ระบบเศรษฐกิจ http://mosszyeuei.blogspot.com/ ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยม (Laissez-Faire or Capitalism) ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจที่ให้เสรีภาพแก่ภาคเอกชนใน การเลือกดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เอกชนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน สามารถเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต เศรษฐทรัพย์ต่างๆที่ตนหามาได้ มีเสรีภาพในการประกอบธุรกิจ รวมทั้งการเลือกอุปโภคบริโภคสินค้า และบริการต่างๆ แต่ทว่าเสรีภาพดังกล่าวจะต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย กล่าวคือ การดำเนินการใดๆจะต้องไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของบุคคลอื่น ใช้ระบบของการแข่งขันโดยมีราคาและระบบตลาดเป็นกลไกสำคัญในการจัดสรรทรัพยากร โดยรัฐบาลจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จะมีหน้าที่เพียงการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและการป้องกันประเทศ ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ (Communism) ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์เป็นระบบเศรษฐกิจที่มีลักษณะตรงกันข้ามกับระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยม ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์รัฐบาลเป็นเจ้าของทรัพยากรต่างๆ รวมทั้งปัจจัยการผลิตทุกชนิด เอกชนไม่มีกรรมสิทธิ์ ตลอดจนเสรีภาพที่จะเลือกใช้ ปัจจัยการผลิตได้ รัฐบาลเป็นผู้ประกอบการและทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรต่างๆ หน่วยธุรกิจและครัวเรือน จะผลิตและบริโภคตามคำสั่งของรัฐ กลไกราคาไม่มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจกระทำโดยรัฐบาล กล่าวคือ รัฐบาลจะเป็นผู้ทำหน้าที่ตัดสินใจว่า ทรัพยากรต่างๆที่มีอยู่ควรจะนำมาผลิตสินค้าและบริการอะไร ผลิตอย่างไร และผลิตเพื่อใคร การตัดสินใจ มักจะทำอยู่ในรูปของการวางแผนแบบบังคับจากส่วนกลาง (central planning) โดยคำนึงถึงสวัสดิการ ของสังคมส่วนรวมเป็นสำคัญ โดยสรุประบบเศรษฐกิจแบบนี้จะมีลักษณะเด่นอยู่ที่การรวมอำนาจทุกอย่าง ไว้ที่ส่วนกลาง รัฐบาลจะเป็นผู้วางแผนแต่เพียงผู้เดียว เอกชนมีหน้าที่เพียงแต่ทำตามคำสั่งของทางการ เท่านั้น ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ จุดเด่นของระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ก็คือ เป็นระบบเศรษฐกิจที่ช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางฐานะและรายได้ของบุคคลในสังคม ภายใต้ระบบเศรษฐกิจนี้เอกชนจะทำการผลิตและ บริโภคตามคำสั่งของรัฐ ผลผลิตที่ผลิตขึ้นมาจะถูกนำส่งเข้าส่วนกลาง และรัฐจะเป็นผู้จัดสรรหรือแบ่งปัน สินค้าและบริการดังกล่าวให้ประชาชนแต่ละคนอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่มีการได้เปรียบเสียเปรียบ ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม (Socialism) ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีลักษณะใกล้เคียงกับระบบเศรษฐกิจ แบบคอมมิวนิสต์ ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมรัฐจะเป็นผู้ครอบครองทรัพยากรการผลิตพื้นฐาน ไว้เกือบทั้งหมด และเป็นผู้วางแผนเศรษฐกิจ กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาพื้นฐาน กิจการหลักที่มี ความสำคัญต่อเศรษฐกิจส่วนรวมของประเทศ เช่น ธุรกิจธนาคาร อุตสาหกรรมเหมืองแร่ ป่าไม้ น้ำมัน กิจการสาธารณูปโภค และสาธารณูปการต่างๆ ฯลฯ รัฐจะเป็นผู้เข้ามาดำเนินการเอง อย่างไรก็ตาม รัฐยังให้เสรีภาพแก่ประชาชนบ้างพอสมควร เอกชนมีเสรีภาพและกรรมสิทธิ์ในการถือครองทรัพย์สิน เช่น สามารถทำธุรกิจค้าขายขนาดย่อมระหว่างท้องถิ่นใกล้เคียง สามารถถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินทำกิน เพื่อการยังชีพ โดยสรุป ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจที่อาศัยกลไกรัฐเป็นกลไกสำคัญในการจัดสรรทรัพยากรของระบบเศรษฐกิจ แต่ทว่ากลไกราคาพอจะมีบทบาทอยู่บ้างในระบบเศรษฐกิจนี้ ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีส่วนช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทาง ฐานะและรายได้ของบุคคลเช่นเดียวกับระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ นอกจากนั้น ภายใต้ระบบเศรษฐกิจนี้เอกชนมีเสรีภาพและมีกรรมสิทธิ์ในการถือครองทรัพย์สินบ้างพอสมควร ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม เนื่องจากปัจจัยการผลิตพื้นฐานอยู่ในการควบคุมของ รัฐบาลทำให้ขาดความคล่องตัว การผลิตถูกจำกัดเพราะต้องผลิตตามที่รัฐกำหนด โอกาสที่จะขยายการผลิตหรือพัฒนาคุณภาพการผลิตเป็นไปค่อนข้างลำบาก ทำให้การใช้ทรัพยากรทางเศรษฐกิจอาจเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ในลักษณะเดียวกับระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ ระบบเศรษฐกิจแบบผสม (Mixed Economy) ระบบเศรษฐกิจแบบผสมเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม กับระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม กล่าวคือ ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบผสมทั้งรัฐบาลและเอกชนต่างมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ปัจจัยการผลิตมีทั้งส่วนที่เป็นของรัฐบาลและเอกชน ในส่วนที่เป็นแบบทุนนิยม คือ เอกชนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินบางอย่าง มีเสรีภาพในการเลือกผลิตหรือบริโภค ใช้ระบบของการแข่งขัน กลไกราคาเข้ามาทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากร ส่วนที่เป็นแบบสังคมนิยม คือ รัฐบาลเข้ามาควบคุมหรือเข้ามาดำเนินกิจการที่มีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เช่น กิจการสาธารณูปโภค อุตสาหกรรมหลัก และอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ต้องมีการลงทุนมากเพราะหาเอกชนลงทุนได้ยาก เนื่องจากเป็นกิจการที่ต้อง เสี่ยงกับการขาดทุนหรือไม่คุ้มกับการลงทุน แต่กิจการเหล่านี้จำเป็นต้องมีเพราะเป็นปัจจัยพื้นฐานต่อการดำรงชีพ เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา การขนส่ง และคมนาคม เหตุที่รัฐบาลเข้ามาดำเนินการในกิจการดังกล่าวก็เพื่อขจัดปัญหาในเรื่องการผูกขาดหรือเอารัดเอาเปรียบ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นถ้าปล่อยให้เอกชนทำการแข่งขัน โดยสรุปแล้วระบบเศรษฐกิจแบบผสมจึงเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีการใช้ทั้งระบบกลไกราคา หรือระบบตลาดควบคู่ไปกับระบบกลไกรัฐในการจัดสรรทรัพยากร ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบผสม เป็นระบบเศรษฐกิจที่ค่อนข้างมีความคล่องตัว กล่าวคือ มีการใช้กลไกรัฐร่วมกับกลไกราคาในการจัดสรรทรัพยากรของระบบ กิจการใดที่กลไกราคาสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐก็จะปล่อยให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ (ใช้ระบบของการแข่งขัน) แต่ถ้ากิจการใดที่กลไกราคาไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพรัฐก็จะเข้ามาดำเนินการแทน จะเห็นได้ว่าระบบเศรษฐกิจแบบผสมเป็นระบบเศรษฐกิจที่ผสมผสาน กล่าวคือ รวมข้อดีของทั้งระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและสังคมนิยมเข้าไว้ด้วยกัน อย่างไรก็ตาม ระบบเศรษฐกิจดังกล่าวก็มีข้อเสียด้วยเช่นกัน ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบผสม ความหมายและความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจภายในของประเทศไทยเป็นแบบผสม หมายถึง ระบบเศรษฐกิจที่รัฐเข้ามามีส่วนในการดำเนินกิจกรรม ทางเศรษฐกิจของประเทศหลายประการ แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่จะเป็นของเอกชน ซึ่งเป็นระบบที่ประเทศ ต่าง ๆ ทั่วโลกนิยมใช้ในปัจจุบัน อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงประมาณ 7-8% ซึ่งถ้ามองในทางเศรษฐศาสตร์แล้ว ตัวเลขดังกล่าวมีผลในการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในภาคเอกชนเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เป็นผลเนื่องมาจากการที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศอย่างจริงจัง ทั้งในด้านการพัฒนาการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า และการพัฒนาการผลิตเพื่อส่งออกระบบเศรษฐกิจของไทยจำเป็นต้องพึ่งพาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ มีการแข่งขันกันผลิต มีการขาย และมี การจัดการตามระบบการค้าเสรี ปัจจุบันรายได้สูงสุดของประเทศมาจากสินค้าทางการเกษตรถึงร้อยละ 60 ของรายได้ จากการส่งออกทั้งหมด และจากการจ้างแรงงานในสาขาเกษตรถึงร้อยละ 70 ของแรงงานทั่วประเทศ รัฐบาลจึงให้ความ สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจทางด้านการเกษตรเป็นพิเศษ และด้านอุตสาหกรรม การคมนาคมขนส่ง การพาณิชย์และ การท่องเที่ยว เป็นอันดับที่ลดหลั่นลงมา ระดับการพัฒนาและปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ (1) เทคโนโลยี เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ รวมทั้งการสร้างนวัตกรรมที่สำคัญที่มีผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ประเทศผู้ที่มาทีหลังในการปฏิวัติอุตสาหกรรม (เช่น สหรัฐฯ กับจีน) สามารถเรียนรู้ความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของประเทศที่เริ่มต้นกระบวนการพัฒนาอุตสาหกรรมมาก่อน รวมทั้งประเทศผู้มาทีหลังไม่จำเป็นต้องเสียทรัพยากรในการแสวงหาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เพราะสามารถนำเทคโนโลยีอันทันสมัยจากประเทศที่เริ่มต้นการพัฒนาอุตสาหกรรมมาใช้ได้ทันที โดยมีการปรับปรุงและคิดค้นเพิ่มเติมให้มีความทันสมัยมากขึ้น เมื่อเทียบกับในสมัยเริ่มต้นเมื่อกว่า 200 ปีมาแล้ว ในกรณีของสหรัฐฯ สามารถพัฒนาต่อยอด เครื่องปั่นด้ายเพื่อพัฒนาโรงงานทอผ้า โดยปรับปรุงให้เข้ากับสภาพที่สอดคล้องกับปัจจัยการผลิตของระบบเศรษฐกิจที่มีแรงงานขาดแคลน ซึ่งต้องเน้นเทคโนโลยีที่ประหยัดแรงงาน เพื่อช่วยทุ่นแรง ผลที่ตามมาก็คือ สหรัฐฯ สามารถปรับปรุงการผลิตเพื่อให้มีระบบการผลิตทีละมาก ๆ (mass production) สหรัฐฯ จึงเป็นผู้นำในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมมาโดยตลอด และสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมได้รวดเร็วกว่า(2) การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ การเคลื่อนย้ายเงินทุนจากประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและประเทศอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกาไปสู่ประเทศที่เกิดใหม่ เช่น จีน มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของจีนเป็นอันมาก การเคลื่อนย้ายแหล่งผลิตของบรรษัทข้ามชาติ แม้จะมีผลต่อการสะสมทุนของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐอเมริกา แต่ก็สร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแก่ประเทศผู้ได้รับลงทุนด้วยโครงสร้างการส่งออกและการผลิตของจีนได้แปรเปลี่ยนจากประเทศผู้เป็นผู้ส่งออกสินค้าขั้นปฐมมาเป็นประเทศผู้ส่งสินค้าอุตสาหกรรมรายใหญ่ของโลก การเติบโตของการส่งออกของจีน เป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดมากในระยะ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยการที่เป็นประเทศขนาดใหญ่มีประชากรมากกว่า 1 พันล้านคน และมีแรงงานเหลือเฟือในชนบท ต้นทุนการผลิตอยู่ในระดับต่ำ (3) ปัจจัยทางสังคมมีผลสำคัญต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมและนำไปสู่การเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ความรู้ของโลกตะวันตกมีพื้นฐานมาจากความคิดพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ เสรีภาพ การแข่งขัน การบริโภคนิยม และเน้นความเอาจริงเอาจังในการทำงานหรือมีความรับผิดชอบในจริยธรรมของการทำงาน ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น แม้ว่าในระยะหลังสหรัฐอเมริกาในฐานะที่เป็นผู้นำของโลกในคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีความถดถอยลงและแม้จีนรวมทั้งประเทศอื่น ๆ ในเอเซียและแปซิฟิกจะมีความสำคัญในเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นตามลำดับแต่ไม่ได้หมายความว่า ประเทศเหล่านี้จะเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจได้โดยง่าย เพราะองค์ประกอบของปัจจัยทางสังคมดังกล่าวข้างต้น จะเทียบเท่าได้กับโลกตะวันตก และคงต้องใช้ระยะเวลาอีกนานถึงจะเทียบเท่าหรือเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้ แม้จีน (รวมทั้งอินเดีย) (4) กติกาการค้าระหว่างประเทศ มีผลสำคัญต่อปัจจัยที่มีผลต่อดุลอำนาจทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง และผู้นำในของโลกเสรีสนับสนุนให้มีกติกาการค้า ระหว่างประเทศโดยเสรี สนับสนุนภาคเอกชนมีบทบาททางเศรษฐกิจและส่งเสริมสนับสนุนให้มีการลงทุนโดยบรรษัทข้ามชาติโดยสหรัฐอเมริกามีบทบาทสำคัญในการผลักดันองค์การระหว่างประเทศ อันประกอบไปด้วย ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ รวมทั้งข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้าระหว่างประเทศ (General Agreement on Tariff and Trade = GATT) |