้าได้เปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรแทนแรงคน และเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า จากครัวเรือนมาเป็นโรงงาน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยังไม่มีการศึกษาและพัฒนาความรู้เรื่องการบริหาร แทบไม่มีเครื่องมือ, model, หรือวิธีการบริหารอะไรให้ผู้บริหารได้ใช้เลย แม้ว่าเมื่อสิ้นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม จะมีการสร้างหลักการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เช่น หลักการบริหารของ Taylor ก็เป็นเพียงการหาวิธีการผลิตเพื่อให้ได้สินค้าครั้งละมากๆ แต่ขาดหลักที่จะนำไปใช้ในการบริหารจัดการองค์กร Henry Fayol (1841-1925) นับเป็นคนแรกที่ได้วางรากฐานการบริหารตามหลักการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้การสังเกตและการวิเคราะห์ประสบการณ์การทำงานของผู้บริหารอยู่นานหลายปี และนำข้อมูลที่ได้มาสังเคราะห์เป็น หลักการบริหาร 14 ประการ เพื่อใช้เป็นแนวทางให้ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจและการบริหารจัดการ0
เมื่อเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม การผลิตสินค้าได้เปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรแทนแรงคน และเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า จากครัวเรือนมาเป็นโรงงาน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยังไม่มีการศึกษาและพัฒนาความรู้เรื่องการบริหาร แทบไม่มีเครื่องมือ, model, หรือวิธีการบริหารอะไรให้ผู้บริหารได้ใช้เลย แม้ว่าเมื่อสิ้นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม จะมีการสร้างหลักการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เช่น หลักการบริหารของ Taylor ก็เป็นเพียงการหาวิธีการผลิตเพื่อให้ได้สินค้าครั้งละมากๆ แต่ขาดหลักที่จะนำไปใช้ในการบริหารจัดการองค์กร Henry Fayol (1841-1925) นับเป็นคนแรกที่ได้วางรากฐานการบริหารตามหลักการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้การสังเกตและการวิเคราะห์ประสบการณ์การทำงานของผู้บริหารอยู่นานหลายปี และนำข้อมูลที่ได้มาสังเคราะห์เป็น หลักการบริหาร 14 ประการ เพื่อใช้เป็นแนวทางให้ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจและการบริหารจัดการ1 เมื่อเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม การผลิตสินค้าได้เปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรแทนแรงคน และเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า จากครัวเรือนมาเป็นโรงงาน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยังไม่มีการศึกษาและพัฒนาความรู้เรื่องการบริหาร แทบไม่มีเครื่องมือ, model, หรือวิธีการบริหารอะไรให้ผู้บริหารได้ใช้เลย แม้ว่าเมื่อสิ้นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม จะมีการสร้างหลักการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เช่น หลักการบริหารของ Taylor ก็เป็นเพียงการหาวิธีการผลิตเพื่อให้ได้สินค้าครั้งละมากๆ แต่ขาดหลักที่จะนำไปใช้ในการบริหารจัดการองค์กร Henry Fayol (1841-1925) นับเป็นคนแรกที่ได้วางรากฐานการบริหารตามหลักการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้การสังเกตและการวิเคราะห์ประสบการณ์การทำงานของผู้บริหารอยู่นานหลายปี และนำข้อมูลที่ได้มาสังเคราะห์เป็น หลักการบริหาร 14 ประการ เพื่อใช้เป็นแนวทางให้ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจและการบริหารจัดการ2 เมื่อเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม การผลิตสินค้าได้เปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรแทนแรงคน และเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า จากครัวเรือนมาเป็นโรงงาน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยังไม่มีการศึกษาและพัฒนาความรู้เรื่องการบริหาร แทบไม่มีเครื่องมือ, model, หรือวิธีการบริหารอะไรให้ผู้บริหารได้ใช้เลย แม้ว่าเมื่อสิ้นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม จะมีการสร้างหลักการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เช่น หลักการบริหารของ Taylor ก็เป็นเพียงการหาวิธีการผลิตเพื่อให้ได้สินค้าครั้งละมากๆ แต่ขาดหลักที่จะนำไปใช้ในการบริหารจัดการองค์กร Henry Fayol (1841-1925) นับเป็นคนแรกที่ได้วางรากฐานการบริหารตามหลักการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้การสังเกตและการวิเคราะห์ประสบการณ์การทำงานของผู้บริหารอยู่นานหลายปี และนำข้อมูลที่ได้มาสังเคราะห์เป็น หลักการบริหาร 14 ประการ เพื่อใช้เป็นแนวทางให้ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจและการบริหารจัดการ3
เมื่อเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม การผลิตสินค้าได้เปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรแทนแรงคน และเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า จากครัวเรือนมาเป็นโรงงาน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยังไม่มีการศึกษาและพัฒนาความรู้เรื่องการบริหาร แทบไม่มีเครื่องมือ, model, หรือวิธีการบริหารอะไรให้ผู้บริหารได้ใช้เลย แม้ว่าเมื่อสิ้นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม จะมีการสร้างหลักการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เช่น หลักการบริหารของ Taylor ก็เป็นเพียงการหาวิธีการผลิตเพื่อให้ได้สินค้าครั้งละมากๆ แต่ขาดหลักที่จะนำไปใช้ในการบริหารจัดการองค์กร Henry Fayol (1841-1925) นับเป็นคนแรกที่ได้วางรากฐานการบริหารตามหลักการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้การสังเกตและการวิเคราะห์ประสบการณ์การทำงานของผู้บริหารอยู่นานหลายปี และนำข้อมูลที่ได้มาสังเคราะห์เป็น หลักการบริหาร 14 ประการ เพื่อใช้เป็นแนวทางให้ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจและการบริหารจัดการ4 เมื่อเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม การผลิตสินค้าได้เปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรแทนแรงคน และเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า จากครัวเรือนมาเป็นโรงงาน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยังไม่มีการศึกษาและพัฒนาความรู้เรื่องการบริหาร แทบไม่มีเครื่องมือ, model, หรือวิธีการบริหารอะไรให้ผู้บริหารได้ใช้เลย แม้ว่าเมื่อสิ้นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม จะมีการสร้างหลักการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เช่น หลักการบริหารของ Taylor ก็เป็นเพียงการหาวิธีการผลิตเพื่อให้ได้สินค้าครั้งละมากๆ แต่ขาดหลักที่จะนำไปใช้ในการบริหารจัดการองค์กร Henry Fayol (1841-1925) นับเป็นคนแรกที่ได้วางรากฐานการบริหารตามหลักการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้การสังเกตและการวิเคราะห์ประสบการณ์การทำงานของผู้บริหารอยู่นานหลายปี และนำข้อมูลที่ได้มาสังเคราะห์เป็น หลักการบริหาร 14 ประการ เพื่อใช้เป็นแนวทางให้ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจและการบริหารจัดการ5 เมื่อเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม การผลิตสินค้าได้เปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรแทนแรงคน และเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า จากครัวเรือนมาเป็นโรงงาน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยังไม่มีการศึกษาและพัฒนาความรู้เรื่องการบริหาร แทบไม่มีเครื่องมือ, model, หรือวิธีการบริหารอะไรให้ผู้บริหารได้ใช้เลย แม้ว่าเมื่อสิ้นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม จะมีการสร้างหลักการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เช่น หลักการบริหารของ Taylor ก็เป็นเพียงการหาวิธีการผลิตเพื่อให้ได้สินค้าครั้งละมากๆ แต่ขาดหลักที่จะนำไปใช้ในการบริหารจัดการองค์กร Henry Fayol (1841-1925) นับเป็นคนแรกที่ได้วางรากฐานการบริหารตามหลักการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้การสังเกตและการวิเคราะห์ประสบการณ์การทำงานของผู้บริหารอยู่นานหลายปี และนำข้อมูลที่ได้มาสังเคราะห์เป็น หลักการบริหาร 14 ประการ เพื่อใช้เป็นแนวทางให้ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจและการบริหารจัดการ6
เมื่อเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม การผลิตสินค้าได้เปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรแทนแรงคน และเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า จากครัวเรือนมาเป็นโรงงาน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยังไม่มีการศึกษาและพัฒนาความรู้เรื่องการบริหาร แทบไม่มีเครื่องมือ, model, หรือวิธีการบริหารอะไรให้ผู้บริหารได้ใช้เลย แม้ว่าเมื่อสิ้นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม จะมีการสร้างหลักการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เช่น หลักการบริหารของ Taylor ก็เป็นเพียงการหาวิธีการผลิตเพื่อให้ได้สินค้าครั้งละมากๆ แต่ขาดหลักที่จะนำไปใช้ในการบริหารจัดการองค์กร Henry Fayol (1841-1925) นับเป็นคนแรกที่ได้วางรากฐานการบริหารตามหลักการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้การสังเกตและการวิเคราะห์ประสบการณ์การทำงานของผู้บริหารอยู่นานหลายปี และนำข้อมูลที่ได้มาสังเคราะห์เป็น หลักการบริหาร 14 ประการ เพื่อใช้เป็นแนวทางให้ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจและการบริหารจัดการ7 เมื่อเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม การผลิตสินค้าได้เปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรแทนแรงคน และเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า จากครัวเรือนมาเป็นโรงงาน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยังไม่มีการศึกษาและพัฒนาความรู้เรื่องการบริหาร แทบไม่มีเครื่องมือ, model, หรือวิธีการบริหารอะไรให้ผู้บริหารได้ใช้เลย แม้ว่าเมื่อสิ้นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม จะมีการสร้างหลักการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เช่น หลักการบริหารของ Taylor ก็เป็นเพียงการหาวิธีการผลิตเพื่อให้ได้สินค้าครั้งละมากๆ แต่ขาดหลักที่จะนำไปใช้ในการบริหารจัดการองค์กร Henry Fayol (1841-1925) นับเป็นคนแรกที่ได้วางรากฐานการบริหารตามหลักการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้การสังเกตและการวิเคราะห์ประสบการณ์การทำงานของผู้บริหารอยู่นานหลายปี และนำข้อมูลที่ได้มาสังเคราะห์เป็น หลักการบริหาร 14 ประการ เพื่อใช้เป็นแนวทางให้ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจและการบริหารจัดการ8
เมื่อเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม การผลิตสินค้าได้เปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรแทนแรงคน และเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า จากครัวเรือนมาเป็นโรงงาน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยังไม่มีการศึกษาและพัฒนาความรู้เรื่องการบริหาร แทบไม่มีเครื่องมือ, model, หรือวิธีการบริหารอะไรให้ผู้บริหารได้ใช้เลย แม้ว่าเมื่อสิ้นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม จะมีการสร้างหลักการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เช่น หลักการบริหารของ Taylor ก็เป็นเพียงการหาวิธีการผลิตเพื่อให้ได้สินค้าครั้งละมากๆ แต่ขาดหลักที่จะนำไปใช้ในการบริหารจัดการองค์กร Henry Fayol (1841-1925) นับเป็นคนแรกที่ได้วางรากฐานการบริหารตามหลักการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้การสังเกตและการวิเคราะห์ประสบการณ์การทำงานของผู้บริหารอยู่นานหลายปี และนำข้อมูลที่ได้มาสังเคราะห์เป็น หลักการบริหาร 14 ประการ เพื่อใช้เป็นแนวทางให้ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจและการบริหารจัดการ9ประวัติย่อของ Henri Fayol0
ประวัติย่อของ Henri Fayol1ประวัติย่อของ Henri Fayol2
ประวัติย่อของ Henri Fayol3ประวัติย่อของ Henri Fayol4ประวัติย่อของ Henri Fayol5
ประวัติย่อของ Henri Fayol6ประวัติย่อของ Henri Fayol7ประวัติย่อของ Henri Fayol8ประวัติย่อของ Henri Fayol9 Henri Fayol เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดที่อิสตันบูลในปี ค.ศ. 1841 เมื่ออายุ 19 ปีได้ทำงานเป็นวิศวกรกับบริษัทเหมืองแร่ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศฝรั่งเศสชื่อ Compagnie de Commentry-Fourchambault-Decazeville ซึ่งขณะนั้นอยู่ในฐานะเกือบล้มละลาย เขาได้มีส่วนร่วมพัฒนาบริษัทจนกลายเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในธุรกิจภายในเวลาไม่กี่ปี Fayol ได้เจริญก้าวหน้าในการทำงานและได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการของบริษัทแห่งนั้นโดยมีพนักงานในการดูแลถึง 1,000 คนซึ่งนับเป็นองค์กรขนาดใหญ่มากในขณะนั้น เขาใช้เวลาหลายปีพัฒนาหลักที่คิดว่าสำคัญที่สุดในการบริหารขึ้นมา 14 ประการเพื่อให้ผู้บริหารทราบว่าควรบริหารคนและองค์กรอย่างไร ในปี 1916 ซึ่งเป็นช่วงสองปีก่อนที่จะก้าวลงจากตำแหน่งผู้อำนวยการ เขาได้นำหลักการบริหาร 14 ประการนี้ลงพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศสในหนังสือชื่อ “Administration Industrielle et Generale ; prévoyance, organisation, commandement, coordination, controle.” นอกจากนั้น เขายังได้เขียนหน้าที่ 5 ประการทางการบริหาร เพื่อใช้ควบคู่กับหลักการบริหาร 14 ประการนี้ด้วย0 Henri Fayol เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดที่อิสตันบูลในปี ค.ศ. 1841 เมื่ออายุ 19 ปีได้ทำงานเป็นวิศวกรกับบริษัทเหมืองแร่ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศฝรั่งเศสชื่อ Compagnie de Commentry-Fourchambault-Decazeville ซึ่งขณะนั้นอยู่ในฐานะเกือบล้มละลาย เขาได้มีส่วนร่วมพัฒนาบริษัทจนกลายเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในธุรกิจภายในเวลาไม่กี่ปี Fayol ได้เจริญก้าวหน้าในการทำงานและได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการของบริษัทแห่งนั้นโดยมีพนักงานในการดูแลถึง 1,000 คนซึ่งนับเป็นองค์กรขนาดใหญ่มากในขณะนั้น เขาใช้เวลาหลายปีพัฒนาหลักที่คิดว่าสำคัญที่สุดในการบริหารขึ้นมา 14 ประการเพื่อให้ผู้บริหารทราบว่าควรบริหารคนและองค์กรอย่างไร ในปี 1916 ซึ่งเป็นช่วงสองปีก่อนที่จะก้าวลงจากตำแหน่งผู้อำนวยการ เขาได้นำหลักการบริหาร 14 ประการนี้ลงพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศสในหนังสือชื่อ “Administration Industrielle et Generale ; prévoyance, organisation, commandement, coordination, controle.” นอกจากนั้น เขายังได้เขียนหน้าที่ 5 ประการทางการบริหาร เพื่อใช้ควบคู่กับหลักการบริหาร 14 ประการนี้ด้วย1 Henri Fayol เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดที่อิสตันบูลในปี ค.ศ. 1841 เมื่ออายุ 19 ปีได้ทำงานเป็นวิศวกรกับบริษัทเหมืองแร่ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศฝรั่งเศสชื่อ Compagnie de Commentry-Fourchambault-Decazeville ซึ่งขณะนั้นอยู่ในฐานะเกือบล้มละลาย เขาได้มีส่วนร่วมพัฒนาบริษัทจนกลายเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในธุรกิจภายในเวลาไม่กี่ปี Fayol ได้เจริญก้าวหน้าในการทำงานและได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการของบริษัทแห่งนั้นโดยมีพนักงานในการดูแลถึง 1,000 คนซึ่งนับเป็นองค์กรขนาดใหญ่มากในขณะนั้น เขาใช้เวลาหลายปีพัฒนาหลักที่คิดว่าสำคัญที่สุดในการบริหารขึ้นมา 14 ประการเพื่อให้ผู้บริหารทราบว่าควรบริหารคนและองค์กรอย่างไร ในปี 1916 ซึ่งเป็นช่วงสองปีก่อนที่จะก้าวลงจากตำแหน่งผู้อำนวยการ เขาได้นำหลักการบริหาร 14 ประการนี้ลงพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศสในหนังสือชื่อ “Administration Industrielle et Generale ; prévoyance, organisation, commandement, coordination, controle.” นอกจากนั้น เขายังได้เขียนหน้าที่ 5 ประการทางการบริหาร เพื่อใช้ควบคู่กับหลักการบริหาร 14 ประการนี้ด้วย2 Henri Fayol เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดที่อิสตันบูลในปี ค.ศ. 1841 เมื่ออายุ 19 ปีได้ทำงานเป็นวิศวกรกับบริษัทเหมืองแร่ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศฝรั่งเศสชื่อ Compagnie de Commentry-Fourchambault-Decazeville ซึ่งขณะนั้นอยู่ในฐานะเกือบล้มละลาย เขาได้มีส่วนร่วมพัฒนาบริษัทจนกลายเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในธุรกิจภายในเวลาไม่กี่ปี Fayol ได้เจริญก้าวหน้าในการทำงานและได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการของบริษัทแห่งนั้นโดยมีพนักงานในการดูแลถึง 1,000 คนซึ่งนับเป็นองค์กรขนาดใหญ่มากในขณะนั้น เขาใช้เวลาหลายปีพัฒนาหลักที่คิดว่าสำคัญที่สุดในการบริหารขึ้นมา 14 ประการเพื่อให้ผู้บริหารทราบว่าควรบริหารคนและองค์กรอย่างไร ในปี 1916 ซึ่งเป็นช่วงสองปีก่อนที่จะก้าวลงจากตำแหน่งผู้อำนวยการ เขาได้นำหลักการบริหาร 14 ประการนี้ลงพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศสในหนังสือชื่อ “Administration Industrielle et Generale ; prévoyance, organisation, commandement, coordination, controle.” นอกจากนั้น เขายังได้เขียนหน้าที่ 5 ประการทางการบริหาร เพื่อใช้ควบคู่กับหลักการบริหาร 14 ประการนี้ด้วย3
———————————
Visits: 27833
Like Loading...