วรรณคดีในสมัยอยุธยาตอนกลางมีเรื่องอะไรบ้าง

วรรณคดีไทยสมัยอยุธยา
วรรณคดีสมัยนี้สะท้อนภาพกรุงศรีอยุธยา ปรากฏให้เห็นความเจริญของบ้านเมืองในอดีต และความสุขสงบของชาวเมืองและความรุ่งเรืองของงานกวีจะมีไม่มากนัก วรรณคดีอยุธยามีปรากฏเพียงบางยุคสมัยคือ
๑. สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๑๙๑๒
๒. สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๐๓๑)
๓. สมัยพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ. ๒๑๕๓ – ๒๑๗๑
๔. สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.๒๑๙๙ – ๒๒๓๑)
๕. สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ. ๒๒๗๕ – ๒๓๐๑)
วรรณคดีไทยสมัยอยุธยาแบ่งออกเป็น ๓ ช่วงสมัยคือ
๑. สมัยอยุธยาตอนต้น ตั้งแต่สมัยพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ถึงสมัยพระรามาธิบดี
ที่ ๒ (พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๒๐๗๒)
๒. สมัยอยุธยาตอนกลาง ตั้งแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรมถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
(พ.ศ. ๒๑๖๓ – ๒๒๓๑)
๓. สมัยอยุธยาตอนปลาย ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศถึงสมัยพระเจ้าเอกทัศน์
(พ.ศ. ๒๒๗๕ – ๒๓๑๐)
วรรณคดีไทยสมัยอยุธยาตอนต้น
วรรณคดีที่ใช้เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติ
ลิลิตโองการแช่งน้า เป็นวรรณคดีเรื่องแรกในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ เนื่องจาก
เหตุการณ์บ้านเมืองไม่สงบเรียบร้อย จึงให้เสนาข้าราชการเข้าพิธีสาบานตนในพระราชพิธีศรีสัจจปานกาล
ซึ่งได้ทาติดต่อกันมานาน แต่เลิกพิธีนี้ไปเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแบบบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็น
ระบอบประชาธิปไตย พ.ศ. ๒๔๗๕ ผู้แต่งเป็นใครและแต่งสมัยใดไม่มีหลักฐานแน่ชัด
ลิลิตโองการแช่งน้าเป็นวรรณกรรมการเมืองที่ใช้ในการปกครองบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านเมืองที่เพิ่งสถาปนา เพื่อให้ข้าราชบริพารและข้าราชการเกิดความเกรงกลัว ไม่กล้าคิดทรยศต่อผู้ปกครองแผ่นดินในสมัยนั้น ในพิธีนี้พวกพราหมณ์และพวกพระ จะช่วยกันสาปแช่งน้าสาบานด้วยถ้อยคาและข้อความที่พิลึกพิลั่นน่ากลัว ใครไม่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าชีวิต จะต้องมีอันเป็นไปต่างๆ เวลาสาปแช่งน้าสาบานนั้น พราหมณ์จะต้องเอาพระแสงศร ซึ่งมีสามเล่มเท่ากับพระรามมี และมีชื่อเหมือนชื่อศรของพระราม แทงลงไปในหม้อน้าสาบาน เพื่อให้น้านั้นศักดิ์สิทธิ์ มีพิษบาดไส้บาดคอผู้ที่คิดทรยศต่อพระเจ้าแผ่นดิน
วรรณคดีที่ใช้เพื่อความบันเทิง
ลิลิตพระลอ เป็นยอดวรรณคดีประเภทลิลิต เข้าใจกันว่าเป็นเรื่องจริงที่เล่ากันเรื่อยมา ของท้องถิ่นไทยภาคเหนือ สถานที่ในเรื่องคือแถวๆ จังหวัดแพร่และลาปาง เมืองสรองสันนิษฐานว่าคงจะอยู่ที่
อาเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ส่วนเมืองสรวงน่าจะอยู่ที่อาเภอแจ้ห่ม จังหวัดลาปาง นิยายเรื่องจริงเรื่องนี้น่าจะเกิดในช่วง พ.ศ. ๑๖๑๖ – ๑๖๙๓ จะแต่งในสมัยพระบรมไตรโลกนาถสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ (พระเชษฐา) หรือในสมเด็จพระนารายณ์ก็ไม่ทราบแน่ชัด ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง แต่คงจะเป็นกวีชั้นนักปราชญ์ ส่วนทานองแต่ง แต่งเป็นลิลิตสุภาพ ซึ่งประกอบด้วยร่ายสุภาพ และโคลงสุภาพ
ลิลิตพระลอ เป็นวรรณกรรมการเมืองในรูปเพื่อความบันเทิงแห่งเจ้าขุนมูลนาย มีผู้คนแสดงความคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับผู้แต่งและระยะเวลาในแต่ง แต่ยังหาข้อยุติไม่ได้ ลักษณะการแต่งเป็นลิลิตสุภาพ ประกอบด้วย ร่ายสุภาพและโคลงสุขภาพเป็นส่วนใหญ่ บางร่ายเป็นร่ายโบราณและร่ายดั้น ความมุ่งหมายในการแต่ง แต่ถวายพระมหากษัตริย์ เพื่อให้เป็นที่สาราญพระราชหฤทัย เนื้อเรื่องเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก ความหลง ถึงกับยอมทาทุกอย่างเพื่อให้สมประสงค์ในด้านความรัก นอกจากนี้ยังแสดงถึงความรักอันลึกซึ้งของแม่ที่มีต่อลูก ถึงยอมสละทุกอย่าง เพื่อความสุขของลูก แสดงถึงความรักระหว่างเจ้ากับข้า ถึงกับยอมสละชีวิตเป็นราชพลีด้วยความเต็มใจ อย่างไรก็ตามแม้ลิลิตพระลอจะเป็นวรรณกรรมการเมืองเพื่อความบันเทิงแห่งเจ้าขุนมูลนาย คุณค่าของลิลิตพระลอก็มีอยู่มากมาย ดังเช่น
๑. การกล่าวเรื่องบาปบุญ ตอนพระลอตรัสแก่นางบุญเหลือ ดังโคลงที่ว่า
ตามแต่บาปบุญแล้ ก่อเกื้อรักษา
๒. การกล่าวถึงพระคุณของแม่ ดังโคลงที่ว่า
ร้อยชู้ฤาเท่าเนื้อ เมียตน
เมียแล่พันฤาดล แม่ได้
ทรงครรภ์รอดเป็นคน ฤาง่าย เลยนา
เลี้ยงยากนักท้าวไท้ ธิราชผู้มีคุณ
๓. การกล่าวถึงเรื่อง กรรม ซึ่งนางบุญเหลือกล่าวแก่พระลอ ดังโคลงที่ว่า
ถึงกรรมจักอยู่ได้ ฉันใด พระเอย
กรรมบ่มีใคร ฆ่าข้า
กุศลส่งสนองไป ถึงพี่ สุขนา
บาปส่งจาตกช้า ช่วยได้ฉันใด
๔. นายแก้วนายขวัญกราบทูลพระลอ ดังโคลงที่ว่า
พระเอยอาบน้าอุ่น เอาเย็น
ปลาผอกหมกเหม็นยาม อยากเคี้ยว
รุกรุยราดจาเป็น ปางเมื่อ แคลนนา
อดอยู่เดี่ยวคิ้วเคี้ยว อยู่ได้ฉันใด
วรรณคดีสโมสรได้ประกาศยยกย่องให้ลิลิตพระลอ เป็นยอดของกลอนลิลิตเป็นแบบอย่างในการเขียนสมัยต่อมาของวรรณคดีต่างๆเช่น เมื่อพระโหราธิบดีแต่ง “จินดามณี”ยังยกโคลงในลิลิตพระลอมาเป็นโคลงครู ว่า
เสียงฦาเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า
สองเขือพี่หลับใหล ลืมตืน ฤาพี่
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ
๕. บทชมโฉมพระเพื่อนพระแพง กล่าวไว้อย่างไพเราะ ดังโคลงที่ว่า
โฉมสองเหมือนหยาดฟ้า ลงดิน
งามเงื่อนอัปสรอินทร์ สู่หล้า
อย่าคิดอย่าควรถวิล ถึงยาก แลนา
ชมยะแย้มทั่วหน้า หน่อท้าวมีบุญ
ลิลิตพระลอจะกล่าวถึงเรื่องหลักจริยธรรมของพระมหากษัตริย์ ในการปกครองไพร่ฟ้าแผ่นดินชัดเจนมาก เริ่มตั้งแต่ก่อนที่จะออกจากเมืองสอง พระราชมารดา พระนามว่าบุญเหลือทรงสั่งสอนพระลอให้ตระหนักถึงจริยธรรม 7 ประการของพระมหากษัตริย์ เรียกว่า จารีต 7 ประการ คือ
1. อย่าลืมตัว ห้ามคบคนไม่ดี คิดอะไรให้รอบคอบก่อนค่อยทา เขาบอกว่าคิดทุกคา จึงออกปาก หมายความว่า จะพูดอะไรคิดเสียก่อน อย่าให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินลาบากใจ ว่าเรื่องการบ้านเมืองให้เที่ยงตรง หมายความว่า ไม่เห็นกับหน้าผู้ใด ยุติธรรม ปกครองประเทศให้ร่มเย็น ดับเข็ญนอกเข็ญใน คือ อะไรที่เป็นความลาบากทั้งภายในภายนอกให้ขจัดให้หมด
2. ส่งใจดูทุกกรม อย่าชมตามคาเท็จ คือให้สอดส่องการบริหารงานทั่งทุกหน่วยงาน อย่าเชื่อตามคาทูลเท็จของใคร ต้องให้เห็นกับตา อย่าทาให้ผิดทางธรรม ทาอะไรให้มันถูกต้อง
3. เวลาที่จะต้องใช้อานาจหรือพระเดชในการบัญชา ก็ต้องใช้ให้เหมาะสม จงทาให้มีเล่ห์เหลี่ยมที่เหมาะสม
4. ดูคนรับใช้ที่ให้มาทางานกับเราดีๆ สอดส่องดูให้เหมาะสม เลือกหาคนที่ซื่อสัตย์ พยายามปลุกใจคนให้ตื่นตัว ให้กล้าหาญกล้าต่อสู้กับศัตรูที่จะมากินเมือง ให้ตายไป ให้อานาจศักดิ์สิทธิ์แก่ราษฎร ตัดความชั่วอย่าให้มันลุกลาม
5. อย่าชิงสุกก่อนห่าม อย่าล่ามม้าสองฝั่ง จะทาอะไรก็อย่ารีบทาโดยไม่คิดเพราะก่อผลเสีย อย่าล่ามม้าสองปาก คืออย่ากดหัวพลเมืองให้โงหัวไม่ขึ้น อย่าใช้อานาจที่ไม่เป็นธรรมแก่ราษฎร อย่ารากผิดไว้ข้างหลัง คือ อะไรที่ผิดอย่าทิ้งไว้ข้างหลัง ให้จัดการให้เรียบร้อย แก้ไข อย่าทาตนให้คนเกลียด จงทาตนให้คนรัก
6. ชักชวนคนสู่ฟ้า คือนาคนให้ประพฤติแต่สิ่งที่ดีที่ชอบที่เหมาะที่ควร นาคนให้ไป ข้างหน้าให้มีความเจริญก้าวหน้า ให้เทวดาสรรเสริญเยินยอ คือนาประชาชนให้ทาดี ไปภพหน้าแม้แต่เทพเทวดาก็ยังต้องสรรเสริญเยินยอ ทาในส่งที่โลกยกย่อง
ลิลิตพระลอในด้านการปกครอง จะเห็นว่าการปกครองในสมัยนั้นต่างเมืองต่างเป็นอิสระ เป็นใหญ่ ไม่ขึ้นแก่กัน ลิลิตพระลอในด้านประวัติศาสตร์ ลิลิตพระลอได้ให้ความรู้ในทางประวัติศาสตร์ของไทยได้ ในแง่มุมต่าง ๆ โดยเฉพาะทาให้รู้เรื่องราวความเป็นมาของเมืองสรวงและเมืองสรองอันได้แก่ ลาปางและแพร่
ลิลิตพระลอในด้านวิถีชีวิต ได้มองเห็นถึงความเป็นอยู่ของคนไทยสมัยนั้นที่ยังเชื่อในเรื่อง
ไสยศาสตร์อยู่มากมีการนับถือผีสางนางไม้ แม้ในปัจจุบันก็ยังมีอยู่
วรรณคดีเพื่อยกย่องสดุดีพระมหากษัตริย์
วรรณคดีที่สดุดีวีรบุรุษส่วนใหญ่เป็นผลงานของกวีที่เป็นข้าราชบริพารในพระมหาราชวังหรือกวีศักดินา แต่งขึ้นเพื่อแสดงความชื่นชมในบุญบารมีของพระมหากษัตริย์ ยกย่องและสดุดีพระมหากษัตริย์เป็นประดุจเจ้าชีวิตหรือสมมุติเทพ แสดงความชื่นชมในความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง เป็นการประกาศถึงเกียรติคุณของพระมหากษัตริย์ให้แพร่หลายในหมู่ประชาชนทั่วไปในขณะเดียวกันก็มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองแอบแฝงอยู่ โดยส่วนรวมก็เพื่อปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมือง ตามแนวปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
“ลิลิตยวนพ่าย” ลักษณะการแต่งเป็นลิลิตดั้น ประกอบด้วยร่าย 2 บท เป็นร่ายดั้น 1 บท ร่ายสุภาพ 1 บท สลับโคลงสี่ดั้น บาทกุญชร 296 บท ความมุ่งหมายในการแต่งเพื่อยอพระเกียรติกษัตริย์และสดุดีชัยชนะที่มีต่อโยนก เนื้อเรื่องกล่าวสรรเสริญและยอพระเกียรติกษัตริย์พระบรมไตรโลกนารถ เล่าพระราชประวัติตั้งแต่ประสูติการศึกษาสงคราม พระราชกรณียกิจทางศาสนา เช่น การออกผนวช 1 พรรษา การนิมนต์พระสงฆ์จากลังกา การตีชนะเมืองเชียงใหม่ และยอพระเกียรติพระบรมไตรโลกนาถอีกครั้ง
วรรณคดีเรื่องลิลิตยวนพ่าย ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง แต่สันนิษฐานว่า ผู้แต่งต้องเป็นผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญทั้งในด้านภาษาและขนบธรรมเนียมราชการและคงเป็นกวีสาคัญในยุคนั้น ผู้แต่งได้อธิษฐานในโคลงที่ไพเราะเพราะพริ้งว่า
สารสยามภาคพร้อง กลกานท์ นี้ฤา
คือ คู่มาลาสรรค์ ช่อช้อย
เบญญาพิศาลแสดง เดอมเกียรติ พระฤา
คือ คู่ไหนแสร้งร้อย กึ่งกลาง
การกล่าวยอพระเกียรติกษัตริย์พระบรมไตรโลกนารถ ในโคลงที่ว่า
พระคุณพระคลองฟ้า ดินขาม
พระเกียรติพระไกรแผน ผ่านฟ้า
พระฤทธิ์พ่างพระราม รอนราพณ์ ไส้แฮ
พระก่อพระเกื้อหล้า หลากสรรค์
ลิลิตยวนพ่าย กล่าวได้ว่า เป็นวรรณคดียอพระเกียรติเรื่องแรกของไทยที่เพียบพร้อมไปด้วยความงามของฉันทลักษณ์ โคลงที่ไพเราะ ในด้านความรู้ ลิลิตยวนพ่าย เป็นวรรณคดีประยุกต์ที่ผู้แต่งมุ่งให้ความรู้แก่ผู้อ่านโดยตรง เช่น ความรู้ด้านธรรมะ ด้านการรบ ด้านการปกครอง ด้านประวัติศาสตร์ เป็นต้น
วรรณคดีไทยสมัยอยุธยาตอนกลาง
วรรณคดีที่ใช้เพื่อการสั่งสอนประชาชน
ในสมัยอยุธยาตอนกลางนี้มีโคลงอยู่สามเรื่องที่เป็นการสอนจริยธรรมให้กับสังคมไทย ซึ่งเป็นโคลงภาษิตที่มีหลักจริยธรรมเพื่อใช้สั่งสอน คือ
๑. โคลงพาลีสอนน้อง
๒. โคลงทศรถสอนพระราม
๓. โคลงราชสวัสดิ์
โคลงทั้งสามบทนี้เป็นพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จุดมุ่งหมายในการ
ทรงพระราชนิพนธ์ของพระองค์เพื่อสั่งสอนประชาชน หรือบุคคลใดก็ตามที่จะเข้ารับราชการในราชสานักของพระองค์ ให้ได้ทราบถึงหลักจริยธรรมที่ควรประพฤติปฏิบัติในการเป็นข้าราชการที่ดี แต่โคลงทศรถสอนพระรามนั้นเน้นเป็นพิเศษตรงที่ว่าเน้นเรื่องหลักในการครองเมือง เพราะท้าวทศรถสอนพระรามซึ่งเป็นลูกของพระองค์ให้ทรงทราบหลักในการครองเมือง, หลักของพระมหากษัตริย์
โคลงพาลีสอนน้อง
โคลงพาลีสอนน้อง ทานองแต่ง ใช้โคลงสี่สุภาพ มีโคลงทั้งหมด ๓๒ บท ความมุ่งหมาย เพื่อใช้เรื่องรามเกียรติ์เปรียบเทียบในการอบรมสั่งสอนข้าราชการ เช่น สอนการเข้าเฝ้าเมื่อรับราชการ การสอนไม่ให้ยักยอกของหลวง การสอนไม่ให้ทาชู้กับนางใน เป็นต้น
โคลงทศรถสอนพระราม
โคลงทศรถสอนพระราม ทานองแต่งเป็นโคลงสี่สุภาพมี ๑๒ บท ความมุ่งหมายในการแต่งเพื่อ เป็นพระบรมราโชวาทพระราชทานแก่รัชทายาท และกล่าวถึงพระราชจริยวัตรของกษัตริย์ เช่น สอนให้มีความเมตตา ความยุติธรรม การให้ทาน การบาเหน็จความชอบ สอนไม่ให้เบียดเบียนราษฎร มีความอดทน
โคลงราชสวัสดิ์
โคลงราชสวัสดิ์ ทานองแต่ง เป็นโคลงสี่สุภาพ มีทั้งหมด ๖๓ บท ความมุ่งหมาย เพื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติตนของข้าราชการผู้ใหญ่ เช่น การสารวมกิริยามารยาท
วรรณคดีที่ใช้เพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง
เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา
เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา เป็นบทร้อยกรองประเภทเพลงยาว มีเนื้อหาเกี่ยวกับการพยากรณ์สถานการณ์ของประเทศไทยในอนาคตว่าจะประสบวิบัติภัยนานา โดยคาดว่าประพันธ์ขึ้นราวสมัยรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ส่วนผู้ประพันธ์ยังไม่อาจระบุได้แน่ชัด
เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาแต่งขึ้นเลียนแบบมหาสุบินชาดก และนิทาน “พยาปัถเวน (ปเสนทิโกศล) ทานายฝัน” ชาดกและนิทานดังกล่าวเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระสุบินนิมิตสิบหกประการของประการของพระเจ้าปเสนทิโกศลที่ได้ทูลถามคาพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า
ผู้แต่งจะต้องเป็นบุคคลที่มีความสาคัญอย่างยิ่ง มีความสามารถในทางโหราศาสตร์หรือทางจิตวิทยาและเป็นนักประพันธ์นามาผนวกกับเรื่องราวของพุทธทานายดังกล่าวข้างต้น เพลงยาวกรุงศรีอยุธยา นี้ใช้เป็นจุดประสงค์ในทางการเมือง คือ เป็นการทานายชะตาบ้านเมืองไปในทางเลวร้ายถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายและเป็นการอัปมงคล ซึ่งหากเป็นการแต่งโดยบุคคลธรรมดาก็อาจจะถูกลงโทษสถานหนัก ดังนั้นผู้ที่สามารถทานายกล่าวอ้างออกมาได้และทาให้ผู้คนยอมรับและจดจากันได้นั้น ก็ย่อมต้องเป็นบุคคลที่มีความสาคัญระดับพระมหากษัตริย์ หรือบุคคลที่พระมหากษัตริย์ให้การยอมรับนับถือ
วรรณคดีที่ใช้เพื่อการสั่งสอน
นันโทปนันทสูตรคาหลวง เป็นวรรณคดีพุทธศาสนา ในสมัยอยุธยา เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์
(เจ้าฟ้ากุ้ง)ทรงพระนิพนธ์ขึ้น โดยมีลักษณะคาประพันธ์เป็นร่ายยาว นาด้วยภาษาบาลี แล้วขยายเป็นร่าย สลับกันเรื่อยไปจนจบ
จุดมุ่งหมายของวรรณคดีเล่มนี้ ก็เพื่อเผยแผ่คาสั่งสอนทางพระพุทธศาสนา และก่อให้เกิดศรัทธาในพุทธศาสนา โดยทรงนาเนื้อเรื่องมาจากคัมภีร์ทีฆนิกาย ชื่อ นันโทปนันทสูตร
เรื่องย่อมีอยู่ว่า ครั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงมีพุทธบัญชาให้พระมหาโมคคัลลานะเถระ ไปปราบพญานาค อันมีนาม นันโทปนันทะ ให้คลายทิฏฐิมานะลง เมื่อพญานันโทปนันทะคลายทิฏฐิมานะลง ได้แปลงร่างเป็นมาณพหนุ่ม ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าและได้รับศีล ๕ จากพระพุทธองค์ แต่ด้วยความที่ตนยังอยู่ในภูมิของกึ่งเทพกึ่งเดรัจฉาน จึงยังมิอาจยังให้เกิดการบรรลุธรรมได้ แต่ก็ยอมรับนับถือพระพุทธองค์ไปตลอดชีวิต แสดงให้เห็นสุภาษิตว่า ควรชนะคนไม่ดีด้วยความดี คือ เราควรสอนให้คนพาลกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี มีดวงตาเห็นธรรม คือ อริยสัจ เข้าสู่ความหลุดพ้น สามารถนามาใช้ในชีวิตประจาวันได้
วรรณคดีไทยสมัยอยุธยาตอนปลาย
วรรณคดีที่ใช้เพื่อประกอบพิธีกรรม
พระมาลัยค้าหลวง เป็นวรรณคดีที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ทรงพระนิพนธ์โดย
เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ เมื่อปี พ.ศ. 2280 ทานองเช่นเดียวกับกาพย์มหาชาติ กล่าว คือ แต่งด้วยร่ายสุภาพ บางแห่งมีลักษณะคล้ายกาพย์ยานีปนอยู่บ้าง แต่เดิมนั้นพระมาลัยคาหลวงใช้สวดในงานมงคลสมรส ต่อมาเปลี่ยนไปใช้สวดเฉพาะงานศพหรือสวดหน้าศพ
พระมาลัยคาหลวง มีทานองแต่งคล้ายกาพย์มหาชาติ คือ จะมีการแทรกบทบาลีน้อยกว่านันโทปนันทสูตรคาหลวง ใช้ถ้อยคาสานวนง่าย ราบเรียบชัดเจนกว่านันโทปนันทสูตรคาหลวง เรื่องพระมาลัยเป็นที่ติดใจแพร่หลายมาช้านาน เช่น นาไปสวดในงานแต่งงานและงานศพ วาดภาพไว้ตามวัดและหล่อรูปพระมาลัยไว้ก็มี เนื้อเรื่องพระมาลัยดีเป็นที่นิยมกันแพร่หลาย ประกอบกับเชิงชั้นการบรรยายและใช้ถ้อยคาอันสูงส่งของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์หนังสือพระมาลัยคาหลวงจึงถือเป็นวรรณคดีขั้นมาตรฐานได้เรื่องหนึ่ง
วรรณคดีที่ใช้เพื่อการสั่งสอน
นันโทปนันทสูตรค้าหลวง เป็นวรรณคดีพุทธศาสนา ในสมัยอยุธยา เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง)ทรงพระนิพนธ์ขึ้น โดยมีลักษณะคาประพันธ์เป็นร่ายยาว นาด้วยภาษาบาลี แล้วขยายเป็นร่าย สลับกันเรื่อยไปจนจบ
จุดมุ่งหมายของวรรณคดีเล่มนี้ ก็เพื่อเผยแผ่คาสั่งสอนทางพระพุทธศาสนา และก่อให้เกิดศรัทธาในพุทธศาสนา โดยทรงนาเนื้อเรื่องมาจากคัมภีร์ทีฆนิกาย ชื่อ นันโทปนันทสูตร
เรื่องย่อมีอยู่ว่า ครั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงมีพุทธบัญชาให้พระมหาโมคคัลลานะเถระ ไปปราบพญานาค อันมีนาม นันโทปนันทะ ให้คลายทิฏฐิมานะลง เมื่อพญานันโทปนันทะคลายทิฏฐิมานะลง ได้แปลงร่างเป็นมาณพหนุ่ม ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าและได้รับศีล ๕ จากพระพุทธองค์ แต่ด้วยความที่ตนยังอยู่ในภูมิของกึ่งเทพกึ่งเดรัจฉาน จึงยังมิอาจยังให้เกิดการบรรลุธรรมได้ แต่ก็ยอมรับนับถือพระพุทธองค์ไปตลอดชีวิต แสดงให้เห็นสุภาษิตว่า ควรชนะคนไม่ดีด้วยความดี คือ เราควรสอนให้คนพาลกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี มีดวงตาเห็นธรรม คือ อริยสัจ เข้าสู่ความหลุดพ้น สามารถนามาใช้ในชีวิตประจาวันได้
วรรณคดีที่ใช้เพื่อประกอบพิธีกรรม
กาพย์เห่เรือ เป็นคาประพันธ์ประเภทหนึ่ง แต่งไว้สาหรับขับร้องเห่ในกระบวนเรือ โดยมีทานองเห่ที่สอดคล้องกับจังหวะการพายของฝีพาย ว่าช้า หรือเร็ว มักจะมีพนักงานขับเห่หนึ่งคนเป็นต้นเสียง และฝีพายคอยร้องขับตามจังหวะ พร้อมกับการให้จังหวะจากพนักงานประจาเรือแต่ละลา
กาพย์เห่เรือนั้น ใช้คาประพันธ์ 2 ชนิดด้วยกัน นั่นคือ กาพย์ยานี 11 และโคลงสี่สุภาพ เรียงร้อยกันในลักษณะที่เรียกว่า กาพย์ห่อโคลง โดยมักขึ้นต้นด้วยโคลง 1 บท แล้วตามด้วยกาพย์ยานี เรื่อยไป จนจบตอนหนึ่งๆ เมื่อจะขึ้นตอนใหม่ ก็จะยกโคลงสี่สุภาพมาอีกหนึ่งบท แล้วตามด้วยกาพย์จนจบตอน เช่นนี้สลับกันไป
กาพย์เห่เรือที่เก่าแก่ที่สุด ที่พบในเวลานี้ คือ กาพย์เห่เรือในเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สมัยอยุธยาตอนปลาย ทรงแต่งไว้ 2 เรื่อง คือบทเห่ชมเรือ ชมปลา ชมไม้ และชมนก มีลักษณะเป็นเหมือนนิราศ กับอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องกากี สันนิษฐานกันว่ากาพย์เห่เรือ เดิมคงจะแต่งเพื่อขับเห่กันเมื่อเดินทางไกลในแม่น้าลาคลอง แต่ในภายหลังคงมีแต่เจ้านายหรือพระราชวงศ์ชั้นสูง และสุดท้ายมีใช้แต่ในกระบวนเรือของพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น กาพย์เห่เรือไม่นิยมประพันธ์กันมากนัก เนื่องจากถือเป็นคาประพันธ์สาหรับใช้ในพิธีการ คือ ในกระบวนเรือหลวง หรือกระบวนพยุหยาตราชลมารค ไม่นิยมใช้ในพิธีหรือสถานการณ์อื่นใด การแต่งกาพย์เห่เรือจึงมักแต่งขึ้นสาหรับที่จะใช้เห่เรือจริงๆ ซึ่งในแต่ละรัชกาล มีการเห่เรือเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
วรรณคดีสมัยนี้สะท้อนภาพกรุงศรีอยุธยา ปรากฏให้เห็นความเจริญของบ้านเมืองในอดีต และความสุขสงบของชาวเมืองและความรุ่งเรืองของงานกวีจะมีไม่มากนัก วรรณคดีอยุธยามีปรากฏเพียงบางยุคสมัยคือ
๑. สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๑๙๑๒
๒. สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๐๓๑)
๓. สมัยพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ. ๒๑๕๓ – ๒๑๗๑
๔. สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.๒๑๙๙ – ๒๒๓๑)
๕. สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ. ๒๒๗๕ – ๒๓๐๑)
วรรณคดีไทยสมัยอยุธยาแบ่งออกเป็น ๓ ช่วงสมัยคือ
๑. สมัยอยุธยาตอนต้น ตั้งแต่สมัยพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ถึงสมัยพระรามาธิบดี
ที่ ๒ (พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๒๐๗๒)
๒. สมัยอยุธยาตอนกลาง ตั้งแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรมถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
(พ.ศ. ๒๑๖๓ – ๒๒๓๑)
๓. สมัยอยุธยาตอนปลาย ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศถึงสมัยพระเจ้าเอกทัศน์
(พ.ศ. ๒๒๗๕ – ๒๓๑๐)
วรรณคดีไทยสมัยอยุธยาตอนต้น
วรรณคดีที่ใช้เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติ
ลิลิตโองการแช่งน้า เป็นวรรณคดีเรื่องแรกในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ เนื่องจาก
เหตุการณ์บ้านเมืองไม่สงบเรียบร้อย จึงให้เสนาข้าราชการเข้าพิธีสาบานตนในพระราชพิธีศรีสัจจปานกาล
ซึ่งได้ทาติดต่อกันมานาน แต่เลิกพิธีนี้ไปเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแบบบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็น
ระบอบประชาธิปไตย พ.ศ. ๒๔๗๕ ผู้แต่งเป็นใครและแต่งสมัยใดไม่มีหลักฐานแน่ชัด
ลิลิตโองการแช่งน้าเป็นวรรณกรรมการเมืองที่ใช้ในการปกครองบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านเมืองที่เพิ่งสถาปนา เพื่อให้ข้าราชบริพารและข้าราชการเกิดความเกรงกลัว ไม่กล้าคิดทรยศต่อผู้ปกครองแผ่นดินในสมัยนั้น ในพิธีนี้พวกพราหมณ์และพวกพระ จะช่วยกันสาปแช่งน้าสาบานด้วยถ้อยคาและข้อความที่พิลึกพิลั่นน่ากลัว ใครไม่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าชีวิต จะต้องมีอันเป็นไปต่างๆ เวลาสาปแช่งน้าสาบานนั้น พราหมณ์จะต้องเอาพระแสงศร ซึ่งมีสามเล่มเท่ากับพระรามมี และมีชื่อเหมือนชื่อศรของพระราม แทงลงไปในหม้อน้าสาบาน เพื่อให้น้านั้นศักดิ์สิทธิ์ มีพิษบาดไส้บาดคอผู้ที่คิดทรยศต่อพระเจ้าแผ่นดิน
วรรณคดีที่ใช้เพื่อความบันเทิง
ลิลิตพระลอ เป็นยอดวรรณคดีประเภทลิลิต เข้าใจกันว่าเป็นเรื่องจริงที่เล่ากันเรื่อยมา ของท้องถิ่นไทยภาคเหนือ สถานที่ในเรื่องคือแถวๆ จังหวัดแพร่และลาปาง เมืองสรองสันนิษฐานว่าคงจะอยู่ที่
อาเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ส่วนเมืองสรวงน่าจะอยู่ที่อาเภอแจ้ห่ม จังหวัดลาปาง นิยายเรื่องจริงเรื่องนี้น่าจะเกิดในช่วง พ.ศ. ๑๖๑๖ – ๑๖๙๓ จะแต่งในสมัยพระบรมไตรโลกนาถสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ (พระเชษฐา) หรือในสมเด็จพระนารายณ์ก็ไม่ทราบแน่ชัด ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง แต่คงจะเป็นกวีชั้นนักปราชญ์ ส่วนทานองแต่ง แต่งเป็นลิลิตสุภาพ ซึ่งประกอบด้วยร่ายสุภาพ และโคลงสุภาพ
ลิลิตพระลอ เป็นวรรณกรรมการเมืองในรูปเพื่อความบันเทิงแห่งเจ้าขุนมูลนาย มีผู้คนแสดงความคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับผู้แต่งและระยะเวลาในแต่ง แต่ยังหาข้อยุติไม่ได้ ลักษณะการแต่งเป็นลิลิตสุภาพ ประกอบด้วย ร่ายสุภาพและโคลงสุขภาพเป็นส่วนใหญ่ บางร่ายเป็นร่ายโบราณและร่ายดั้น ความมุ่งหมายในการแต่ง แต่ถวายพระมหากษัตริย์ เพื่อให้เป็นที่สาราญพระราชหฤทัย เนื้อเรื่องเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก ความหลง ถึงกับยอมทาทุกอย่างเพื่อให้สมประสงค์ในด้านความรัก นอกจากนี้ยังแสดงถึงความรักอันลึกซึ้งของแม่ที่มีต่อลูก ถึงยอมสละทุกอย่าง เพื่อความสุขของลูก แสดงถึงความรักระหว่างเจ้ากับข้า ถึงกับยอมสละชีวิตเป็นราชพลีด้วยความเต็มใจ อย่างไรก็ตามแม้ลิลิตพระลอจะเป็นวรรณกรรมการเมืองเพื่อความบันเทิงแห่งเจ้าขุนมูลนาย คุณค่าของลิลิตพระลอก็มีอยู่มากมาย ดังเช่น
๑. การกล่าวเรื่องบาปบุญ ตอนพระลอตรัสแก่นางบุญเหลือ ดังโคลงที่ว่า
ตามแต่บาปบุญแล้ ก่อเกื้อรักษา
๒. การกล่าวถึงพระคุณของแม่ ดังโคลงที่ว่า
ร้อยชู้ฤาเท่าเนื้อ เมียตน
เมียแล่พันฤาดล แม่ได้
ทรงครรภ์รอดเป็นคน ฤาง่าย เลยนา
เลี้ยงยากนักท้าวไท้ ธิราชผู้มีคุณ
๓. การกล่าวถึงเรื่อง กรรม ซึ่งนางบุญเหลือกล่าวแก่พระลอ ดังโคลงที่ว่า
ถึงกรรมจักอยู่ได้ ฉันใด พระเอย
กรรมบ่มีใคร ฆ่าข้า
กุศลส่งสนองไป ถึงพี่ สุขนา
บาปส่งจาตกช้า ช่วยได้ฉันใด
๔. นายแก้วนายขวัญกราบทูลพระลอ ดังโคลงที่ว่า
พระเอยอาบน้าอุ่น เอาเย็น
ปลาผอกหมกเหม็นยาม อยากเคี้ยว
รุกรุยราดจาเป็น ปางเมื่อ แคลนนา
อดอยู่เดี่ยวคิ้วเคี้ยว อยู่ได้ฉันใด
วรรณคดีสโมสรได้ประกาศยยกย่องให้ลิลิตพระลอ เป็นยอดของกลอนลิลิตเป็นแบบอย่างในการเขียนสมัยต่อมาของวรรณคดีต่างๆเช่น เมื่อพระโหราธิบดีแต่ง “จินดามณี”ยังยกโคลงในลิลิตพระลอมาเป็นโคลงครู ว่า
เสียงฦาเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า
สองเขือพี่หลับใหล ลืมตืน ฤาพี่
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ
๕. บทชมโฉมพระเพื่อนพระแพง กล่าวไว้อย่างไพเราะ ดังโคลงที่ว่า
โฉมสองเหมือนหยาดฟ้า ลงดิน
งามเงื่อนอัปสรอินทร์ สู่หล้า
อย่าคิดอย่าควรถวิล ถึงยาก แลนา
ชมยะแย้มทั่วหน้า หน่อท้าวมีบุญ
ลิลิตพระลอจะกล่าวถึงเรื่องหลักจริยธรรมของพระมหากษัตริย์ ในการปกครองไพร่ฟ้าแผ่นดินชัดเจนมาก เริ่มตั้งแต่ก่อนที่จะออกจากเมืองสอง พระราชมารดา พระนามว่าบุญเหลือทรงสั่งสอนพระลอให้ตระหนักถึงจริยธรรม 7 ประการของพระมหากษัตริย์ เรียกว่า จารีต 7 ประการ คือ
1. อย่าลืมตัว ห้ามคบคนไม่ดี คิดอะไรให้รอบคอบก่อนค่อยทา เขาบอกว่าคิดทุกคา จึงออกปาก หมายความว่า จะพูดอะไรคิดเสียก่อน อย่าให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินลาบากใจ ว่าเรื่องการบ้านเมืองให้เที่ยงตรง หมายความว่า ไม่เห็นกับหน้าผู้ใด ยุติธรรม ปกครองประเทศให้ร่มเย็น ดับเข็ญนอกเข็ญใน คือ อะไรที่เป็นความลาบากทั้งภายในภายนอกให้ขจัดให้หมด
2. ส่งใจดูทุกกรม อย่าชมตามคาเท็จ คือให้สอดส่องการบริหารงานทั่งทุกหน่วยงาน อย่าเชื่อตามคาทูลเท็จของใคร ต้องให้เห็นกับตา อย่าทาให้ผิดทางธรรม ทาอะไรให้มันถูกต้อง
3. เวลาที่จะต้องใช้อานาจหรือพระเดชในการบัญชา ก็ต้องใช้ให้เหมาะสม จงทาให้มีเล่ห์เหลี่ยมที่เหมาะสม
4. ดูคนรับใช้ที่ให้มาทางานกับเราดีๆ สอดส่องดูให้เหมาะสม เลือกหาคนที่ซื่อสัตย์ พยายามปลุกใจคนให้ตื่นตัว ให้กล้าหาญกล้าต่อสู้กับศัตรูที่จะมากินเมือง ให้ตายไป ให้อานาจศักดิ์สิทธิ์แก่ราษฎร ตัดความชั่วอย่าให้มันลุกลาม
5. อย่าชิงสุกก่อนห่าม อย่าล่ามม้าสองฝั่ง จะทาอะไรก็อย่ารีบทาโดยไม่คิดเพราะก่อผลเสีย อย่าล่ามม้าสองปาก คืออย่ากดหัวพลเมืองให้โงหัวไม่ขึ้น อย่าใช้อานาจที่ไม่เป็นธรรมแก่ราษฎร อย่ารากผิดไว้ข้างหลัง คือ อะไรที่ผิดอย่าทิ้งไว้ข้างหลัง ให้จัดการให้เรียบร้อย แก้ไข อย่าทาตนให้คนเกลียด จงทาตนให้คนรัก
6. ชักชวนคนสู่ฟ้า คือนาคนให้ประพฤติแต่สิ่งที่ดีที่ชอบที่เหมาะที่ควร นาคนให้ไป ข้างหน้าให้มีความเจริญก้าวหน้า ให้เทวดาสรรเสริญเยินยอ คือนาประชาชนให้ทาดี ไปภพหน้าแม้แต่เทพเทวดาก็ยังต้องสรรเสริญเยินยอ ทาในส่งที่โลกยกย่อง
ลิลิตพระลอในด้านการปกครอง จะเห็นว่าการปกครองในสมัยนั้นต่างเมืองต่างเป็นอิสระ เป็นใหญ่ ไม่ขึ้นแก่กัน ลิลิตพระลอในด้านประวัติศาสตร์ ลิลิตพระลอได้ให้ความรู้ในทางประวัติศาสตร์ของไทยได้ ในแง่มุมต่าง ๆ โดยเฉพาะทาให้รู้เรื่องราวความเป็นมาของเมืองสรวงและเมืองสรองอันได้แก่ ลาปางและแพร่
ลิลิตพระลอในด้านวิถีชีวิต ได้มองเห็นถึงความเป็นอยู่ของคนไทยสมัยนั้นที่ยังเชื่อในเรื่อง
ไสยศาสตร์อยู่มากมีการนับถือผีสางนางไม้ แม้ในปัจจุบันก็ยังมีอยู่
วรรณคดีเพื่อยกย่องสดุดีพระมหากษัตริย์
วรรณคดีที่สดุดีวีรบุรุษส่วนใหญ่เป็นผลงานของกวีที่เป็นข้าราชบริพารในพระมหาราชวังหรือกวีศักดินา แต่งขึ้นเพื่อแสดงความชื่นชมในบุญบารมีของพระมหากษัตริย์ ยกย่องและสดุดีพระมหากษัตริย์เป็นประดุจเจ้าชีวิตหรือสมมุติเทพ แสดงความชื่นชมในความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง เป็นการประกาศถึงเกียรติคุณของพระมหากษัตริย์ให้แพร่หลายในหมู่ประชาชนทั่วไปในขณะเดียวกันก็มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองแอบแฝงอยู่ โดยส่วนรวมก็เพื่อปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมือง ตามแนวปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
“ลิลิตยวนพ่าย” ลักษณะการแต่งเป็นลิลิตดั้น ประกอบด้วยร่าย 2 บท เป็นร่ายดั้น 1 บท ร่ายสุภาพ 1 บท สลับโคลงสี่ดั้น บาทกุญชร 296 บท ความมุ่งหมายในการแต่งเพื่อยอพระเกียรติกษัตริย์และสดุดีชัยชนะที่มีต่อโยนก เนื้อเรื่องกล่าวสรรเสริญและยอพระเกียรติกษัตริย์พระบรมไตรโลกนารถ เล่าพระราชประวัติตั้งแต่ประสูติการศึกษาสงคราม พระราชกรณียกิจทางศาสนา เช่น การออกผนวช 1 พรรษา การนิมนต์พระสงฆ์จากลังกา การตีชนะเมืองเชียงใหม่ และยอพระเกียรติพระบรมไตรโลกนาถอีกครั้ง
วรรณคดีเรื่องลิลิตยวนพ่าย ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง แต่สันนิษฐานว่า ผู้แต่งต้องเป็นผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญทั้งในด้านภาษาและขนบธรรมเนียมราชการและคงเป็นกวีสาคัญในยุคนั้น ผู้แต่งได้อธิษฐานในโคลงที่ไพเราะเพราะพริ้งว่า
สารสยามภาคพร้อง กลกานท์ นี้ฤา
คือ คู่มาลาสรรค์ ช่อช้อย
เบญญาพิศาลแสดง เดอมเกียรติ พระฤา
คือ คู่ไหนแสร้งร้อย กึ่งกลาง
การกล่าวยอพระเกียรติกษัตริย์พระบรมไตรโลกนารถ ในโคลงที่ว่า
พระคุณพระคลองฟ้า ดินขาม
พระเกียรติพระไกรแผน ผ่านฟ้า
พระฤทธิ์พ่างพระราม รอนราพณ์ ไส้แฮ
พระก่อพระเกื้อหล้า หลากสรรค์
ลิลิตยวนพ่าย กล่าวได้ว่า เป็นวรรณคดียอพระเกียรติเรื่องแรกของไทยที่เพียบพร้อมไปด้วยความงามของฉันทลักษณ์ โคลงที่ไพเราะ ในด้านความรู้ ลิลิตยวนพ่าย เป็นวรรณคดีประยุกต์ที่ผู้แต่งมุ่งให้ความรู้แก่ผู้อ่านโดยตรง เช่น ความรู้ด้านธรรมะ ด้านการรบ ด้านการปกครอง ด้านประวัติศาสตร์ เป็นต้น
วรรณคดีไทยสมัยอยุธยาตอนกลาง
วรรณคดีที่ใช้เพื่อการสั่งสอนประชาชน
ในสมัยอยุธยาตอนกลางนี้มีโคลงอยู่สามเรื่องที่เป็นการสอนจริยธรรมให้กับสังคมไทย ซึ่งเป็นโคลงภาษิตที่มีหลักจริยธรรมเพื่อใช้สั่งสอน คือ
๑. โคลงพาลีสอนน้อง
๒. โคลงทศรถสอนพระราม
๓. โคลงราชสวัสดิ์
โคลงทั้งสามบทนี้เป็นพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จุดมุ่งหมายในการ
ทรงพระราชนิพนธ์ของพระองค์เพื่อสั่งสอนประชาชน หรือบุคคลใดก็ตามที่จะเข้ารับราชการในราชสานักของพระองค์ ให้ได้ทราบถึงหลักจริยธรรมที่ควรประพฤติปฏิบัติในการเป็นข้าราชการที่ดี แต่โคลงทศรถสอนพระรามนั้นเน้นเป็นพิเศษตรงที่ว่าเน้นเรื่องหลักในการครองเมือง เพราะท้าวทศรถสอนพระรามซึ่งเป็นลูกของพระองค์ให้ทรงทราบหลักในการครองเมือง, หลักของพระมหากษัตริย์
โคลงพาลีสอนน้อง
โคลงพาลีสอนน้อง ทานองแต่ง ใช้โคลงสี่สุภาพ มีโคลงทั้งหมด ๓๒ บท ความมุ่งหมาย เพื่อใช้เรื่องรามเกียรติ์เปรียบเทียบในการอบรมสั่งสอนข้าราชการ เช่น สอนการเข้าเฝ้าเมื่อรับราชการ การสอนไม่ให้ยักยอกของหลวง การสอนไม่ให้ทาชู้กับนางใน เป็นต้น
โคลงทศรถสอนพระราม
โคลงทศรถสอนพระราม ทานองแต่งเป็นโคลงสี่สุภาพมี ๑๒ บท ความมุ่งหมายในการแต่งเพื่อ เป็นพระบรมราโชวาทพระราชทานแก่รัชทายาท และกล่าวถึงพระราชจริยวัตรของกษัตริย์ เช่น สอนให้มีความเมตตา ความยุติธรรม การให้ทาน การบาเหน็จความชอบ สอนไม่ให้เบียดเบียนราษฎร มีความอดทน
โคลงราชสวัสดิ์
โคลงราชสวัสดิ์ ทานองแต่ง เป็นโคลงสี่สุภาพ มีทั้งหมด ๖๓ บท ความมุ่งหมาย เพื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติตนของข้าราชการผู้ใหญ่ เช่น การสารวมกิริยามารยาท
วรรณคดีที่ใช้เพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง
เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา
เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา เป็นบทร้อยกรองประเภทเพลงยาว มีเนื้อหาเกี่ยวกับการพยากรณ์สถานการณ์ของประเทศไทยในอนาคตว่าจะประสบวิบัติภัยนานา โดยคาดว่าประพันธ์ขึ้นราวสมัยรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ส่วนผู้ประพันธ์ยังไม่อาจระบุได้แน่ชัด
เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาแต่งขึ้นเลียนแบบมหาสุบินชาดก และนิทาน “พยาปัถเวน (ปเสนทิโกศล) ทานายฝัน” ชาดกและนิทานดังกล่าวเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระสุบินนิมิตสิบหกประการของประการของพระเจ้าปเสนทิโกศลที่ได้ทูลถามคาพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า
ผู้แต่งจะต้องเป็นบุคคลที่มีความสาคัญอย่างยิ่ง มีความสามารถในทางโหราศาสตร์หรือทางจิตวิทยาและเป็นนักประพันธ์นามาผนวกกับเรื่องราวของพุทธทานายดังกล่าวข้างต้น เพลงยาวกรุงศรีอยุธยา นี้ใช้เป็นจุดประสงค์ในทางการเมือง คือ เป็นการทานายชะตาบ้านเมืองไปในทางเลวร้ายถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายและเป็นการอัปมงคล ซึ่งหากเป็นการแต่งโดยบุคคลธรรมดาก็อาจจะถูกลงโทษสถานหนัก ดังนั้นผู้ที่สามารถทานายกล่าวอ้างออกมาได้และทาให้ผู้คนยอมรับและจดจากันได้นั้น ก็ย่อมต้องเป็นบุคคลที่มีความสาคัญระดับพระมหากษัตริย์ หรือบุคคลที่พระมหากษัตริย์ให้การยอมรับนับถือ
วรรณคดีที่ใช้เพื่อการสั่งสอน
นันโทปนันทสูตรคาหลวง เป็นวรรณคดีพุทธศาสนา ในสมัยอยุธยา เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์
(เจ้าฟ้ากุ้ง)ทรงพระนิพนธ์ขึ้น โดยมีลักษณะคาประพันธ์เป็นร่ายยาว นาด้วยภาษาบาลี แล้วขยายเป็นร่าย สลับกันเรื่อยไปจนจบ
จุดมุ่งหมายของวรรณคดีเล่มนี้ ก็เพื่อเผยแผ่คาสั่งสอนทางพระพุทธศาสนา และก่อให้เกิดศรัทธาในพุทธศาสนา โดยทรงนาเนื้อเรื่องมาจากคัมภีร์ทีฆนิกาย ชื่อ นันโทปนันทสูตร
เรื่องย่อมีอยู่ว่า ครั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงมีพุทธบัญชาให้พระมหาโมคคัลลานะเถระ ไปปราบพญานาค อันมีนาม นันโทปนันทะ ให้คลายทิฏฐิมานะลง เมื่อพญานันโทปนันทะคลายทิฏฐิมานะลง ได้แปลงร่างเป็นมาณพหนุ่ม ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าและได้รับศีล ๕ จากพระพุทธองค์ แต่ด้วยความที่ตนยังอยู่ในภูมิของกึ่งเทพกึ่งเดรัจฉาน จึงยังมิอาจยังให้เกิดการบรรลุธรรมได้ แต่ก็ยอมรับนับถือพระพุทธองค์ไปตลอดชีวิต แสดงให้เห็นสุภาษิตว่า ควรชนะคนไม่ดีด้วยความดี คือ เราควรสอนให้คนพาลกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี มีดวงตาเห็นธรรม คือ อริยสัจ เข้าสู่ความหลุดพ้น สามารถนามาใช้ในชีวิตประจาวันได้
วรรณคดีไทยสมัยอยุธยาตอนปลาย
วรรณคดีที่ใช้เพื่อประกอบพิธีกรรม
พระมาลัยค้าหลวง เป็นวรรณคดีที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ทรงพระนิพนธ์โดย
เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ เมื่อปี พ.ศ. 2280 ทานองเช่นเดียวกับกาพย์มหาชาติ กล่าว คือ แต่งด้วยร่ายสุภาพ บางแห่งมีลักษณะคล้ายกาพย์ยานีปนอยู่บ้าง แต่เดิมนั้นพระมาลัยคาหลวงใช้สวดในงานมงคลสมรส ต่อมาเปลี่ยนไปใช้สวดเฉพาะงานศพหรือสวดหน้าศพ
พระมาลัยคาหลวง มีทานองแต่งคล้ายกาพย์มหาชาติ คือ จะมีการแทรกบทบาลีน้อยกว่านันโทปนันทสูตรคาหลวง ใช้ถ้อยคาสานวนง่าย ราบเรียบชัดเจนกว่านันโทปนันทสูตรคาหลวง เรื่องพระมาลัยเป็นที่ติดใจแพร่หลายมาช้านาน เช่น นาไปสวดในงานแต่งงานและงานศพ วาดภาพไว้ตามวัดและหล่อรูปพระมาลัยไว้ก็มี เนื้อเรื่องพระมาลัยดีเป็นที่นิยมกันแพร่หลาย ประกอบกับเชิงชั้นการบรรยายและใช้ถ้อยคาอันสูงส่งของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์หนังสือพระมาลัยคาหลวงจึงถือเป็นวรรณคดีขั้นมาตรฐานได้เรื่องหนึ่ง
วรรณคดีที่ใช้เพื่อการสั่งสอน
นันโทปนันทสูตรค้าหลวง เป็นวรรณคดีพุทธศาสนา ในสมัยอยุธยา เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง)ทรงพระนิพนธ์ขึ้น โดยมีลักษณะคาประพันธ์เป็นร่ายยาว นาด้วยภาษาบาลี แล้วขยายเป็นร่าย สลับกันเรื่อยไปจนจบ
จุดมุ่งหมายของวรรณคดีเล่มนี้ ก็เพื่อเผยแผ่คาสั่งสอนทางพระพุทธศาสนา และก่อให้เกิดศรัทธาในพุทธศาสนา โดยทรงนาเนื้อเรื่องมาจากคัมภีร์ทีฆนิกาย ชื่อ นันโทปนันทสูตร
เรื่องย่อมีอยู่ว่า ครั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงมีพุทธบัญชาให้พระมหาโมคคัลลานะเถระ ไปปราบพญานาค อันมีนาม นันโทปนันทะ ให้คลายทิฏฐิมานะลง เมื่อพญานันโทปนันทะคลายทิฏฐิมานะลง ได้แปลงร่างเป็นมาณพหนุ่ม ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าและได้รับศีล ๕ จากพระพุทธองค์ แต่ด้วยความที่ตนยังอยู่ในภูมิของกึ่งเทพกึ่งเดรัจฉาน จึงยังมิอาจยังให้เกิดการบรรลุธรรมได้ แต่ก็ยอมรับนับถือพระพุทธองค์ไปตลอดชีวิต แสดงให้เห็นสุภาษิตว่า ควรชนะคนไม่ดีด้วยความดี คือ เราควรสอนให้คนพาลกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี มีดวงตาเห็นธรรม คือ อริยสัจ เข้าสู่ความหลุดพ้น สามารถนามาใช้ในชีวิตประจาวันได้
วรรณคดีที่ใช้เพื่อประกอบพิธีกรรม
กาพย์เห่เรือ เป็นคาประพันธ์ประเภทหนึ่ง แต่งไว้สาหรับขับร้องเห่ในกระบวนเรือ โดยมีทานองเห่ที่สอดคล้องกับจังหวะการพายของฝีพาย ว่าช้า หรือเร็ว มักจะมีพนักงานขับเห่หนึ่งคนเป็นต้นเสียง และฝีพายคอยร้องขับตามจังหวะ พร้อมกับการให้จังหวะจากพนักงานประจาเรือแต่ละลา
กาพย์เห่เรือนั้น ใช้คาประพันธ์ 2 ชนิดด้วยกัน นั่นคือ กาพย์ยานี 11 และโคลงสี่สุภาพ เรียงร้อยกันในลักษณะที่เรียกว่า กาพย์ห่อโคลง โดยมักขึ้นต้นด้วยโคลง 1 บท แล้วตามด้วยกาพย์ยานี เรื่อยไป จนจบตอนหนึ่งๆ เมื่อจะขึ้นตอนใหม่ ก็จะยกโคลงสี่สุภาพมาอีกหนึ่งบท แล้วตามด้วยกาพย์จนจบตอน เช่นนี้สลับกันไป
กาพย์เห่เรือที่เก่าแก่ที่สุด ที่พบในเวลานี้ คือ กาพย์เห่เรือในเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สมัยอยุธยาตอนปลาย ทรงแต่งไว้ 2 เรื่อง คือบทเห่ชมเรือ ชมปลา ชมไม้ และชมนก มีลักษณะเป็นเหมือนนิราศ กับอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องกากี สันนิษฐานกันว่ากาพย์เห่เรือ เดิมคงจะแต่งเพื่อขับเห่กันเมื่อเดินทางไกลในแม่น้าลาคลอง แต่ในภายหลังคงมีแต่เจ้านายหรือพระราชวงศ์ชั้นสูง และสุดท้ายมีใช้แต่ในกระบวนเรือของพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น กาพย์เห่เรือไม่นิยมประพันธ์กันมากนัก เนื่องจากถือเป็นคาประพันธ์สาหรับใช้ในพิธีการ คือ ในกระบวนเรือหลวง หรือกระบวนพยุหยาตราชลมารค ไม่นิยมใช้ในพิธีหรือสถานการณ์อื่นใด การแต่งกาพย์เห่เรือจึงมักแต่งขึ้นสาหรับที่จะใช้เห่เรือจริงๆ ซึ่งในแต่ละรัชกาล มีการเห่เรือเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น

Advertisement

Share this:

  • Twitter
  • Facebook

Like this:

ถูกใจ กำลังโหลด...

Posted by sanesapthong on 23/09/2012 in Uncategorized.

ใส่ความเห็น

วรรณคดีไทยที่ปรากฏในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลางมีอะไรบ้าง

ตัวอย่างวรรณคดีสำคัญในสมัยอยุธยาตอนกลาง เช่น กาพย์มหาชาติ สมุทรโฆษคำฉันท์ จินดามณี อนิรุทธคำฉันท์ กาพย์ห่อโคลง ฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง

วรรณคดีในสมัยอยุธยามีอะไรบ้าง

ลักษณะวรรณคดีในสมัยอยุธยาตอนต้น วรรณคดีส าคัญได้แก่ รัชกาลสมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๑ ๑.ลิลิตโองการแข่งน ้า รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ๒.ลิลิตยวนพ่าย ๓.มหาชาติค าหลวง วรรณคดีที่สันฐานว่าแต่งในสมัยอยุธยาตอนต้น ได้แก่ ๔.ลิลิตพระลอ ๕.โคลงก าสรวล ๖.โคลงทวาทศมาศ Page 2 ๑.ลิลิตโองการแข่งน ้า

ยุคทองแห่งวรรณกรรมไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลางตรงกับสมัยใด

วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนกลาง ตั้งแต่สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง จนถึงสมเด็จ พระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2172-2231) ซึ่งในช่วงนี้ยุคทองของวรรณคดีคือ สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

กวีที่เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลางมีใครบ้างและแต่งเรื่องอะไรบ้าง

กวีในสมัยอยุธยาตอนกลางคือ สมเด็จพระนารายณ์ พระมหาราชครู พระโหราธิบดี ศรีปราญ์ •วรรณคดีส าคัญในระยะเวลานี้คือ สมุทรโฆษค าฉันท์ อนิรุทธค าฉันท์ เสือโคค าฉันท์ โคลงทศรสสอนพระราม โคลงพาลีสอนน้อง โคลง ราชสวัสดิ์